เมื่อการโต้เถียงยังคงดำเนินต่อไป อาซก็แทรกเข้ามาไกล่เกลี่ยให้หยุดเถียงกัน ซึ่งต่างจากตอนแรกที่ถึงแม้การอภิปรายจะยุ่งเหยิงไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงยิ้มเล็กๆ เป็นยิ้มที่ทำให้รู้สึกดีอย่างไม่มีเหตุผล
“มีความเห็นดีๆ ออกมาเยอะแยะเลย”
ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคำพูดของอาซด้วยแววตาส่องประกาย และยังดูเหมือนพวกเขาจะฟังอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ให้พลาดแม้แต่คำเดียว รวมทั้งเรนเองที่ถึงแม้บางทีจะมีสีหน้าติดเล่นไปบ้าง ก็ตั้งใจฟังเขาเช่นกัน อาเรียเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป คล้อยตามบรรยากาศนั้น
“ความเห็นที่ผมชอบที่สุดคือ… ความเห็นที่ให้ส่งไม้ต่อไปให้พรรคชนชั้นสูง”
ซึ่งเป็นความเห็นของอาเรีย
“เหนือสิ่งอื่นใด ผมชอบที่ว่าเราสามารถกล่าวโทษพรรคชนชั้นสูงในภายหลังได้”
แก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากได้รับคำชม แม้จะไม่ได้ใช้นาฬิกาทราย เพราะทั้งในอดีตและปัจจุบัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับคำชมจากคนอื่น อาซเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น หลังจากได้ทบทวนสิ่งนี้ดูแล้ว
“อย่างที่ทุกคนรู้… โอกาสแบบนี้ไม่ได้หามาได้ง่ายๆ”
การอภิปรายที่กินเวลาไปค่อนข้างนาน จบลงด้วยความเห็นของอาเรีย ซึ่งเป็นความเห็นที่ว่าเจ้าชายจะต้องเสียสละสิ่งเล็กน้อย เพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า อาซมีท่าทีที่ค่อนข้างพึงพอใจ
‘ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้น แต่พอคิดดูแล้ว มันก็เป็นแค่ทฤษฎีลอยๆ เอาไปใช้จริงไม่ได้ แต่ทุกคนก็ดูมีอารมณ์ร่วมกันน่าดูเลยนะนี่’
อีกทั้งที่นี่ยังมีคนที่เป็นพรรคชนชั้นสูงเข้ากระดูกอยู่ด้วยแท้ๆ แต่ทุกคนกลับอภิปรายแต่เพื่อผลประโยชน์ของเจ้าชาย
อาเรียมองเช็กดูสภาพการณ์ของวิการ์สมาชิกพรรคชนชั้นสูง เขาคุยกับคนที่นั่งข้างๆ เรื่องอะไรสักอย่าง ด้วยสีหน้าสดใสเป็นอย่างมาก
ในตอนที่เธอเอียงคอด้วยความสงสัย เขาก็หันมามองเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของอาเรียที่จ้องมา เขายิ้มและกล่าวชื่นชมในความฉลาดของเธอ โดยที่เธอไม่คาดคิด
“ทำไมผมถึงไม่เคยรู้จักหญิงฉลาดๆ อย่างคุณอาเรียมาก่อนหน้านี้นะครับ”
“คงเป็นเพราะฉันไม่ได้ดีเลิศขนาดที่จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงคุณที่ไม่รู้จักกันน่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แม้จะเป็นตอนนี้ก็ตาม หวังว่าต่อจากนี้จะได้พบกันอีกบ่อยๆ นะครับ”
เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ เธอจำได้ว่าระหว่างการอภิปราย เขาเอาแต่ออกความเห็นไม่ให้ทำอะไรที่จะกระทบกระเทือนเจ้าชายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้ทุกคนจะทำแบบนั้นก็จริง แต่พฤติกรรมของเขาดูแปลกมากสำหรับเธอที่รู้ว่าเขาอยู่พรรคชนชั้นสูง ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอมีลางสังหรณ์ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายอย่างมาก
‘อย่าไปคิดอะไรมากเลย’
อาเรียส่ายหัว เธอเข้าร่วมการพบปะเพียงเพื่อเพิ่มพูนความรู้ และมอบจุดจบอันเลวร้ายที่สุดให้มิเอลเท่านั้น จะคาดเดาและก้าวก่ายอะไรมากไปก็ไม่มีความหมาย
หลังจากการพบปะสิ้นสุดลง ผู้คนที่มารวมตัวกันที่ใต้ดินก็ทยอยกันกลับไปทีละคนด้วยเวลาที่ต่างกัน ดูจากสถานที่รวมตัวแล้ว ช่างเป็นการพบปะที่พวกเขาระมัดระวังตัวมากเลยทีเดียว
ผู้คนออกไปตามลำดับที่เรนกำหนด คนที่เหลืออยู่มีเพียงอาเรีย อาซ และเรน อาซยื่นคางเป็นนัยๆ ถามเรนที่ยังไม่ออกไปแม้จะถึงลำดับตัวเองแล้วก็ตาม
“ทำอะไรอยู่ล่ะ ทำไมยังไม่ออกไปอีก?”
