รถม้าเคลื่อนตัวไปรอบๆ เมืองหลวงช้าๆ เพื่อแจ้งข่าวเรื่องวันคล้ายวันประสูติของพระชายาในมกุฎราชกุมารให้ประชาชนทราบโดยทั่วถึงกันก่อนจะมุ่งหน้ากลับพระราชวัง
รถแล่นช้ามากเสียคนมีผู้คนเดินตามมาเป็นจำนวนมาก แม้ว่ารถม้าจะเดินทางเป็นระยะทางไกลกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่ผู้คนก็ยังเดินตามมาเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการว่าเหน็ดเหนื่อย
ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่รถม้าจะมาถึงพระราชวัง เหล่าขุนนางที่รู้ลำดับพิธีของงานอภิเษกสมรสต่างพากันสงสัย เมื่อมกุฎราชกุมารซึ่งควรจะออกมาต้อนรับอาเรียกลับไม่ปรากฏพระองค์ให้เห็น
“เหตุใดเจ้าชายจึงยังไม่ออกมาอีกล่ะครับ”
“หากเป็นแบบนี้พระชายาก็จำต้องเดินลงไปด้วยพระองค์เองหรือครับ”
“โธ่ น่าสงสารจริงๆ”
“ทรงน่าสงสารเหลือเกินที่ตอนนี้กลับต้องรออยู่คนเดียวเช่นนี้…”
“เจ้าชายควรออกมาตั้งแต่เห็นรถม้ามาแต่ไกลแล้วแท้ๆ…”
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะอาซแอบออกไปรับอาเรียโดยพลการ และมันก็เป็นเรื่องผิดแผกเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้เสียด้วย
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกสงสารอาเรียที่ต้องรออยู่คนเดียวในรถม้าโดยไม่มีมกุฎราชกุมาร และแล้วหนึ่งในอัศวินผู้อารักขารถม้าก็เปิดประตูออก
“ตายแล้ว ออกมาพระองค์เดียวจริงๆ ด้วยครับ”
“น่าสงสารเสียจริง…”
และแน่นอน คำแสดงความเห็นอกเห็นใจของมวลชนได้หลั่งไหลไปหาอาเรียอีกครั้ง ทว่าผู้ที่ออกมาจากรถม้าเป็นคนแรกคืออาซ หาใช่อาเรีย ซึ่งผิดไปจากความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง
“…!”
“…เจ้าชายไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร…”
“เกิดอะไรขึ้น…”
พิธีนี้นั้นกระทั่งราชวงศ์ของต่างประเทศก็ยังมาเข้าร่วมด้วย เขาควรดำเนินการอย่างเป็นทางการตามลำดับพิธีมากกว่าครั้งไหนๆ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คืออะไรกัน
“ลงมาได้แล้วครับ”
เขายื่นมือเข้าไปด้านในตัวรถ
อย่าบอกนะว่าพวกเขานั่งรถมาด้วยกันก่อนจะเข้าพิธีอีก!
