บารอนเวอร์บูมเฝ้ามองอาเรียกับอาซเดินจับมือกันออกไปตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็ได้แต่นึกอึดอัดใจ บารอนมีสีหน้าสับสนงงงวย เพราะคิดเสียดายอาเรีย แม้ว่าภายนอกทั้งสองจะดูเหมาะสมกันดีก็ตาม
“ผมอยากให้คุณช่วยบอกท่านผู้ลงทุนด้วยว่าผมอยากพบท่านจริงๆ ครับ บอกด้วยว่าท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
อาซทิ้งคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งไว้ให้บารอนเวอร์บูม ก่อนจะออกจากร้านไปพร้อมอาเรีย
ทันทีที่ออกมาพ้นจากสายตาของผู้คน อาเรียก็สะบัดมือออกโดยไม่ปรานีปราศรัย อาซจำต้องหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
“ความจริงแล้วผมไม่ได้คิดจะบอกเลดี้หรอกนะครับ”
“…ว่าไงนะคะ”
นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เธอมองค้อนทันทีเพราะคิดว่าเขาตั้งใจใช้อุบายให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้และยังจะปิดบังทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม อาซจึงรีบพูดต่อ
“เพราะตอนแรกผมไม่คิดว่าจะได้มาเจอเลดี้น่ะครับ แต่ยังไงสักวัน ผมก็ต้องบอกเลดี้อยู่ดี ถึงมันจะไม่ใช่วันที่ผมคิดไว้ก็เถอะนะ…”
สีหน้าคล้ายกำลังหัวเราะตัวเองของเขาที่เพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรกทำให้อาเรียใจสั่น ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสามารถหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับเขาได้ นั่นเพราะความสงสัยในตัวเขามีมากกว่าความสงสารนั่นเอง
“ดิฉันนึกไม่ออกเลยค่ะว่าคุณต้องเก็บความลับสุดยอดเอาไว้มากมายแค่ไหน ถึงได้หลบเลี่ยงกันขนาดนี้”
เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ คำตอบของเธอจึงได้เย็นชาเหลือเกิน
แต่อีกด้านหนึ่ง ความสงสัยของเธอก็เหมือนจะได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน
เรื่องที่เขาอาจจะเป็นพระราชวงศ์ลับคนนั้น เพราะหากไม่ใช่ เขาไม่มีทางปกปิดตัวตนเอาไว้ได้แบบนี้
“มันอาจจะไกลไปหน่อย แต่ผมขอพาเลดี้ไปที่ที่เงียบกว่านี้ได้ไหมครับ”
“…เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
อาเรียเริ่มออกเดินตามอาซที่คอยดูแลเธออยู่ เธอไม่เคยคิดฝันว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่ก็โล่งใจที่เลือกใส่ชุดง่ายๆ มา
เมื่อต้องเดินไปตามตรอกซอกซอยวนไปวนมามากกว่าที่คิด ทำให้เธอเริ่มเดินโซเซด้วยความวิงเวียน อาซจึงรีบเข้าไปช่วยประคอง
“เดี๋ยวเลี้ยวตรงหัวมุมนี้ไปก็ถึงแล้ว ผมขอช่วยประคองหน่อยนะครับ”
“…ไม่ได้ไกลมากใช่ไหมคะ”
ถึงจะบ่น แต่เธอก็เดินมาไกลแล้วจึงได้แต่พยักหน้า ไม่มีที่ให้ไปไกลว่านั้นอย่างที่เขาพูด เพราะเมื่อเลี้ยวตรงหัวมุม สถานที่เงียบสงบและปลอดโปร่งก็ปรากฏแก่สายตาทันที
“ป่ากลางซอยหรือ…”
เมื่อครู่เธอเพิ่งจะเดินเตร็ดเตร่ผ่านตรอกซอกซอยที่แทบจะร้างผู้คน แต่เมื่อเดินอ้อมซอยมา แม้ยากจะเชื่อสักเพียงใด ป่าผืนใหญ่ก็มาทอดตัวอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