“…ครับ? ผมก็ต้องออกไปหรือครับ?”
“ออกไป”
เรนยิ้มราวกับเขารู้สึกอับอาย หลังจากที่อาซพูดตอบอย่างเด็ดขาด ก่อนจะเดินออกไป
ผู้คนทั้งหมดออกไป เหลือเพียงอาเรียและอาซในพื้นที่โล่งว่างนี้
และคนที่เอ่ยปากขึ้นก่อนก็คืออาเรีย
“ทำไมไม่บอกชื่อจริงไปล่ะคะ?”
“จะได้เข้าใจว่าเลดี้เป็นคนแบบไหนน่ะครับ”
อาซตอบออกมาอย่างง่ายๆ ราวกับเขารอให้เธอถาม อาเรียถามคำถามเขาต่อ
“ทำไมถึงพยายามจะเข้าใจฉันล่ะคะ”
“เพราะผมสนใจเลดี้ยังไงล่ะครับ”
อาเรียขมวดคิ้ว นั่นเป็นเพราะคำว่า ‘สนใจ’ หลังจากนั้น อาซก็อธิบายต่อ
“มันเริ่มจากที่เลดี้ทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับคาสิโน แต่เรื่องที่ผมได้ยินจากท่านเคานต์ต่อจากนั้น ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียวครับ”
“หมายถึงเรื่องธุรกิจขนสัตว์หรือคะ”
“ใช่แล้วครับ เพราะถ้าเป็นระดับที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากเลดี้อายุน้อย และกำลังวางแผนสร้างธุรกิจใหม่แล้วล่ะก็ ผมคิดว่าเขาต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”
“เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยช่วยธุรกิจท่านพ่อหรือคะ”
“จะมองว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมอยากทำความสนิทสนมและค้นหาว่าเลดี้เป็นคนอย่างไรน่ะครับ”
เขาทุ่มเทเงินทองไปตั้งมากขนาดนั้นเพื่อเรื่องแบบนั้นน่ะหรือ ตีสนิทเพื่อที่จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยน่ะหรือ
ตัวเธอมีค่าขนาดนั้นเลยหรือ สีหน้าของอาเรียเข้มขึ้น
“…แล้ว หาพบหรือยังคะ? ว่าดิฉันเป็นคนแบบไหน?”
นัยน์ตาของอาซมีสีเข้มขึ้น ซึ่งเป็นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่เดียวกับตอนที่เธอเจอเขาที่ลานกลางแจ้ง อาเรียตัวสั่นสะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วเขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูราวกับสัตว์ดุร้ายที่กำลังเล็งจ้องจะจับเหยื่อ
“ยังเข้าใจได้ไม่ทั้งหมด แต่…”
บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันที เมื่ออาซลากเสียงคำสุดท้ายให้ยาว อาเรียก็กลืนน้ำลาย
“ผมอยากค่อยๆ รู้ส่วนนั้นไปอย่างช้าๆ ต่อจากนี้น่ะครับ”
ต่อไปอีกเป็นเวลานานเลยล่ะ เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดเสริมมา เปลือกตาของอาเรียก็สั่นระริก เธอเคยได้ยินคำพูดที่ฟังดูยั่วยุมากกว่าที่เขาพูดมาแล้ว แต่อาจจะเพราะสายตาของเธอโดนนัยน์ตาคู่สีน้ำเงินเข้มของอาซดึงดูดไป ทำให้หัวใจเธอสั่นอย่างประหลาด
เธอหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม เพื่อทำให้หัวใจที่สั่นอยู่ของเธอสงบลง แม้ว่าน้ำจะไม่ค่อยอุ่นมาก เพราะมันถูกวางเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนที่อาเรียจะมาถึง แต่พอดื่มแล้ว ก็ทำให้เธอสงบลงได้นิดหนึ่ง
“มีเรื่องอะไรสงสัยอีกไหมครับ?”
