“ในเมืองหลวงเธอยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่สำหรับทางใต้แล้วเธอเป็นดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงมากทีเดียวครับ”
เรนเริ่มเปิดเผยเรื่องราวเท่าที่เขารู้มาเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ท่ามกลางบรรดาเลดี้ได้นานขึ้นอีกหน่อย
เขาไม่มีเรื่องที่ต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว เพราะหลังจากได้รับการลงทุนจากอาเรีย ดีไซเนอร์คนนั้นก็ปกปิดความยินดีเอาไว้ไม่มิด เธอเที่ยวไปโอ้อวดตรงนั้นตรงนี้ด้วยความภูมิใจ ดังนั้นผ่านไปไม่นานเรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวลือที่ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งใต้
ได้รับเลือกจากอาเรียก็เหมือนได้รับการยอมรับในความสามารถทั้งยังได้โอกาสในการทำให้ชื่อเสียงของเธอเป็นที่รู้จักไปทั่วแผ่นผืนทวีปอีกด้วย แล้วแบบนี้เธอจะไม่ภูมิใจได้อย่างไรกัน
เรนนับว่าตัวเองโชคดีที่ได้ยินข่าวนี้ตอนที่ตัวเองกำลังขึ้นมาจากทางใต้พอดี เขาเปิดเผยข้อมูลได้อย่างเหมาะสมแล้วยกชาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นจิบ ก่อนจะส่งไม้ต่อไปให้อาเรีย
เพราะเรนไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุยอะไรไร้สาระ เขาแค่มาเปิดประเด็นเอาไว้แล้วคอยมองอาเรียห่างออกมาหน่อยเท่านั้น
“…เธอมีกำหนดมาเยือนเมืองหลวงในอีกไม่นาน ถึงตอนนั้นฉันจะแนะนำเธออย่างเป็นทางการอีกทีนะคะ แต่เธอยังไม่ชำนาญเท่าไรนัก ทุกคนอาจจะผิดหวังก็ได้ค่ะ”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกันคะ พวกเราจะตั้งตารอเลยละค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะ ยิ่งมีคนที่ทำของสวยๆ งามๆ ได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีนะคะ”
“จริงค่ะ ดิฉันดีใจที่มีพระชายาผู้ปรีชาสามารถรอบรู้ในหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราไม่เคยรู้ค่ะ”
ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ได้มาเพื่อทดสอบ เพราะทุกคนล้วนมีความรักให้อาเรียจากใจจริงทั้งสิ้น
พวกเธอไม่มีทางเกลียดคนที่ทำให้พวกเธอซึ่งเคยถูกกดขี่ให้อยู่เงียบๆ ในแวดวงชนชั้นสูงในตอนแรกขึ้นมาอยู่บนจุดนี้ได้แน่
นอกจากนั้นแล้วอาเรียยังต้องแบกโครอาไว้บนหลังด้วย อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ก็อยู่ข้างเธอ เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือเจ้าชายยังเธออย่างสุดหัวใจ แล้วพวกเธอจะเกลียดหรือต่อต้านอาเรียได้อย่างไร
พวกเธอควรทำตัวให้ถูกมองว่าทำดีต่ออาเรีย ควรทำตัวว่าอยู่ข้างเดียวกับเธอ ต่อให้เกลียด อาเรียก็ไม่ใช่คนที่พวกเธอจะแสดงออกว่าเกลียดได้อยู่ดี
“ชมกันเกินไปแล้วค่ะ ฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก”
เมื่ออาเรียเอ่ยตอบพร้อมสีเลือดฝาดน้อยๆ บนใบหน้า เหล่าเลดี้ทั้งหลายก็พากันยกพัดมาปิดปากไว้อย่างไม่อาจปกปิดความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่ออาเรียไว้ได้