ทั้งที่เธอยังไม่ได้เดินผ่านประตูออกนอกตัวเมืองเสียด้วยซ้ำไป แต่จู่ๆ กลับมีป่าอย่างนั้นหรือ อาซเอ่ยตอบอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่อาเรียนั้นหยุดฝีเท้าด้วยความตกใจและเอาแต่มองไปรอบตัว
“พอดีเราออกมาจากตัวนครหลวงกันเล็กน้อยน่ะครับ”
“…นี่เราเดินมาไกลขนาดนี้เชียวหรือคะ”
แม้จะขี่ม้าแต่ก็ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะถึงป่าที่ใกล้กับนครหลวงมากที่สุด ดังนั้นต่อให้เขาจะบอกว่าเดินกันมานาน มันก็ยังไม่นานพอที่จะมาถึงป่าได้อยู่ดี
ตอนนั้นเอง เธอก็นึกออกว่าเคยมีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งก่อน นั่นคือตอนที่เธอจับมืออาซวิ่งหนีออกจากจัตุรัส ตอนนั้นเธอก็วิ่งตามอาซมาสักพักแบบนี้ แล้วจู่ๆ ก็ดันมาโผล่ในที่ว่างเปล่าซึ่งไม่ได้ยินได้เห็นอะไรทั้งสิ้น และที่ว่างแห่งนั้นก็หายไปราวกับภาพลวงตาในระหว่างทางกลับ
อาเรียคิดจะหันกลับไปมองด้านหลังเพื่อดูทางที่ผ่านมาให้แน่ใจอีกครั้ง แต่อาซก็ยิ่งเพิ่มแรงจับที่ไหล่ทำให้เธอต้องขยับไปเบื้องหน้า
“เราไม่มีเวลาแล้วครับ ไว้ผมค่อยบอกทางกลับให้ทีหลัง เลดี้ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
เธอจึงเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับไป และแล้วที่ตรงนั้นก็กลายเป็นป่าอันมืดมิดภายในชั่วพริบตา
สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามอาซไป ทั้งที่ใจกลับมีแต่ความพิศวงสงสัยต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นกับเธอ อย่างไรเสียเขาก็บอกแล้วว่าจะเล่าทุกอย่าง
“นั่งสิครับ”
ณ จุดหมายปลายทางที่เพิ่งมาถึงแค่เพียงไม่นาน อาซดึงเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่ง
“ในป่าใกล้นครหลวงมีคฤหาสน์แบบนี้อยู่ด้วยหรือ…”
คฤหาสน์ที่แม้จะเล็กแต่ก็ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม และโต๊ะที่ถูกเตรียมไว้ในสวนเล็กๆ หน้าคฤหาสน์ ดูราวกับบ้านของภูติที่หลุดออกมาจากเทพนิยาย
ขณะที่เธอกำลังชมภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่ออยู่นั้นเอง ผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งก็ออกมาจากคฤหาสน์แล้วนำชาอุ่นๆ มาวางให้บนโต๊ะ
“…ใครหรือคะ”
“คนสนิทของผมเองครับ มีหน้าที่จัดการภาระงานภายในคฤหาสน์ครับ”
อาเรียจิบชาเขียวร้อนพลางไล่สายตามองตามหลังผู้เฒ่าที่ปรากฏตัวแล้วหายลับไปราวภาพลวงตาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติ เรื่องราวแปลกประหลาดเหนือธรรมดายากเกินกว่าจะทำความเข้าใจเกิดขึ้นกำเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ที่นี่คือที่ไหนกันแน่คะ”
“ที่หลบภัยของผมครับ บางครั้งผมจะมาที่นี่เวลาอยากใช้ความคิดน่ะครับ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันถามค่ะ ที่ฉันถามหมายความว่า ในซอยมันมีป่าแบบนี้อยู่ได้ยังไงกันคะ”
“เลดี้ก็เดินมาตั้งนานนมแล้วนี่ครับ ถึงได้มาอยู่ที่นี่ ป่านี่อยู่ไม่ไกลจากนครหลวงหรอกครับ”
“คุณหลอกดิฉันหรือคะ กว่าจะมาถึงนี่ได้ ขนาดขึ้นม้ามายังใช้เวลาตั้งนานเชียวนะคะ! แล้วคนอย่างเราจะเอาชนะม้าได้ยังไง”
หากเป็นครั้งแรกเธออาจจะคิดว่าตนเข้าใจผิดไปเอง แต่เธอต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้ถึงสองครั้งสองครา เธอจึงได้รู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่