แน่นอน มันไม่ได้ถือเป็นข้อห้ามสำหรับชายหญิงที่จะนั่งรถม้าด้วยกัน แต่วันนี้คือวันพิธีอภิเษกสมรส
ท่ามกลางผู้คนหลายแสนที่เฝ้ามองผู้เป็นหน้าเป็นตาแห่งจักรวรรดิอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทั้งสองควรโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจที่พวกตนได้ทำผิดลำดับพิธีการทั้งยังนั่งรถมาด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้บรรดาขุนนางต่างพากันไม่ยอมรับและพยายามบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้และนี่คือความเสื่อมเสียในระดับสากล ทว่าอาเรียไม่ปล่อยให้ผู้คนรอคอย ในที่สุดเธอก็ยื่นมือมาจับมืออาซก่อนจะลงมาจากรถม้า
“…ให้ตายสิ”
“…เจ้าชายทำเช่นนี้ได้อย่างไร…”
เขาทำเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ในที่สาธารณะได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่และบรรดาขุนนางต่างชาติก็พากันหัวเราะอย่างมีความสุขต่างจากปฏิกิริยาของขุนนางส่วนหนึ่งในจักรวรรดิ
โดยเฉพาะบรรดาขุนนางที่มาจากโครอา แม้อาเรียจะไปอยู่ในฐานะเลดี้ของมาร์ควิสแห่งโครอาเพียงไม่นาน แต่เธอมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ข่าวลือนั่นแพร่สะพัดข้ามจักรวรรดิและโครอาไปถึงประเทศอันไกลโพ้นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่าเธอเป็นพวกเดียวกันไปโดยปริยาย
บรรดาขุนนางจากโครอาดูจะชอบใจที่เห็นอาซติดอาเรียแจเหมือนคนทึ่มจนไม่รักษาลำดับพิธีการและทำตัวผิดผีแบบนี้ พวกเขาคิดว่าอาเรียผู้มีเชื้อสายโครอาจะได้รับการดูแลอย่างดีที่นี่
และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดผิด เพราะเพื่ออาเรียแล้ว ต่อให้ขอให้อาซขอเธอแต่งงานตรงนี้อีกครั้งเขาก็พร้อมจะทำทันที
เหนือสิ่งอื่นใดคือนิสัยของโรฮัน ราชาแห่งโครอาที่ค่อนข้างรักอิสระและมักจะแสดงพฤติกรรมที่ห่างไกลคำว่ามารยาทเสมอ พวกเขาจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะตำหนิทั้งสองได้
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ”
“หากเทียบกับท่านโรฮันแล้วพระองค์นับว่ายังปกตินะครับ”
“นั่นสิครับ ลำดับนั้นสำคัญไฉนล่ะครับ สิ่งที่สำคัญคือตัวพิธีอภิเษกไม่ใช่หรอกหรือครับ”
“ไม่รู้เมื่อไรท่านโรฮันจะเติบโตขึ้นมาอย่างดีแบบนั้นแล้วเข้าพิธีอภิเษกเสียทีนะครับ”
“โชคร้ายที่ท่านโตแล้วครับ”
“ให้ตายเถอะ โชคร้ายจริงๆ นั่นล่ะครับ”
โรฮันนั่งอยู่ในโถงพิธีเรียบร้อยแล้วดังนั้นบรรดาขุนนางแห่งโครอาจึงไม่คิดจะระวังคำพูดของตัวเอง
เหล่าสามัญชนหลายแสนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูวังเพราะไม่อาจเข้าไปภายในพระราชวังได้ต่างพากันแซ่ซ้องแสดงความยินดีต่ออาเรียและอาซ ความรักของพวกเขาที่มีต่ออาเรียมีมากจนล้นทะลัก
แล้วแบบนี้พวกเขาจะมองมกุฎราชกุมารที่ไม่สนใจมารยาทแบบนั้นแต่หลงรักอาเรียผู้ให้ความเมตตากับพวกเขาอย่างเปิดเผยในแง่ร้ายได้อย่างไร
อาเรียและอาซออกมาจากรถม้าแล้วค่อยๆ เดินไปตามทางที่โปรยด้วยดอกทิวลิปราวกับไม่เคยคิดจะทำตัวผิดลำดับพิธีมาก่อน กลิ่นหอมสดชื่นของดอกทิวลิปอบอวลไปทั่วทั้งพระราชวังเพราะสายลมอันแสนอบอุ่น
ทั้งพลเมืองหลายแสนคนที่คอยพร่ำบอกคำแสดงความยินดีให้เธอ ทั้งสายตาอบอุ่นของขุนนางที่ในอดีตเคยแต่จะสาปส่งและก่นด่า กระทั่งอาซซึ่งกำลังเดินเคียงข้างจับมือเธออยู่ตอนนี้
