“…อ่า”
“…!”
ผู้บุกรุกเข้ามายามกลางดึกนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาซ เธอมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความสับสนงุนงงกับแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง
นัยน์ตาสีครามของเขาค่อยๆ เลือนราง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ… ขออภัยด้วยครับ”
เขารีบขอโทษอย่างรวดเร็ว
ทว่าอาเรียที่ตกใจกับการที่จู่ๆ เขาก็มาหาในกลางดึกนั้น ทำได้เพียงจ้องมองไปที่อาซ โดยไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ เธอรู้ว่าเขามาหาเธอบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เพราะดอกทิวลิปที่เขาวางทิ้งไว้ให้ แต่พอได้เผชิญหน้ากันตรงๆ แล้ว เธอกลับรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน
“เลดี้อาเรีย…”
อาซเป็นกังวลเมื่อเห็นอาเรียเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่พูดอะไรด้วยสายตาตื่นตกใจ แล้วเรียกชื่อเธออย่างระมัดระวัง
หลังจากอาเรียถูกเรียกชื่ออยู่ถึงสองครั้ง เธอก็กะพริบตาช้าๆ แล้วจึงค่อยๆ พยักหน้าเป็นการขานตอบ
“…เป็นอะไรไหมครับ ทำไมหน้าเลดี้ดูซีดแบบนี้ แถมยังดูผอมลงด้วย”
อาซเป็นกังวล เพราะเธอดูค่อนข้างแตกต่างจากปกติ เขาจึงเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของอาเรีย
อาซลองวัดอุณหภูมิร่างกายเธอเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว แล้วจึงจัดแจงห่มผ้าที่คลุมอาเรียอยู่ให้ดี
“เหมือนเลดี้จะมีไข้นิดหน่อยด้วยนะครับ”
เสียงของอาซนั้นปะปนไปด้วยความเป็นห่วงและความสงสาร
ระหว่างที่เขาพูดกับตัวเองว่าน่าจะกินยาลดไข้เสียหน่อยก็คงจะดีนั้น อาเรียก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ใช่ความฝันจริงๆ แล้วเริ่มเปิดปากที่ก่อนหน้านี้ปิดสนิท
“นี่มัน… เรื่องอะไรกันคะ ฉันมั่นใจว่าที่นี่คือห้องของฉัน… และตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว… และฉันก็น่าจะกำลังจะนอนนี่นา…”
หรือว่าจะเป็นเพราะเป็นห่วงอาเรียมากเกินไปอย่างนั้นหรือ ตอนนั้นเองที่อาซรู้สึกตัวว่าตัวเองเสียมารยาทมากเพียงใด จึงถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งแล้วเบี่ยงสายตาไปออก
“คุณอาซ”
พอเธอเรียกชื่อเขาที่ไม่ขานตอบอะไรกลับมา เขาก็หันกลับมาสบตากับอาเรียอีกครั้ง ก่อนจะตอบเธอราวกับกำลังแก้ตัว
“คือ… ผมเป็นห่วงครับ ได้ยินว่าเลดี้ประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับเลดี้เลยแม้แต่นิดเดียวครับ อาจจะยากที่จะให้เลดี้เชื่อ แต่… ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ ครับ”
เธอไม่ได้ไม่เชื่อ แต่อาซกลับแก้ตัวให้ความผิดของตัวเองอย่างลุกลี้ลุกลน ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีเพียงแค่เหตุผลนั้นเหตุผลเดียวแท้ๆ แต่พอได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากปากเขาตรงๆ แล้ว ส่วนหนึ่งภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจขึ้นมา