ใบหน้าเคร่งเครียดของอาเรีย ทำให้อาซมีสีหน้าลำบากใจ
แม้จะอธิบายถึง ‘ความสามารถ’ ที่ตัวเขามีอยู่ก็คงไม่อาจทำให้เธอเข้าใจได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นก็คือ ในวันนี้เขาต้องบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้เธอได้รู้ แล้วถ้าเขาอธิบายเรื่องความสามารถนี้ไป เธอจะคิดกับเขาอย่างไร
แต่อาเรียก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ เช่นกัน
“ผมไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรให้เลดี้เข้าใจแต่… จะมองว่ามันเป็นลักษณะพิเศษของครอบครัวผมก็ได้นะครับ”
“ลักษณะพิเศษของครอบครัวหรือคะ”
“ใช่ครับ เป็นความสามารถที่หาได้ยากและปรากฏแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล ส่วนผมได้พรให้สามารถเคลื่อนย้ายร่างกายไปยังที่ไกลๆ ได้อย่างรวดเร็วครับ คิดเสียว่าร่างกายผมโตขึ้นก็ได้ครับ มันค่อนข้าง… เป็นลักษณะเฉพาะตัวที่พิเศษนิดหน่อยน่ะครับ”
เขาพยายามอธิบายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไอ้พรที่ทำให้หายตัวไปยังที่ไกลๆ ได้อย่างรวดเร็วนั่น… มันก็คือเวทมนตร์ไม่ใช่หรือ
เมื่อเธอขอให้เขาช่วยอธิบายให้ชัดเจนขึ้นอีกสักนิด อาซกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมเองก็ไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้ครับ รู้แค่ว่ามันคือพรที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด”
ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา เธอก็ไม่สามารถถามอะไรออกไปได้อีก เพราะเธอเข้าใจดีว่ามันอาจจะเป็นเรื่องอธิบายยาก เช่นเดียวกับเรื่องนาฬิกาทรายที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเอง
หากนาฬิกาทรายไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน เธอคงไม่มีทางเชื่อสิ่งที่เขาพูดในตอนนี้แน่นอน แต่เมื่อสิ่งที่เหลือเชื่อมากกว่านี้เคยเกิดกับเธอมาแล้วเธอจึงเข้าใจเขาได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าอีกใจหนึ่งก็ยังสงสัยว่าเรื่องที่เหมือนมนตร์วิเศษพวกนี้สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งปานนี้เชียวหรือ
แต่เขากลับบอกว่าความสามารถของตนเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะครอบครัว ถ้าเช่นนั้น ทั้งเรื่องที่เธอฟื้นคืนชีพอีกครั้ง รวมทั้งความสามารถของนาฬิกาทรายก็เป็นเหมือนกับเขาอย่างนั้นหรือ
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…
ในเมื่อแม่เธอคือโสเภณีที่ไร้ค่า ดังนั้นพ่อที่เธอไม่เคยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามอาจไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนั้นก็ได้ ความคิดมากมายหลายหมื่นเข้ามาครอบงำอยู่ในหัว
“ถ้าอย่างนั้น… ก็หมายความว่านี่เป็นอุปการคุณจากวิสเคานต์ปิโนต์ นัวร์หรือคะ ไม่ใช่สิ ปิโนต์ นัวร์ หลุยส์คือชื่อจริงของคุณหรือคะ แล้วชื่ออาซเป็นเพียงนามสมมุติใช่ไหมคะ”