“…มีค่ะ”
อาเรียสูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะตอบ
“คุณมาจากตระกูลไหนกันแน่คะ ดูจากของขวัญที่ส่งมาให้มิเอลแล้ว คุณคงจะไม่ใช่แค่คนธรรมดาแน่ๆ”
“ไม่รู้สิครับ มีตระกูลไหนที่เลดี้เดาไว้บ้างไหมครับ?”
“ถ้าในอาณาจักรนี้แล้ว ไม่มีตระกูลไหนที่ฉันพอจะนึกได้เลย ก็เลยคิดว่าคุณน่าจะเป็นชนชั้นสูงที่ฉันไม่รู้จักที่มาจากต่างอาณาจักรค่ะ”
แต่ดูจากที่เขาใช้ภาษาของอาณาจักรได้คล่องแคล่วขนาดนี้ ความเป็นไปได้นั้นก็หายไป อาซไม่สนใจคำถามของอาเรีย และถามเธอกลับเป็นครั้งแรก ด้วยสีหน้าจริงจัง
“สำหรับคุณหญิงแล้ว การที่ผมเป็นใครมาจากตระกูลไหนนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากเลยหรือครับ?”
อาซเป็นใครมาจากตระกูลไหนหรือ?
มันแน่นอนอยู่แล้ว ในอดีต เศรษฐีที่มาสนใจมิเอลเป็นใครมาจากไหนนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งมีอิทธิพลอำนาจหนุนหลังเธอมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขัดขวางเธอยากเท่านั้น
ทว่ามันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เธอได้ยินมาว่าอาซไม่ได้สนใจมิเอลเลยแม้แต่ฝุ่น อีกทั้งเขายังเลิกสนใจเธอในทันทีราวกับมันเป็นเรื่องจริง เดิมทีมันก็เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มจากความเข้าใจผิด ก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
และในตอนนี้อาซก็เป็นแค่คนที่เสนอให้เธอมาเข้าร่วมการพบปะเพื่อเพิ่มพูนความรู้ของเธอ เพราะอย่างนั้นเรื่องตระกูลของเขาก็ไม่ได้สำคัญอะไรเป็นพิเศษ
“…เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“เดี๋ยวพอเวลาผ่านไป คุณก็จะได้รู้อยู่ดี แม้จะไม่อยากรู้ก็ตาม”
แม้จะไม่อยากรู้ เดี๋ยวก็ได้รู้อยู่ดีนี่หมายความว่าอะไรกันนะ ถ้าเขาพูดแบบนั้นแล้ว เธอก็ถามอะไรต่ออีกไม่ได้ อาเรียหุบปากของเธอ เพราะมันเป็นวิธีการพูดที่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการบอกเธอมากไปกว่านั้นแล้ว
หลังจากนั้น เมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อาเรียก็ลุกยืนขึ้นก่อน แล้วอาซก็ตามหลังเธอมาราวกับเขาไม่สนใจเรื่องที่ให้เว้นระยะเวลาออกไปของแต่ละคน และในตอนที่เธอขึ้นมาถึงบันไดขั้นบนสุด
“เดี๋ยวก่อน”
เธอได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง และทันใดนั้นมือของเขาก็ตกลงมาอยู่ที่ข้างเอวเธอ แม้จะไม่ได้สัมผัสโดน แต่เมื่อเธอก้าวถอยกลับมาด้วยความตกใจ สิ่งที่สัมผัสหลังของเธอก็คือหน้าอกของอาซ
เธอเกือบจะโมโหออกไปว่านี่เขาทำเรื่องไร้ยางอายอะไร แต่ประตูด้านหน้าที่กั้นขวางเธออยู่ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงไขกุญแจ
“เชิญครับ”
“…”
มีเสียงดังเข้ามาในหูของอาเรียที่ยืนเหม่อและสับสนโดยไม่พูดอะไรนั้นว่า ‘ยังเหลือเรื่องอะไรที่ต้องทำหลงเหลืออยู่อีกไหม?’