ถึงแม้เวลากับสถานที่ และสถานการณ์อาจจะแปลกมากก็จริง แต่ความจริงที่ว่าเขามาหาเพราะเป็นห่วง ก็ทำให้อาเรียดีใจ
ดังนั้นหากกล่าวขอบคุณเขาอย่างเรียบง่าย และทำให้เห็นว่าเธอไม่เป็นไร เรื่องก็คงจะจบลง ทว่าใจเธอก็เกิดนึกอยากเล่นสนุกด้วย เมื่อเห็นหูของเขาแดงขึ้นมา แม้อยู่ภายใต้แสงจันทร์สีฟ้าอมน้ำเงิน
“คุณก็เลยมาหาฉันที่นี่ตอนเช้ามืดเช่นนี้หรือคะ …และเข้ามาในห้องของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน”
พอเธอถามอย่างเบาๆ เสริมไป อาซก็หันหน้าไปอีกทาง พลางใช้มือป้องปากของตัวเอง แม้จะเป็นการพูดเล่นเล็กๆ น้อยๆ และเขาก็รู้สึกเขินมากขนาดนั้นก็จริง แต่ตัวเองที่ไปหยอกล้อเขาเอง ก็รู้สึกเขินอายเหมือนกันไม่ใช่หรือ
กลับเป็นอาเรียที่ต้องรู้สึกเขินอายจริงๆ ที่เห็นเขามาหาถึงห้องของหญิงโสดตอนยามฟ้ามืดเสียมากกว่า
แต่ก็ช่างน่าขันที่ในความเป็นจริงคนที่มาหานั้น ก็รู้สึกเขิน อาซเริ่มแก้ตัวกับการจับผิดเล็กๆ น้อยๆ ของอาเรีย
“คือ… ถ้ามาหาตอนกลางวัน อาจจะมีใครเห็นผมอยู่ที่นี่ก็ได้น่ะครับ ผมก็เลยแวะมาดูตอนเช้ามืดครู่หนึ่งให้แน่ใจว่าเลดี้ไม่เป็นไร แล้วค่อยกลับ… ทั้งครั้งที่แล้ว แล้วก็วันนี้เองสีหน้าเลดี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ผมก็เลยไม่สามารถกลับไปเฉยๆ ได้ครับ”
“…ทำไมล่ะคะ”
แม้เธอจะรู้พอเดาได้ว่าเขาจะตอบกลับมาว่าอะไร แต่อาเรียก็ยังจงใจถามกลับต่อ
“…พอเห็นใบหน้าเลดี้ที่หลับด้วยความอ่อนเพลีย ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ เพราะผมรู้สึกเป็นกังวล …แล้วก็ หากเลดี้เจ็บ ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ผมของเลดี้ที่รับแสงจันทร์นั้น ช่างงดงามเสียจนผมไม่สามารถผ่านเลยไปเฉยๆ ได้ ก็เลยยื่นมือออกไปสัมผัสดูน่ะครับ”
เธอนึกคำพูดที่เหมือนกับสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาได้ เขามักจะพูดเสมอว่าเมื่อไหร่ที่เผชิญหน้ากับเธอตรงๆ มันก็มักจะไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเลย
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาพูดแม้กระทั่งคำว่างดงาม
มันเป็นคำตอบที่ทำให้เข้าใจผิดได้มากพอสมควร มันเป็นคำตอบที่มากเกินไปสำหรับลูกสาวของโสเภณี
เขาเป็นคนที่สูงส่งเกินกว่าจะมาสนทนากับคนอย่างเธอไม่ใช่หรือ เขาต่างจากมิเอลที่แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองสูงส่ง เขาเป็นคนที่เธอไม่สามารถเอื้อมถึงได้
เธอจึงลังเลที่จะตอบ อาซที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็หายรู้สึกเขินอายอย่างไม่รู้ตัว เขาค่อยๆ จ้องมองไปที่ดวงตาของอาเรีย ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ผมไม่อยากเห็นเลดี้ต้องทนทุกข์เช่นนี้เลยครับ”
แม้จะบอกว่าไม่อยากเห็น แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำให้เธอได้ ก็ได้แค่มาหาตอนดึกแล้วแอบมองหน้าเธอแบบนี้ไม่ใช่หรือไงกัน
ไม่ว่าตัวเธอตอนนี้จะเป็นอย่างไร แต่ชาติกำเนิดของเธอก็คือลูกสาวของโสเภณี เขาอาจจะถูกข่าวลือและการคิดคาดเดาไปเองต่างๆ นานานั้นครอบงำ ด้วยความจริงที่ว่าเขามีคนรู้จักอยู่ แต่ทำไมถึงยังพูดอะไรแบบนี้กับเธออีกนะ