เธอคิดว่ามันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้แน่ แต่เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้ยินเขาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการจึงถามออกไป และอาซก็ส่ายหน้าทันที
“ไม่ใช่ครับ วิสเคานต์ปิโนต์ นัวร์เพียงให้ความช่วยเหลือผมอยู่เท่านั้นครับ วิสเคานต์แค่ให้ผมยืมชื่อเพื่อมาเข้าร่วมในการประชุมครับ”
“เช่นนั้น คุณก็คืออาช…”
“ครับ ถูกต้องตามที่เลดี้คิดครับ ผมคือฟรานซ์ อัสเทอโรพีครับ”
“…พระเจ้า”
เธอคาดการณ์เช่นนั้นตลอดมาเพราะคิดว่านี่คือเหตุผลที่เข้าเค้าที่สุดหลังจากได้เห็นท่วงท่าการเดินของเขา แต่เมื่อความจริงตีกลับมาว่าเป็นไปตามที่เธอคิด หัวสมองก็พลันว่างเปล่า
เป็นถึงองค์ชายรัชทายาท
เมื่อได้ยินชื่อก็จำได้ทันที ว่าองค์ชายรัชทายาททรงมีพระนามว่าอัสเทอโรพี เธอไม่เคยคิด ไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าเธอจะได้มารู้จักกับคนในราชวงศ์
แล้วยิ่งคนคนนั้นกลับเป็นอาซที่เธอมักจะทำตัวเสียมารยาทใส่เสมอมา ทั้งยังเคยหัวเราะเยาะดอกไม้ที่เขาให้แล้วเหยียบย่ำมันอย่างไม่ไยดี
ซึ่งดอกไม้ที่ว่าดันเป็นดอกไม้ประจำจักรวรรดิอย่างทิวลิปเสียด้วย เธอเคยเหยียบย่ำดอกไม้นั่นต่อหน้าเขา ดังนั้น แม้ภายในใจจะยังสงสัยตัวตนของเขา แต่เธอคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้วเพราะสิ่งที่เธอเคยทำกับเขาอย่างไรเล่า!
อาเรียยกชาขึ้นดื่มมือสั่นระริก เธอไม่ได้จิบเพียงอึกเดียวเพื่อลิ้มรสชาติ แต่ดื่มเข้าไปเสียหลายอึกอย่างกับซดน้ำเย็นจนแก้วสะอาดเกลี้ยง
เห็นดังนั้น อาซจึงใช้นิ้วสั่งให้คนไปเอาชามาให้อาเรียใหม่ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เลดี้ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“…ที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเสียมารยาทมาตลอด”
อาซได้แต่เผยรอยยิ้มขมขื่นให้แก่อาเรียผู้เปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพอย่างฉับพลันทันที ทั้งยังละล้าละลังไม่รู้ว่าควรจะลุกขึ้นดีหรือไม่
“ที่ผมไม่เคยบอกก็เพราะกลัวว่าเลดี้จะเป็นแบบนี้ด้วยส่วนหนึ่งครับ เพราะผมไม่อยากให้เลดี้รู้สึกลำบากใจกับผม ผมอยากให้เลดี้ปฏิบัติกับผมเหมือนเดิมครับ”
แม้เธอเองจะอยากทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจทำได้ ทั้งที่เธอเพิ่งได้ยืนยันในสิ่งที่เธอเคยคิด แต่แล้วจู่ๆ กลับต้องมารู้สึกว่าเขาอยู่สูงเกินเอื้อม
เหตุใดเขาต้องมาแสดงออกว่าสนใจเธอด้วย และทำไมเธอจึงยอมเข้าร่วมประชุมตามคำเชื้อเชิญ ทั้งยังเคยยืมชื่อเขาอีกด้วย
เธอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาท่ามกลางป่าดงพงไพรที่มีเพียงความเงียบ อาซคิดว่าอาเรียคงต้องการเวลาเพื่อให้ได้จัดการความคิดของตัวเอง เขาจึงเฝ้ามองเธอคิดอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
เจ้าชายอย่างนั้นหรือ แล้วเจ้าชายอย่างเขาปกปิดศักดินาตนเองเอาไว้ได้อย่างไรกัน
ยิ่งคิดให้ลึกลงไป สีหน้าของอาเรียก็ยิ่งซีดเซียวลงไปทุกที เมื่ออาซที่เฝ้ามองเธออยู่เงียบๆ เห็นเช่นนั้น ก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนจะดีกว่านะครับ”
“แต่เรื่องอื่นที่อยากถาม…!”