อาเรียรีบออกไปนอกประตูอย่างรวดเร็ว ต่างกับอาซที่เดินออกมาปกติ และปิดประตูที่เปิดอยู่ให้สนิท เขามีท่าทีไม่ได้รีบร้อนอะไร ดูจากที่เขาทำกระทั่งหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และล็อกกุญแจ
อาเรียกัดริมฝีปาก เห็นได้ชัดเลยว่าเขาตั้งใจทำอย่างนั้นไม่ผิดแน่ หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงร้อนผ่าว
“ต้องขอบคุณเลดี้นะครับที่ทำให้เราสนทนากันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมหวังว่าเลดี้จะมาร่วมการพบปะครั้งต่อไปด้วยนะครับ เดี๋ยวจะแจ้งเวลาและสถานที่ผ่านเรนไปนะครับ”
“……จะลองคิดดูนะคะ”
เธอตั้งใจจะเข้าร่วมการพบปะครั้งหน้าด้วยอยู่แล้ว แต่ก็ตอบไปอย่างคลุมเครือ ฉันดูเหมือนเด็กสาววัยสิบกว่าขวบจริงๆ เลยไม่ใช่หรือนี่ อาซยิ้มบางๆ ให้กับคำโกหกที่เห็นได้ชัด
“จะรอนะครับ”
อาซกล่าวคำลาทิ้งท้าย ก่อนจะจากไปอีกทางด้านหนึ่งของอาเรีย
อาเรียหันกลับไปมองเสียงที่ค่อยๆ เบาลงทางด้านหลัง และยกฝ่ามือมาปิดแก้มของเธอ ทั้งที่ยังเป็นอากาศกลางฤดูใบไม้ผลิ แต่ ณ ที่นั้นกลับเป็นกลางหน้าร้อน
เธอจึงต้องยืนสงบจิตสงบใจให้เย็นลงอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับไปหาแอนนี่และเจสซี่ที่รออยู่ในร้านกาแฟ
* * *
ช่อดอกไม้และจดหมายจากเรนมาถึงเมื่อผ่านไปหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ เขาส่งช่อดอกไม้มาให้มิเอลด้วยเช่นเคย ช่วงที่มื้ออาหารเย็นใกล้จบลง บทสนทนาก็ไปสู่เรื่องนั้นโดยธรรมชาติ
“ทั้งที่บอกว่ายุ่ง แต่ก็ยังส่งช่อดอกไม้มาให้บ่อยๆ แบบนี้ ค่อยโล่งใจหน่อยนะ”
“เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็คงไม่ง่ายที่จะตัดความสัมพันธ์กับท่านพ่อทิ้งยังไงล่ะคะ”
“ฮ่าๆ พูดอะไรน่ะ คนที่เขาสนใจตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้ายก็คือมิเอล ลูกต่างหากล่ะ”
อาเรียไม่เคยคิดจะแก้ไขความคิดผิดๆ ของท่านเคานต์และมิเอล เธอถือซะว่าพ่อลูกจอมโง่เป็นเครื่องเคียง และเอาเนื้อสุกกำลังดีเข้าปาก เธอกลืนเนื้อฉ่ำๆ ลงคอ แล้วก็กวาดความรู้สึกอึดอัดใจลงไปพร้อมกันด้วย
‘การพบปะครั้งต่อไปคืออีกหนึ่งเดือนถัดไปสินะ’
เวลาและสถานที่เหมือนกันกับครั้งที่แล้ว เธอทานอาหารพลางคิดตั้งตารอคอยการอภิปรายครั้งถัดไปว่าจะเป็นการอภิปรายแบบไหน
“แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเขาอยากเจอพี่อาเรียหรือคะ? มีการแนะนำจากท่านพ่อแล้วด้วยนะคะ”
เธอตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ต้องขอบคุณมิเอลที่วันนี้ก็หาเรื่องโยนมาให้เธอเหมือนเคย ทำให้มือที่ใช้หั่นเนื้ออยู่ช้าลง ท่านเคานต์สนับสนุนมิเอล