“ผมคิดเรื่องต่างๆ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่า… เพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ผมก็รู้สึกตัว ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเลดี้ก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะพบเลดี้ครับ”
อาเรียที่ได้ยินจนถึงตรงนั้น ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ใบหน้าของอาเรียที่พิงกับหัวเตียงอยู่นั้น เต็มไปด้วยความเขินอาย
เธอที่พบเจอพวกผู้ชายมาจำนวนมากในอดีต คาดเดาความหมายคำพูดต่อท้ายของอาซอยู่เพียงคนเดียว แต่แล้วก็พยายามปฏิเสธว่าสิ่งที่เธอเดานั้นมันเป็นไปไม่ได้
ทว่า
“เพราะอย่างนั้นผมก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากให้เลดี้มาอยู่ข้างๆ จะได้เจอเลดี้ได้ทุกเมื่อ และไม่มีใครมาทำร้ายเลดี้ได้”
ทว่าสิ่งที่อาซพูดให้ฟังนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่อาเรียคิด
พออาเรียได้ยินคำตอบ นัยน์ตาของอาเรียสั่นรัวไม่หยุด
เขาแค่คิดเท่านั้นหรือ
หรือเขาหมายถึงจะทำเช่นนั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะอย่างไหนเธอก็มั่นใจว่าเธอจะกลายเป็นอุปสรรคของอาซในอนาคต มันคงจะดีที่สุดสำหรับทั้งเขาและเธอที่จะคงความสัมพันธ์ไว้ไม่ให้ใครรู้เหมือนกับตอนนี้
“ฉันจะกล้าเป็นคนนั้นสำหรับคุณได้อย่างไรกันคะ”
เธอจึงตอบไปเช่นนั้น แล้วเบี่ยงสายตาไปทางอื่น
ทว่าดูเหมือนอาซจะไม่ต้องการจบสิ่งที่เขาอุตส่าห์พูดออกไปไว้เท่านั้น เขาจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“หรือว่า… ผมทำให้เลดี้ไม่ชอบหรือรู้สึกอึดอัดหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น…”
ไม่มีทางอยู่แล้ว
เธอไม่เคยเปิดช่องว่างให้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหน้าไหนๆ เธอมักจะปรุงรสให้เข้ากับปากของตัวเองสมอ แล้วใช้ความงามที่เป็นอาวุธชั้นเลิศ ทำให้วิญญาณหลุดออกจากร่างไป
และที่เธอสามารถทำได้ก็เพราะอาเรียไม่ได้มีใจให้กับอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว แต่มีเพียงกับอาซคนเดียวเท่านั้นที่เธอทำไม่ได้
อาจเป็นเพราะเขาไม่ธรรมดาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก พอมีการเผชิญหน้าและสถานการณ์ต่างๆ ที่เธอคาดเดาไม่ได้นั้น สั่งสมกันมาหลายๆ ครั้ง ทำให้เธอไม่สามารถตัดสินโดยวางเขาไว้บนเส้นบรรทัดฐานเดียวกันกับผู้ชายคนอื่นๆ ที่เธอเคยพบเจอมาจนถึงตอนนี้ได้
บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันมาเรื่อยๆ
ไม่ว่าการเริ่มต้นและวิธีการจะเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่ได้เกลียดอาซ ไม่สิ เธอกลับรู้สึกดีใจเสียมากกว่าที่เขาเป็นห่วงเธอ หรือตอนที่เจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น
“แต่ฉันมั่นใจว่าฉันคงช่วยอะไรคุณอาซไม่ได้ค่ะ เพราะฉันมาจากชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ไม่เหมาะสมกับคุณอาซเลย ทุกคนจะนินทาเอาได้นะคะ”
นั่นเป็นความจริงอันแจ่มแจ้งและชัดเจน