‘ฉันมีความสุขได้แล้วใช่ไหม’
อาเรียถอนหายใจยาวเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นแรงกว่าที่คิด ทั้งยังกะพริบตาซ้ำๆ หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ขณะเดียวกันความกังวลจากแรงกดดันก็จู่โจมเข้ามาไม่ทันให้ตั้งตัว ริมฝีปากพลันแห้งผากเพราะความประหม่า
เมื่อสังเกตเห็นอาการนี้อาซก็เพิ่มแรงจับที่มือก่อนจะเอ่ยถามอาเรียด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย เสียงจากนอกพระราชวังดังลั่นทำให้อาซต้องเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นตามไปด้วย
“ดูไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะครับ เจ็บหรือป่วยตรงไหนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นค่ะ…”
“เช่นนั้นแล้วทำไม…”
คำปฏิเสธของอาเรียทำให้สีหน้าอาซหม่นลงไป ดูเหมือนเขากำลังกลัวว่าอาเรียจะเปลี่ยนใจ เพราะบกพร่องของตัวเขาเองที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
หากเป็นเวลาปกติเขาคงรู้ได้ในทันทีว่าเธอไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่อาซในตอนนี้ก็กำลังประหม่าเช่นเดียวกันกับอาเรีย
เพราะนี่ไม่ใช่งานหมั้นกับไอซิสผู้เป็นบุตรสาวคนโตของอดีตดยุกเฟรดเดอริกที่เกือบจะถูกจัดขึ้นจากสัญญา หากแต่เป็นงานแต่งงานกับหญิงสาวที่เขารักเธออย่างแท้จริง
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะกังวลเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีแม้เพียงเล็กน้อยจากเธอ
อาเรียสังเกตเห็นเพราะความกังวลเหล่านั้นปรากฏบนสีหน้าอาซอย่างชัดเจน นั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาเองก็อยู่ในสภาพเดียวกันจึงพยายามกลับมาทำให้จิตใจตัวเองรู้สึกมั่นคงอีกครั้ง
เพราะเธอรู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องรู้สึกประหม่าอยู่แล้วเป็นปกติ อาเรียแย้มยิ้มอ่อนหวานพลางเพิ่มแรงจับที่มือข้างที่กอบกุมกันอยู่
“ฉันกลัวว่าคุณอาซจะเปลี่ยนใจน่ะค่ะ”
จากนั้นเธอก็พูดเสียงเรียบเรื่อยราวกับตัวเองไม่เป็นอะไรแล้ว คำพูดของเธอยังคงแฝงความนัยว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอย่างที่เป็นมาเสมอ
แต่อาซที่ยังประหม่าไม่หายกลับรับฟังมันอย่างเคร่งเครียดแล้วรีบร้อนแก้ตัวเป็นพัลวันว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงกังวลเรื่องนั้น ผมไม่มีทางอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้วนี่ครับ …ผมไม่รู้ว่าตัวเองบังอาจไปทำอะไรให้คุณไม่เชื่อถือ แต่ผมอยากให้คุณหายโกรธและเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของผมนะครับ ว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาดแม้ชีวิตผมจะหาไม่และทั้งร่างกายกับจิตวิญญาณผมจะมลายหายไปแล้วก็ตาม”
“…แม้ว่าจะตายไปแล้วหรือคะ”
“ครับ”
เขามั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไรกัน มันช่างเป็นคำแก้ตัวและคำยืนยันที่เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเขาประกาศออกมาอย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ แล้วเธอจะแกล้งให้อาซไม่สบายใจต่อไปได้อย่างไร
และตอนนี้พวกเขาได้มาถึงห้องโถงที่กำลังจัดพิธีแล้ว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่สามารถพูดคุยกันได้อีกต่อไป