นวลหน้ามีเสน่ห์ที่ดึงดูดคนให้หลงใหลไม่เลือกเพศเลือกวัย ใบหน้าของอาเรียช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนทำให้บรรดาคุณนายทั้งหลายพากันหลงใหลราวกับเธอตั้งใจทำให้มันเป็นเช่นนั้น
แม้กระทั่งสายตาของเรนที่มองไปเจอใบหน้าน่ารักของเธอเข้าพอดียังเลื่อนลอยไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปมองถ้วยน้ำชาอย่างที่ควร เขาถอนหายใจพลางไม่นึกแปลกใจแล้วที่เจ้าชายเป็นห่วงเธอ
“ถ่อมตนเสียจริงนะคะ”
“พวกเราเสียอีกที่มีอะไรต้องเรียนรู้จากพระชายาอีกมาก”
“ฉันก็เห็นด้วยค่ะ”
“เจ้าชายโชคดีเหลือเกิน”
“จักรวรรดิของเราก็เช่นกันนะคะ”
เหตุนี้บทสนทนาจึงดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหลรวมทั้งบรรยากาศเป็นมิตรก็เช่นกัน
นี่เป็นสถานการณ์ที่ดีมากสำหรับอาเรียที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งพระชายาในเจ้าชาย แต่มันกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับเรน เห็นได้ชัดว่าหากเขารายงานไปตามนี้มันต้องทำให้อาซหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าตอนนั้นอาซให้ความสนใจกับคนรอบตัวอาเรียมากกว่า แต่เป็นความสนใจที่ไม่ดีเท่าไรนัก
ในอดีตเขาอยู่ไกลจากเธอและมันก็ยากที่จะได้เจอเธอโดยตรง ความห่วงหาจึงไม่มากมายเท่านี้ ทว่าตอนนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว เขาจะไม่ขุ่นข้องหมองใจได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้มีผู้คนมากมายมาชื่นชมและชื่นชอบอาเรียต่อหน้าต่อตาเขาเช่นนี้
หากอาซมีเวลาเจอกับอาเรียมากพอเขาคงไม่เป็นไร แต่นี่เขามีงานมากมายล้นมือจนไม่มีเวลาได้เจอเธอบ่อยๆ จึงไม่แปลกที่เขาจะโกรธ
ดังนั้นเรนต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างชาญฉลาด เช่นเดียวกับที่เขาเคยแก้ไขความสับสนของอาซที่มีต่อมิเอลและอาเรียในอดีต
แต่เขาคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอให้ตัวเองแก้เผ็ดอาซได้เล็กๆ น้อยๆ ที่อีกฝ่ายเคยส่งเขาไปอยู่ในพื้นที่ชนบทไกลปืนเที่ยงขนาดนั้น เขาต้องยืดเวลาออกไปสักหน่อยจะได้ไม่ถูกจับได้
เทียบกับตอนนั้นที่อาซใช้งานเขาอย่างกับหมาแล้ว การแก้แค้นนี้ดูเหมือนจะเล็กน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
คิดได้แบบนั้นเรนก็เรียกอาเรียที่กำลังบอกลากับเหล่าคุณหญิงคุณนายซึ่งลากลับหลังจากงานเลี้ยงน้ำชาสิ้นสุดลง
“พระชายา ผมมีเรื่องจะแจ้งครับ”
“เรื่องยาวหรือเปล่าคะ พอดีฉันมีตารางงานต่อ หรือว่าอาซฝากมาบอกหรือคะ”
“ใช่ครับ”
อาเรียเองก็ยุ่งพอๆ กับอาซแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยักหน้าราวกับกำลังรอเวลาที่เหมาะสมที่จะได้คุยกันสองคน เพราะคิดว่าเรนไม่มีทางมาหาเธอหากไม่มีเรื่องอะไร
“ดิฉันหวังว่าจะได้เจอพระชายาอีกนะคะ”
“ฉันก็เช่นกันค่ะ”
“เช่นนั้นขอให้เลดี้ทั้งหลายสบายดีจนกว่าจะได้พบกันใหม่นะคะ”