สิ่งที่เธออยากถามยังมีอีกมากอย่างกับภูเขาเลากา
แต่อาซกลับส่ายหน้า
“ผมยังมีงานในนครหลวงอีกระยะหนึ่ง เราจะเจอกันเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ถึงตอนนั้นค่อยมาคุยกันอีกครั้งนะครับ ผมจะส่งจดหมายไปหา …แล้วผมก็ยังมีงานที่ต้องไปทำก่อนด้วยครับ”
เขามิใช่คนที่จะมาใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ในสถานที่แบบนี้ หากแต่เป็นบุคคลผู้จะรู้สึกผิดบาปหากต้องเสียเวลาเช่นนี้
ขากลับนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าขามา เพราะเมื่อออกมาจากป่า ซอยข้างร้านของบารอนเวอร์บูมก็ปรากฏขึ้นทันที
“ครั้งหน้าที่เราเจอกัน ผมไม่อยากเห็นเลดี้ต้องมาลำบากใจเพราะผมอีกแล้วนะครับ”
เขาจูบลงตรงหลังมือของอาเรียเบาๆ ก่อนที่ทั้งสองจะทันได้ออกมานอกซอย จากนั้นเขาก็หายไปพร้อมกับคำพูดว่าจะมาเจอเธออีกคราในไม่ช้าไม่นานนี้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ราวกับมนตร์วิเศษ อาเรียหยุดอยู่ ณ ที่แห่งนั้นไม่อาจขยับกายไปไหนได้เลย
* * *
หลังจากใช้เวลาคิดมาเสียหลายวันให้หลัง อาเรียก็รีบแสดงเจตจำนงว่าเธอต้องการจะลงทุนลงในจดหมายที่อาซส่งมาโดยใช้นามปากกาว่า ‘ปิโนต์ นัวร์ หลุยส์’ เพราะเมื่ออีกฝ่ายคืออาซ นั่นก็หมายถึงโอกาสที่เธอจะได้สานสัมพันธ์กับราชวงศ์ แม้จะเป็นลำดับรองลงมาก็ตาม
ไม่มีโอกาสใดที่จะสามารถสร้างรากฐานให้มั่นคงได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว หากเธอบอกความจริงในภายหลังว่าผู้ลงทุน A คือเธอ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ บางทีถ้าเธอสานต่อไปอีกสักเล็กน้อย เธอคงมีอำนาจมากกว่าตระกูลท่านเคานต์เสียอีกด้วยซ้ำ
แม้จะรู้สึกผิดที่ตัวเองยังปกปิดตัวตนที่แท้จริงทั้งยังหลอกใช้เขา ทั้งที่เขาได้เปิดเผยตัวตนออกมาถึงจุดหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องนี้ นั่นเพราะจุดจบของมิเอลกำลังใกล้เข้ามาแล้วอย่างไรล่ะ
เธอใส่สลัดเข้าปากพลางกำลังขบคิดว่าจะผลักมิเอลลงนรกได้อย่างไร
“แล้วอย่างนี้จะใส่เดรสแบบไหนไปงานหมั้นของท่านมาร์ควิสดีล่ะคะ”
ก็เรื่องพิธีหมั้นของมาร์ควิสวินเซนต์ในอีกไม่นานนี้อย่างไรล่ะ แน่นอน ทั้งท่านเคานต์และเคานติสต่างก็จะไปร่วมงานนี้ด้วย
แม้ช่วงนี้เจ้าชายจะยกมือเลือกข้าง แต่มาร์ควิสหาได้แบ่งพรรคแบ่งพวกด้วยยึดมั่นในความเป็นกลาง ฉะนั้นบรรดาขุนนางทั้งหลายจะต้องเข้าร่วมงานของเขาอย่างแน่นอน