เธอไม่อาจเข้าไปข้างในทั้งที่ยังทำให้อาซไม่สบายใจอยู่อย่างนี้ได้ อาเรียจึงยิ้มกว้างจนเต็มใบหน้าและตอบอาซขอให้เขาทำเช่นนั้น
“คุณต้องทำเช่นนั้นให้ได้เลยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ต่อให้คุณห้ามผมก็จะทำอยู่ดี”
เมื่อทั้งสองต่างคลายกังวลลงแล้วก็เดินเข้าไปในโถงพิธีต่อหลังจากหยุดเดินอยู่สักพัก
ภายในห้องโถงนั้นเงียบสงบและเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดต่างจากด้านนอกที่มีเสียงของผู้คนนับแสนดังลั่นจนแสบแก้วหูไปหมด
ทั้งขุนนางและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ได้รับการคัดเลือกจากประเทศอื่นๆ ทั้งแอนนี่และเจสซี่ที่อาเรียได้ขอที่นั่งให้เป็นพิเศษ รวมถึงบารอนเวอร์บูมและฮานส์ก็อยู่ที่นั่นด้วย
สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปยังคนเพียงคนเดียว อาเรียค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับอาซ ในไม่ช้าเมื่อเธอเดินไปยังแท่นพิธีด้านหน้าและสวมมงกุฎบนหัว เมื่อนั้นเธอจะได้รับการยอมรับในฐานะพระชายาในมกุฎราชกุมารทันที
พอคิดถึงเรื่องนี้เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้งจนหลังแข็งทื่อไปหมด ทว่าท่าทางนั้นกลับทำให้อาเรียดูสง่างามเสียจนไม่มีใครมองออกว่าเธอกำลังตื่นเต้น
จากนั้นไม่นานอาเรียและอาซก็หยุดเดินเมื่อมาถึงใต้แท่นพิธี
เธอต้องผ่านเส้นทางอันยาวไกลและยากลำบากมามากมายจริงๆ กว่าจะมาถึงจุดหมายปลายทางแห่งนี้ นี่คือช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนโฉมหญิงสาวผู้ต่ำต้อยที่สุดในจักรวรรดิ ไม่สิ ในทวีปให้กลายเป็นสตรีผู้มีศักดิ์สูงสุด
อาเรียนึกถึงอดีตของเธอและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาใกล้แท่นพิธีพลางพยายามกดกลั้นความซาบซึ้งที่ถาโถมเข้ามา เพื่อให้เห็นหัวหน้าบาทหลวงที่กำลังจะปรากฏตัวพร้อมมงกุฎที่เขาเตรียมมา
ทว่าสิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นใบหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยเจอมาก่อนแม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วยามในที่ที่บาทหลวงควรจะยืนอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาผู้นี้ในคราบบาทหลวง
“…องค์จักรพรรดิ… ท่าน!”
คนผู้นั้นก็คือองค์จักรพรรดิที่เธอเคยได้เห็นใบหน้าของเขาเพียงครู่เดียวในพิธีประหารพวกกบฏนั่นเอง
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากองค์จักรพรรดิจะมาปรากฏตัวในงานอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมาร แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือการที่องค์จักรพรรดิผู้เก็บเนื้อเก็บตัวไม่เปิดเผยตัวตนเสียขนาดนั้นจะมาปรากฏตัวเอาในตอนนี้ต่างหาก
“ผมคิดว่าท่านพ่อคงรู้สึกวางพระทัยแล้วล่ะครับ ที่ผ่านมาพระองค์ทรงกลัวว่าจะถูกขุนนางคนใดคนหนึ่งคุกคามเอาชีวิตจึงเอาแต่เก็บพระองค์อยู่ในพระราชวัง”
อาซกระซิบเสียงเบาให้อาเรียได้ยินคนเดียวเพราะคิดว่าเธอจะต้องตกใจแน่นอน
พวกกบฏถูกประหารไปได้สักพักใหญ่แล้วและตอนนี้เขาได้ปรากฏตัวออกมาเสียที นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเอาแต่ใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่ในพระราชวังแล้วทิ้งงานที่ยากลำบากทั้งหมดไว้กับลูกชายหรอกหรือ หากเขามีแก่ใจจะช่วยอาซเสียหน่อย การจัดการพวกกบฏอาจจะจบลงเร็วกว่านี้ก็ได้