อาเรียเป็นฝ่ายส่งพวกเธอออกไปก่อนแล้วจึงกลับมานั่งที่โต๊ะที่ถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อย
เรนตามกลับมานั่งตรงข้ามกับอาเรียก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดแล้วพูดขึ้น
“เจ้าชาย… ท่านเป็นกังวลน่ะครับ”
“กังวลหรือคะ”
“ครับ …กังวลว่าพระชายาจะทำได้ดีหรือไม่ มีปัญหาอะไรหรือไม่น่ะครับ”
เขาไม่ได้พูดผิดทว่าความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันฟังดูเหมือนที่เรนมาหาเพราะต้องการมาตรวจดูว่าอาเรียปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพระชายาได้ดีหรือไม่
“…”
นั่นทำให้อาเรียได้แต่เงียบ เธอคล้ายจะเข้าใจความหมายที่เรนต้องการจะสื่อในทันที
เรนจึงรีบพูดเสริมก่อนที่อาเรียจะเริ่มสงสัยคำพูดของเขา
“เจ้าชายอัสเทอโรพีเป็นห่วงพระชายามากเหลือเกินครับ เพราะอย่างนั้นแม้จะยุ่งอยู่แต่ก็อยากดูแลพระชายาเช่นกันครับ ก็เลยส่งผมมาที่นี่เพราะเป็นห่วงพระชายาจนไม่เป็นอันทำงานครับ แน่นอนว่าพอผมเห็นแล้วว่าพระชายาปฏิบัติภารกิจได้เป็นอย่างดี ผมเองก็คงกลับไปทูลรายงานได้อย่างสบายใจแล้วล่ะครับ ทั้งที่พระชายาเพิ่งมาอยู่ในวังได้ไม่นานแต่ก็ทำได้ดีมากเลยครับ!”
เขาอธิบายมาเสียยืดยาว ที่พูดยาวขนาดนี้ก็เพราะกลัวจะโดนจับได้แต่ค่อยยังชั่วที่อาเรียเหมือนจะมองไม่ออก
แม้มันจะเป็นเรื่องโอละพ่อเมื่อเทียบกับความเป็นจริงแต่เรนผู้ไร้ยางอายกลับทำสีหน้าพออกพอใจก่อนจะเอ่ยตอบ
เขาย่อมต้องพอใจอยู่แล้วล่ะ ในเมื่อเขาคือคนที่ปั้นน้ำจนเป็นตัวขนาดนี้นี่
จากนี้ไปอาเรียจะพยายามทำงานให้หนักมากขึ้นในฐานะพระชายาและเรียนรู้ในสิ่งที่เธอยังขาดตกบกพร่องไปเพื่อให้อาซเป็นห่วงเธอน้อยลง
ดังนั้นเธอจะมีเวลาน้อยลงกว่าที่เป็น หมายถึงเวลาที่จะได้เจออาซน่ะนะ
เรนยิ้มกว้างพลางคิดว่าเขาจะยืดเวลาระหว่างทั้งสองคนออกไปอีกสักหน่อยแล้วค่อยแก้ไขความเข้าใจผิดทีหลังก็ได้ มันคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนที่มีแผนร้ายในใจ
“เช่นนั้นผมขอตัวไปรายงานเจ้าชายก่อนนะครับ ผมคงได้มาหาเจ้าชายอีก ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
“…ค่ะ”
อาเรียจมอยู่กับความคิดตัวเองสักพักจากคำพูดของเรน ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินออกไปพร้อมนางกำนัลเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในลำดับถัดไป แม้จะเป็นฝีเท้าที่ดูเร่งรีบแต่ก็แฝงไปด้วยความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
จากนั้นเรนซึ่งโผล่มาวางระเบิดไว้ก็เดินกลับไปหาอาซที่ห้องทำงานอย่างสบายใจ
กระทั่งในฝีเท้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจ เขารู้ดีว่าจะแก้เรื่องราวทุกอย่างนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาต้องกลัว
“เธอเป็นยังไงบ้าง”
อาซเอ่ยเร่งเรนที่เพิ่งกลับมาอีกครั้งเพื่อรายงาน บอกให้เรนเล่าให้ฟังว่าไปเห็นอะไรมาบ้าง ทั้งที่เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่อาซดูใจร้อนราวกับหนึ่งชั่วโมงที่ว่านั้นนานพอๆ กับหนึ่งพันล้านปี