“อ๋อ นั่นก็เป็นไปได้นะ สังเกตได้ว่าเขาถูกใจอาเรียอยู่มากทีเดียว”
“หนูคิดว่าท่านเรนน่าจะเข้ากับพี่ได้ดีเลยล่ะค่ะ ใช่ไหมคะ ท่านแม่”
จู่ๆ มิเอลก็ถามความเห็นของเธอขึ้นมา เคาน์ติสจึงเบิกตาโพลง เมื่อปีที่แล้วเธอเพิ่งถามเกี่ยวกับเรื่องการเป็นดัชเชสอยู่เลยแล้วจะพูดมาว่าลูกสาวตัวเองเหมาะกับขุนนางระดับล่างได้อย่างไร
“…คงยังต้องดูอะไรเพิ่มอีก แต่ท่าทีของเขาก็ดูไม่เลวเลย”
อย่างไรก็ตาม อาเรียไม่สามารถคัดค้านออกไปในสถานการณ์ที่ท่านเคานต์เห็นด้วยอย่างเต็มประดาได้ และดูเหมือนมิเอลคงอยากจะสร้างความวุ่นวายให้กับอาเรียที่กำลังมีความสุขกับการทานอาหารอย่างเงียบๆ เหมือนแต่ก่อนที่เธอเคยไล่ต้อนอาเรียจนตกหลุมพรางลงไป
‘ฉันแค่ปล่อยให้เธอได้ใจจากความสิ้นหวังที่ฉันโดนแย่งออสการ์ไปในตอนนั้น แต่เธอไม่รู้ว่าตอนไหนควรจะหยุดสินะ มิเอล’
แต่อาเรียก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยมิเอลทิ้งไว้เฉยๆ แน่
“อ๊ะ จะว่าไป โกดังที่หนูพูดถึงครั้งที่แล้วเป็นอย่างไรไปแล้วบ้างคะ?”
มิเอลจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องที่เธอจะไม่มีวันได้รับคำชมจากคนอื่นอย่างไม่หวั่นเกรง หลังจากนั้นท่านเคานต์มีสีหน้าที่สดใสขึ้นมา ดูท่าว่าคงจะเป็นไปได้ด้วยดี
“พอได้ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันช่างเป็นวิธีที่เยี่ยมยอดจริงๆ ! พ่อตัดสินใจแล้วว่าถ้าสร้างไว้หลายๆ ที่ตามเมืองใหญ่ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ที่เมืองหลวง ก็คงจะไม่เลวเลย ตอนนี้ก็เลยอยู่ในขั้นตอนที่กำลังหาที่ดินเหมาะๆ อยู่น่ะ”
“ตายจริง… ทั้งที่มันเป็นแค่ความเพ้อฝันของหนูแท้ๆ พอกลายเป็นจริงขึ้นมาแบบนี้แล้วอย่างกับความฝันเลยค่ะ”
“เพ้อฝงเพ้อฝันอะไรกัน! ธุรกิจขนสัตว์เองก็เหมือนกัน อาเรีย ลูกน่ะเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมมากจนอยากให้เป็นผู้สืบช่วงต่อธุรกิจสูงสุดของพ่อเลยล่ะ!”
แม้โอกาสแบบนั้นคงจะไม่วนมาหาลูกสาวโสเภณี แต่เธอก็เห็นสีหน้าของมิเอลซีดเหี่ยวลง ถึงมันจะเป็นแค่คำพูดลอยๆ ไร้สาระก็ตาม แล้วจะยั่วโมโหฉันโดยไม่จำเป็นทำไมล่ะ ทั้งที่เธอก็เอาต้นทุนอะไรจากฉันไปไม่ได้เสียหน่อย
“ต่อจากนี้ถ้ามีความคิดอะไรใหม่ๆ ล่ะก็ อย่าลืมบอกพ่อให้รู้ด้วยนะ”
“แน่นอนค่ะ ท่านพ่อ”
ถ้ามิเอลยังจะเจ๋ออีกล่ะก็นะ
ท่านเคานต์ที่อ่านบรรยากาศอะไรไม่ค่อยจะออก ก็เอาแต่สาธยายถึงธุรกิจโกดังสินค้าอยู่พักหนึ่ง มิเอลจึงได้แต่ตอบ ‘ค่ะๆ’ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง นานๆ ทีอาเรียถึงได้ทานอาหารอย่างมีความสุขกับเขาบ้างเสียที
………………………………………