เป็นองค์จักรพรรดิเสียบ้าง แต่เมื่อคิดได้แบบนั้นอาเรียก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาสิ้นดี และยังรู้สึกว่าว่าเธอเองก็อาจโชคร้ายหากต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจองค์จักรพรรดิไปเช่นนี้โดยไม่รู้อะไรเลย
ไม่นานหลังจากไปถึงแท่นพิธี จักรพรรดิก็มองชายาในมกุฎราชกุมารพระองค์ใหม่ก่อนจะเริ่มกล่าวคำอวยพรที่เตรียมมา ซึ่งใจความส่วนใหญ่ปรารถนาให้จักรวรรดิมีอนาคตที่สดใสและเจริญรุ่งเรือง
เขาทำไม่สำเร็จดังนั้นในอดีตจึงเป็นอาซที่ทำให้จักรวรรดิเป็นเช่นนั้นแทน เธอคิดแบบนั้นขณะฟังคำอวยพรแต่แล้วอาซก็แอบจับมือเธอก่อนจะกระซิบบอกอาเรียเบาๆ
“ท่านพ่อตรัสว่าจะทรงลงจากบัลลังก์ในเร็ววันนี้ครับ จากนั้นพระองค์ก็จะเสด็จออกจากนครหลวง”
เขาบอกว่าจะถอยเพราะรู้สถานะของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่หรอก ดูจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้แล้วควรบอกว่าเขายอมถอยเพื่อรักษาชีวิตน่าจะเหมาะกว่า
เพราะแม้จะบอกกันว่าพวกกบฏได้ถูกไล่ออกไปแล้วและตอนนี้คือยุคสมัยแห่งความสงบสุข แต่คนพวกนั้นอาจปรากฏตัวมาคุกคามอำนาจของราชวงศ์อีกเมื่อไรก็ได้
“มงกุฎ”
จักรพรรดิกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมหลังจากกล่าวคำอวยพร เขารับมงกุฎของพระชายามาจากมหาดเล็กที่ยืนรอถวายการรับใช้อยู่ด้านหลังแล้วส่งต่อไปให้อาซ
การแสดงออกทางสีหน้าของเขาดูเข้มขลังราวกับเขาเป็นคนได้รับพรเสียเอง แม้ในความเป็นจริงเขาจะไม่มีส่วนช่วยสร้างจักรวรรดิอันสงบสุขนี้เลยสักนิดก็ตาม
อาซหันไปหาอาเรียทันทีเมื่อได้รับมงกุฎ อาเรียจึงก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อให้เขาสามารถสวมมงกุฎลงบนหัวของเธอได้
ค่อยๆ สวมให้อย่างระมัดระวังไม่ให้หล่นลงมา
อาซวางมงกุฎไว้บนหัวอาเรียช้าๆ ราวกับเวลาได้หยุดเดินไป สัมผัสของเขาเป็นไปอย่างระมัดระวังด้วยกลัวว่ามงกุฎเจ้ากรรมจะร่วงลงไป
แต่ถึงแม้เขาจะไม่ทำเช่นนั้น บรรดานางกำนัลที่ยืนอยู่รอข้างๆ เธอก็พร้อมจะดูแลให้แน่ใจว่ามันจะไม่หล่นอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังตั้งใจเพื่อไม่ให้มีสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น
“ขอจงประสาทพรให้พระชายาแห่งมกุฎราชกุมารผู้ซึ่งได้เกิดใหม่ในวันนี้!”
เมื่อมงกุฎขึ้นไปอยู่เหนือหัวอาเรียเป็นที่เรียบร้อย จักรพรรดิก็กล่าวเสียงดังเพื่อให้ทั้งโถงพิธีทราบว่าพระชายาในมกุฎราชกุมารได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
ยังเหลือลำดับพิธีที่จะต้องแลกแหวนและดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่อีก แต่เท่านี้ก็น่าซาบซึ้งใจพอที่จะทำให้คาริน ไวโอเล็ต และซาร่าซึ่งนั่งอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยเริ่มน้ำตาคลอกันได้แล้ว
เมื่ออาซและอาเรียแลกแหวนที่ทำจากอัญมณีที่มีสีเดียวกับนัยน์ตาของอีกฝ่าย กระทั่งแอนนี่ที่อยู่เคียงข้างอาเรียเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนก็ยังหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ขอบตาหรือก็แดงก่ำ
คำอวยพรแสดงความยินดีเกี่ยวกับการประสูติของพระชายาในมกุฎราชกุมารและการที่มกุฎราชกุมารได้มีคู่ครองเคียงข้างพระวรกายยังคงดังกึกก้องต่อไปมิรู้ดับ
…………………