“พระชายาสบายดีมากๆ เลยล่ะครับ ทั้งยังเป็นที่รักของบรรดาสตรีชนชั้นสูงอีกด้วย เจ้าชายไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วล่ะครับ”
“…”
เรนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและตอบในสิ่งที่จะทำให้อาซรู้สึกผิดหวัง ทันใดนั้นอาซก็ขมวดคิ้วทันที
เรนพูดต่อ
“ถึงอย่างไรการที่เราไล่พวกกบฏออกไปได้เพราะความสำเร็จของพระชายาก็เป็นปัจจัยใหญ่ครับ พวกเธอไม่มีใครถามหรือคัดค้าน มีแต่ทำตามพระชายากันทุกคนเลยครับ ยิ่งไปกว่านั้นแล้วพระชายายังทรงฉลาดหลักแหลมอีกด้วย! พระชายาพูดถึงดีไซเนอร์คนใหม่ที่ประสงค์จะลงทุน ทรงเรียกความสนใจจากพวกเธอได้ในครั้งเดียวเชียวครับ”
“…”
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะพระชายาต้องการช่วยเจ้าชายหรือครับ ผมคิดเช่นนั้นกับพระชายามานานแล้วแต่พระชายาเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าชายต้องมั่นใจในตัวพระชายานะครับ”
เรนมักจะเข้าใจสภาพของอาซมาเสมอและยังคอยให้คำตอบที่เหมาะสมกับเขา ‘แล้วเหตุใดวันนี้เรนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้’ สีหน้าของอาซบอกแบบนั้นก่อนที่เขาจะก้มลงมองมือที่ถือปากกาอยู่ข้างตัวเองแล้วเงียบไปสักพัก
ปากกาเจ้ากรรมไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น หากแต่เป็นเพราะสีหน้าเขาตอนนี้ต่างหากที่มีแต่ความโกรธเคืองว่าทั้งที่เขาเพิ่งจะอภิเษกกันมาไม่นานแล้วเหตุใดยังเป็นเช่นนี้ได้
เรนมองอาซแล้วก็ได้แต่กลั้นขำอยู่ในใจ แต่แล้วอาซก็พูดขึ้นอีกครั้งราวกับได้คำตอบแล้ว
“ช่วงนี้นอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วฉันไม่อยากให้ใครเข้ามาในพระราชวังอีก”
“…อะไรนะครับ”
“ชายาฉันกำลังมีความตั้งใจอย่างหนัก เราจะให้คนภายนอกมาแย่งเวลาเธอไปไม่ได้”
จากนั้นเขาก็จิบชาด้วยท่าทางที่ดูผ่อนคลายมากขึ้นราวกับว่านี่คือการตัดสินใจที่น่าพอใจมากสำหรับเขา ดูเหมือนนี่จะเป็นแผนในใจเพื่อขัดขวางไม่ให้คนอื่นได้พบเธอ หากเขาเองยังไปเจอเธอไม่ได้
และนั่นทำให้เรนตะลึงจนพูดไม่ออก
ต่อให้อาซจะอึดอัดเพียงใด แต่เขาเลือกวิธีสุดโต่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน… เรนจัดการปิดปากของตัวเองลงไปในขณะที่มันอ้าออกเองโดยอัตโนมัติ
“ทรงคิดจะทำเช่นนั้นจริงหรือครับ”
“ใช่น่ะสิ ช่วงนี้กำลังยุ่งดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรับคนภายนอกเข้ามา”
ไม่ใช่เพราะกำลังยุ่งหรอก แต่เพราะเขาแค่ไม่ต้องการให้อาเรียพบเจอกับใครคนอื่น และไม่อยากให้มีคนที่ชื่นชอบเธออยู่ใกล้ๆ เธอมากกว่า
“…เข้าใจแล้วล่ะครับ”
ราวกับสิ่งที่พูดไปไม่ได้พูดเพียงเล่นๆ อาซเรียกคนคนหนึ่งเข้ามาและสั่งเขาว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปห้ามให้คนภายนอกเข้ามาในพระราชวัง แม้จะเป็นเพียงการมาเยี่ยมเยียนของคนสนิทแต่ทุกคนต้องนัดหมายและกำหนดเวลาล่วงหน้า ทำให้เหล่ามหาดเล็กที่ต้องบอกยกเลิกกฎเดิมพากันหายไปจนหมด