“อาเรีย ลูกไม่คิดจะหาเดรสสักชุดหรือ”
เคานติสเอ่ยถาม ซึ่งก็หมายความว่าขุนนางทั้งหมดจะมารวมตัวกัน ดังนั้นเธอควรจะแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงามที่สุดนั่นเอง
แต่เธอหาได้จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะเธอมีสิ่งล้ำค่าที่ไม่ว่าชุดเดรสแสนงามชุดไหนก็ไม่อาจเทียบเคียงในกำมืออยู่แล้ว
“ไม่ค่ะ ลูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วละค่ะ”
เธอมีชุดเดรสที่ซาร่าส่งมาให้เมื่อไม่นานมานี้อยู่แล้ว เป็นเชิงแนะนำว่าการแต่งตัวให้เข้ากับเธอควรจะเป็นอย่างไร แม้จะไม่ใช่เดรสที่งดงามเทียบเท่ากับเจ้าสาว แต่การออกแบบนั้นก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่เมื่อไปยืนอยู่ข้างหล่อน
“แต่ยังไงมันก็เป็นพิธีหมั้นของเลดี้ที่ลูกสนิทที่สุดเชียวนะ”
ดอกไม้แห่งรอยยิ้มเบ่งบานเต็มที่บนดวงหน้าของเคานติส นี่คือหลังจากข่าวลือเกี่ยวกับซาร่าที่ว่ากันว่าเป็นการเลื่อนศักดินาแห่งยุคได้แพร่สะพัดออกไปแล้ว ราวกับยังไม่อาจยอมรับว่าซาร่าคนนั้นคือซาร่าเดียวกับที่เป็นครูสอนงานบ้านงานเรือนของอาเรีย มิเอลเอ่ยปากถามว่าพวกเธอหมายความว่าอย่างไร
“เลดี้ที่สนิทกับ… พี่อาเรียหรือคะ หมายความว่ายังไงกันคะ ท่านแม่”
“ตายจริงมิเอล ลูกเองก็เคยเจออยู่หลายครั้งไม่ใช่หรือ ก็ซาร่าที่เคยเป็นอาจารย์สอนงานบ้านให้กับอาเรียไง เธอเป็นคู่หมั้นขอท่านมาร์ควิสวินเซนต์แล้วนะจ๊ะ”
“…อะไรนะ”
ท่านเคานต์เองก็ถึงกับวางส้อมที่ถืออยู่ลงแล้วถามกลับเช่นกัน เพราะนี่คือเรื่องจริงที่ตนเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจากการที่ไม่เคยมาใส่ใจเรื่องครูสอนงานบ้านงานเรือนของอาเรียมาก่อน
อาเรียจึงเช็ดปากแล้วเอ่ยตอบ
“ท่านมาร์ควิสคงจะตกหลุมรักเพราะจิตใจที่ดีของเลดี้ซาร่านะคะ ตอนมาที่นี่ครั้งก่อน ท่านก็ทำดีกับเธอมากเหลือเกิน”
ไม่ได้มีภาพเก้อเขินเหมือนอย่างปกติ เมื่อตัดเรื่องศักดินาออกไปแล้ว เธอคิดว่าไม่มีอะไรที่มิเอลจะเบียดเบียนหล่อนได้อีก
เคานติสยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิมคล้ายจะบอกว่ามันเป็นเรื่องแน่นอน
เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดอย่างที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน
……………………….