แม้ว่าชื่อเสียงของอาเรียในสาธารณชนกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด แต่ความอัปยศที่เป็นลูกสาวโสเภณีก็เป็นตราบาปไม่มีวันลบออกไปได้ชั่วชีวิต
แต่ดูเหมือนอาซจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
“จะมีอะไรโง่เขลาไปกว่าการตัดสินผู้คนด้วยเกณฑ์ที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้อีกหรือครับ ผมไม่ทำเช่นนั้น แต่เลดี้ตัดสินคนจากชาติกำเนิดหรือครับ”
“เปล่าค่ะ แต่…”
“อีกอย่างผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะถูกพัดไปตามกระแสข่าวลือเล็กน้อยพวกนั้นนะครับ”
ดวงตาของเขาที่ตอบกลับมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ สำหรับเขาที่ถูกกดขี่และพบเจอกับบททดสอบมาเป็นระยะเวลานานแล้วนั้น เรื่องอย่างเช่นที่อาเรียกังวลดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่ไม่เกินไปกว่าเรื่องส่วนตัว
“ยิ่งไปกว่านั้น เลดี้ยังเป็นคนที่ฉลาดขนาดที่สามารถทำให้ข่าวลือพวกนั้นกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ได้ไม่ใช่หรือครับ อย่างน้อยเลดี้ที่ผมเคยเห็นมาก็เป็นคนแบบนั้นนะครับ”
เขาเผยยิ้มบางๆ กับคำพูดที่ไม่สามารถสื่อออกมาได้ง่ายๆ เขาเต็มไปด้วยความเชื่อและไว้วางใจ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่องที่เธอประสบความสำเร็จ
เขามองจ้องไปที่อาเรียที่พูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แล้วคงจะรู้สึกเขิน หูของเขาถึงได้แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมเพียงแค่คิดไว้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะสารภาพออกมากแบบนี้… เจอกับเลดี้ทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกทีเลยครับ ผมไม่ได้พูดออกไปเพราะต้องการคำตอบจากเลดี้นะครับ”
บางทีเขาอาจจะกำลังพยายามกำจัดความน่าอึดอัดออกไป จากที่จู่ๆ เขาก็มาปรากฏตัว แล้วก็เสนออะไรที่น่าตกใจ อาซจึงพูดเสริมไปว่าอย่าใส่ใจเขามากเลย
ทว่าด้วยความที่มันเป็นเรื่องที่ไม่ใส่ใจไม่ได้ อาเรียจึงไม่สามารถแสดงท่าทีตอบสนองอะไรกลับไปได้
“และผมตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเลดี้ผ่านทางจดหมาย แต่ในเมื่อผมมีโอกาสเช่นนี้แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าบอกด้วยตัวเองโดยตรงน่ะครับ”
เขาที่แสดงสีหน้าอ่อนโยนมาตลอด เผชิญหน้ากลับอาเรียที่มีสีหน้าจริงจัง
ท่ามกลางบรรยากาศที่เปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตา อาเรียกลืนน้ำลายของเธอ แล้วรอให้เขาพูดต่อ
“ผมจับคนร้ายที่ตั้งใจจะเอาชีวิตเลดี้ได้แล้วครับ ผมให้คนไปตามหาเป็นการส่วนตัว “ผมกังวลอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี แต่ก็คิดว่าต้องแจ้งให้เลดี้รู้ก่อน ก็เลยตั้งใจว่าจะทิ้งจดหมายไว้ครับ”
เขาพูดพร้อมกับเอาจดหมายออกมาจากอกเสื้อให้เธอดู พออาเรียรับจดหมายนั้นมา อาซก็อธิบายเพิ่มต่อ
“สถานที่ที่หญิงคนนั้นถูกคุมขังอยู่ได้เขียนไว้ในจดหมายแล้วครับ ส่วนเรื่องจะทำอย่างไรต่อไปนั้น ผมก็ขอมอบหน้าที่ให้เลดี้เป็นผู้ตัดสินใจ”