“ถ้าอย่างนั้นกลับไปดูอีกทีว่าพระชายาทำอะไรอยู่แล้วกลับมารายงานด้วย”
“…ครับ”
“กลับมารายงานหลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงนะ”
“…ครับ”
เรนคิดว่าผลที่ได้จะเป็นไปในทิศทางอื่นที่แปลกประหลาด ทว่าตอนนี้เขาเริ่มเสียใจกับหนทางแก้ไขที่ได้เสนอไปเสียแล้ว
เรนคิดว่าหากได้เห็นอาซว้าวุ่นใจทุรนทุรายกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย ความแค้นเขาน่าจะคลายลงมาได้บ้าง เพราะถ้าไม่ใช่ครั้งนี้เขาคงไม่มีโอกาสทำให้เจ้าชายเป็นทุกข์ได้ด้วยตัวเองอีก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลับไปหาอาเรียอีกครั้งและได้เห็นว่าเธอกำลังเรียนประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อยู่ อาเรียมองไปที่ขุนนางซึ่งกำลังร่ายยาวรายชื่อสมาชิกราชวงศ์รุ่นที่ผ่านมา และอธิบายผลงานทั้งหมดของพวกเขาด้วยสีหน้าหนักใจราวกับเธอไม่ถนัดเรื่องท่องจำ
“…ดังนั้นพระจักรพรรดิโฮมูคีเดน ฟรานซ์ จักรพรรดิพระองค์แรกได้ทรงรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งเป็นจักรวรรดิขึ้น ทรงบัญญัติกฎหมายแห่งจักรวรรดิและทำให้เหล่าขุนนางเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ จากนั้นจักรพรรดิองค์ที่สอง…”
ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังค่อยๆ ท่องรายชื่อสมาชิกราชวงศ์ช้าๆ ทั้งคอยถามคำถามอยู่เรื่อยๆ โดยไม่คิดยอมแพ้หรือปริปากบ่นแม้สักคำ เรนไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเมื่อก่อนนี้เธอเคยมีข่าวลือพรรค์นั้นได้อย่างไร
ขุนนางที่กำลังสอนประวัติศาสตร์ให้อาเรียอยู่ก็คงคิดเช่นเดียวกัน เพราะแม้เธอจะดูหัวช้ากว่าชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่เขาเคยสอนมา ทว่าขุนนางผู้นั้นก็ยังคงมองอาเรียด้วยแววตาอ่อนโยน
เรนคิดว่าเธอดูแตกต่างจากตัวเขาในวัยเด็กที่คอยเอาแต่หนีและหาเรื่องทะเลาะกับอาจารย์อยู่ทุกวันเมื่อเชื่อวันโดยสิ้นเชิง แม้เขาคือผู้ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นขุนนางแท้ๆ ก็ตาม
“เอาล่ะ ทำได้ดีมากครับ”
“ไม่ใช่ว่าหัวช้าหรอกหรือคะ ฉันท่องจำไม่ค่อยเก่งเท่าไร…”
“อืม ช้าไปบ้างแต่ก็จำสิ่งที่เรียนได้ภายในครั้งเดียว ฉะนั้นผมไม่อาจบอกว่าพระชายาเรียนรู้ช้าได้หรอกครับ”
คำพูดของเขาทำให้อาเรียยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ อาเรียยังเรียนคาบประวัติศาสตร์ของเธอต่อไปอีก 30 นาทีก่อนจะวางหนังสือลงในที่สุดเมื่อหมดเวลาที่กำหนดไว้
“เจ้าชายส่งมาอีกแล้วหรือคะ”
และหันมาถามเรนซึ่งคอยมองการเรียนการสอนของเธออยู่ไกลออกไป
เรนลังเลที่จะตอบเพราะท่าทางของเธอที่มาสะกิดต่อมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาเข้า แต่ในไม่ช้าเขาก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้เมื่อคิดว่าเขาไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้ว
………………