“…นั่นเป็นสาวใช้ที่พยายามจะทำร้ายฉันนะคะ ถ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน ก็ไม่รู้นะคะว่าฉันจะทำอย่างไรกับเธอบ้าง”
“ไม่ว่าจะทำอะไร เลดี้ก็คงมีเหตุผลที่ทำไปใช่ไหมล่ะครับ”
อาซที่พูดเช่นนั้น ก็บอกเธอว่านั่นคือทั้งหมดที่เขาสามารถทำให้ได้ ก่อนจะจุมพิตอย่างอ่อนโยนที่หลังมือของเธอ แล้วจากไป สายตาของเธอมองตามร่างของเขาที่หายไปราวกับภาพลวงตา
“ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ก็มีเหตุผลที่ทำไป…อย่างนั้นหรือ”
เธอรู้สึกอึดอัดอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งภายในใจมาตลอดว่าความคิดและใจของเธอนั้นไม่บริสุทธิ์ แต่พอได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เธอกลับรู้สึกสบายใจราวกับจู่ๆ ก็ได้รับความชอบธรรม
บางทีเขาอาจจะพูดเช่นนั้นเพราะไม่รู้เรื่องทั้งหมดของเธอก็ได้ แต่ก็ต้องขอบคุณเขาที่ช่วยวางภาระอย่างหนึ่งในใจเธอลงได้
เดิมทีอาซเป็นคนที่จะต้องแต่งงานกับดัชเชสในอนาคต เธอจึงไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปมีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกับเขา แต่เธอก็คิดขี้นมาได้ว่าบางทีตอนนี้ที่เธอสามารถก้าวเดินไปในเส้นทางที่ต่างกับอดีตนั้น เธออาจจะไม่ต้องเอาแต่หลีกเลี่ยงเขาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอีกแล้วก็ได้
* * *
หลังจากอาซกลับไป อาเรียก็นอนไม่หลับเลยแม้แต่ตื่นเดียว และเมื่อรุ่งเช้ามาเยือน เธอก็รีบเตรียมตัวออกไปยังสถานที่ที่เขาบอกทันที เธอแต่งตัวอย่างเรียบง่ายและไม่สะดุดตา เพราะสถานที่ที่จะไปนั้นไม่ใช่ที่สำหรับไปยิ้มร่าและคุยเล่น
เธอคิดอยู่ว่าจะให้สาวใช้คนไหนตามเธอไปด้วยดี แต่เธอก็คิดว่ามันคงจะดูไม่ค่อยดี จึงล้มเลิกความคิดนั้นแล้วออกไปพร้อมกับจอห์น
“ฉันอยากอยู่คนเดียว ช่วยรออยู่ด้านนอกที อย่าไปไหนไกลล่ะ”
อาเรียบอกกับจอห์นเช่นนั้น เธอขอยืมรถม้าคันใหม่ผ่านทางเจ้าของร้านกาแฟ แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เบอร์รี่ถูกขังอยู่
เธอให้รถม้ารออยู่ห่างจากสถานที่ที่อาซบอกเล็กน้อย เป็นการเผื่อไว้ แล้วเดินต่อไปพักหนึ่ง
สถานที่ที่เธอมาถึงนั้น เป็นโกดังเก่าๆ ที่ไร้ผู้คนมาเยือนมาเป็นระยะเวลานาน
เธอไม่รู้ใจว่ามันไม่มีคนคอยเฝ้าอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว หรือตั้งใจทำให้ว่างเอาไว้เพราะรู้ว่าอาเรียจะมา แต่ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย
เอี๊ยด…
พอเธอเปิดประตูบานเก่า แล้วเข้าไปข้างใน เธอก็เห็นเบอร์รี่นอนแผ่อยู่ตรงหัวมุมของโกดังที่มีฟางข้าวกระจัดกระจาย แม้เธอจะวิ่งหนีไปอย่างอวดดี แต่ตอนนี้กลับดูอัปลักษณ์ซอมซ่อ
แล้วทำไมเธอถึงทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้กัน ทั้งที่เธอไม่มีอะไรเลยแท้ๆ
เธอเงยหน้าขึ้นตามเสียงประตูเปิด และเมื่อหญิงชั่วแห่งผืนแผ่นดินโลกที่ตัวเองพยายามวางยาพิษปรากฏตัวขึ้น เธอก็เผยลูกตาขาวให้เห็นราวกับจะเป็นลมไปเสียเดี๋ยวนั้น
“อื้อ อื้อ อื้อ…!”
เธออยากจะพูดอะไรกันแน่ เนื่องจากผ้าถูกดันเข้าลึกเข้าไปในคอของเธอ อาจจะเพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเอง ทำให้สิ่งเดียวที่ไหลผ่านปากเบอร์รี่ออกมามีเพียงเสียงครวญครางที่ฟังดูอัปลักษณ์
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เบอร์รี่ หาตัวอยู่ตั้งนานแน่ะ ช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรไปอยู่ไหนทำอะไรมาล่ะ”
อาเรียถามเช่นนั้น แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ เบอร์รี่ เธอเข้าไปใกล้และคว้าผมของเบอร์รี่
“แกรู้สึกอย่างไรพอเห็นหญิงชั่วที่คิดว่าตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอยู่กันล่ะ”
เมื่ออาเรียถามด้วยรอยยิ้มอันสดใส เบอร์รี่ก็น้ำตาร่วงพรูราวกับลูกปัด
และยังคงมีเสียงคร่ำครวญที่ไม่รู้ความหมายออกมาจากปากของเธอ ดูเหมือนเธอกลายเป็นบ้าไปแล้วด้วยความกลัวตายที่คิดว่ากำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“ทำไมถึงทำเรื่องชั่วๆ แบบนั้น แกคิดอยากจะลงโทษฉันอย่างนั้นหรือ ช่างโง่เขลาเหลือเกินนะ… แล้วคนที่คิดเรื่องชั่วๆ กับฉันที่อยู่เฉยๆ แล้วเข้ามาเป็นสาวใช้ของฉันก็คือแกไม่ใช่หรือไง”
ฝ่ามือของเธอที่จับผมเบอร์รี่อยู่รู้สึกมันขึ้นมา ราวกับเป็นผมที่ไม่ได้สระมาสักพัก อาเรียสะบัดมือ เธอคิดว่าเธอจะลงโทษทุบตีนังสกปรกนี้ได้ แต่เธอสกปรกเกินไป ความคิดเช่นนั้นจึงหายไป
‘ฉันคงยังไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปในตอนนี้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวฉันก็ค่อยมากำจัดเธอหลังจากเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วทีหลัง’
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะไม่ว่าอย่างไรอีกไม่นานทุกคนก็จะล่มจมกันหมด พวกเขาควรพาเบอร์รี่ไปซ่อนที่ต่างอาณาจักรก่อนหน้านี้แท้ๆ ทำไมถึงมอบโอกาสอันล้ำค่าแบบนี้ให้เธอกัน
อาเรียเผยรอยยิ้มอันสดใสเช่นเคย แล้วคลานเข้าไปที่หัวมุม มองเบอร์รี่ที่ตัวสั่นระริก ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ฉันจะเสนอทางให้ทางหนึ่งแล้วกัน เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยสำหรับแก พอเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ฉันจะทำให้แกหนีไปอยู่ต่างอาณาจักร แน่นอนว่าไม่ต้องเจ็บตัวใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว”
เมื่อเธอพูดดังนั้น ตัวเบอร์รี่ที่สั่นระริกอยู่ ก็แข็งขึ้นราวกับโกหก ใบหน้าที่เงยขึ้นมาอย่างช้าๆ นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
อาเรียที่ยิ้มสดใสราวกับแสงแดดพูดอธิบายเสริมด้วยความใจดีอีกครั้ง
“ไม่ว่ายังไงแผนการของแกที่อยากจะฆ่าฉันก็ล้มเหลวไปแล้ว จากนี้แกคงไม่เหลือทางรอดอะไร มาทำตามคำสั่งของฉันอย่างว่าง่ายไม่ดีกว่าหรือ”
………………………………………………………