“อุบัติการณ์วันสิ้นโลก” เป็นนิยายเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องความจริงสามประการ[1] อันเป็นหัวใจของการสำเร็จเป็นเซียน
เนื้อหาหลักของนิยาย นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาตน กระตุ้นให้มีความมุมานะ บากบั่น และส่งเสริมแนวคิดเรื่องธรรมะย่อมชนะอธรรมแล้ว ยังเป็นนิยายออนไลน์ยอดนิยมเพียงเรื่องเดียวที่แม้จะดำเนินเรื่องมาได้สิบเดือนแล้ว พระเอกก็ยังไม่ได้จูบกับใครเสียที
นิยายเรื่องนี้จึงได้รับการขนานนามในอีกชื่อหนึ่งว่า “นิยายสายพระ”
เวลานี้ได้เกิดกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับการนำอุบัติการณ์วันสิ้นโลกมาออกอากาศเพื่อใช้เป็นสื่อการสอนขึ้นบนฟอรั่ม[2] ต่าง ๆ บนโลกออนไลน์
ความเห็น: ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไรนี่นา เรื่องนี้ถือเป็นนิยายตัวอย่างของนิยายออนไลน์ด้วยซ้ำไป
ความเห็น: พระเอกของเรื่องเป็นพวกไม่มีกิเลส ครองตนบริสุทธิ์ไม่เจ้าชู้ ไม่ค่อยได้เห็นนิยายประเภทนี้เลยจริง ๆ
ความเห็น: พระเอกไม่เทพไป ซู[3] นิด ๆ พอรับได้ เสียอย่างเดียวตรงซีนอารมณ์จืดชืดไปหน่อย
ในเมื่อนิยายเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดขายอยู่ที่ฉากอย่างว่า ย่อมต้องเป็นตัวเนื้อเรื่องเองที่ชวนให้ผู้อ่านติดตาม
ภายในแคว้นจู๋เฟิงอันเป็นที่ตั้งของมหาสำนักทั้งห้าปรากฏคนชั่วช้าแฝงกายใช้พลังปีศาจเข่นฆ่าผู้คนอยู่ในเงามืด ท่ามกลางภยันตรายที่รายล้อมเข้ามา จวินเหยี่ยนจือผู้เป็นพระเอกของเรื่องได้ใช้วิชารักษาที่สาบสูญช่วยชีวิตผู้คนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายเอาไว้ เขาเปิดโปงโฉมหน้าของคนร้ายผู้บงการอยู่หลังม่าน ทั้งยังขจัดความขัดแย้งระหว่างสำนักต่าง ๆ สร้างความสมานฉันท์เป็นปึกแผ่นขึ้นภายในแคว้นจู๋เฟิง
ประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้ก็คือ จวินเหยี่ยนจือไม่ได้เป็นคนมีเมตตาประดุจพ่อพระหรือแสร้งทำท่าว่ามีเมตตา กับคนที่สมควรฆ่าก็ฆ่าได้โดยไม่ลังเล แต่นิสัยของเขากลับค่อนไปทางอนุรักษนิยม แม้บางครั้งจะบังเกิดความรู้สึกกับสตรีที่เข้ามาข้องแวะบ้าง แต่เขาก็จะหักห้ามใจไม่เผลอไผลออกนอกลู่นอกทางไปตามความต้องการแม้แต่ก้าวเดียว
ความเห็น: อุบัติการณ์วันสิ้นโลกไม่เหมือนกับนิยายที่พระเอกเป็นพวกครองตัวบริสุทธิ์เรื่องอื่น ๆ เลยรู้สึกเหมือนได้อ่านอะไรที่แปลกใหม่
ในฟอรั่มไม่มีการแบ่งแยกหญิงชาย ไม่ว่าเพศใดก็อ่านนิยายเรื่องนี้ได้ยิ่งเวลาผ่านไป อุบัติการณ์วันสิ้นโลกก็ยิ่งโด่งดังขึ้นจนกระทั่งติดอันดับนิยายแนะนำบนทำเนียบนิยายที่นักอ่านชายนิยมอ่านมากที่สุด มียอดผู้ติดตามกว่าหมื่นคน
เหวินจิงก็เป็นหนึ่งในบรรดานักอ่านอุบัติการณ์วันสิ้นโลกเช่นกัน
เวลาหนึ่งชั่วโมงบนรถประจำทางระหว่างกลับบ้านหลังเลิกเรียน มากพอสำหรับบรรดาตัวหนังสือที่รอให้เขาอ่านบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือวนไปมาได้หลายรอบ
ทว่าก็ยังคงไม่เพียงพอสำหรับเหวินจิง
เขาเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น อายุสิบสี่ปี เติบโตขึ้นมาในครอบครัวธรรมดา เงินค่าขนมที่ได้รับก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับคนอื่น จึงสามารถติดตามนิยายอุบัติการณ์วันสิ้นโลกได้เพียงเรื่องเดียว
ที่ผ่านมาเขาเคยอ่านนิยายเพียงไม่กี่เรื่อง ทั้งยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นมากนัก ทว่าไม่มีใครจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับอุบัติการณ์วันสิ้นโลกดีไปกว่าเขา
สำนวนการเขียนของนิยายเรื่องนี้จัดว่าลื่นไหล ทั้งยังปูเรื่องให้ผู้อ่านติดตามคาดเดาตอนจบของเรื่อง แต่ที่เขารู้สึกว่าไม่ค่อยจะถูกต้องนักก็คือผู้เขียนจัดให้อุบัติการณ์วันสิ้นโลกอยู่ในประเภทนิยายแนวดาร์ก[4] เรื่องนี้มันดาร์กตรงไหนกัน
วันนี้เป็นวันที่อุบัติการณ์วันสิ้นโลกดำเนินเรื่องมาถึงตอนสำคัญเหวินจิงจึงรีบเปิดโทรศัพท์มือถือทันทีที่ขึ้นมาบนรถ เขาอยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วคนร้ายคือใคร และจวินเหยี่ยนจือจะลงเอยกับใคร ทั้งยังอาจจะมีฉากที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กด้วยก็เป็นได้
นิยายที่ติดตามมาเกือบหนึ่งปีใกล้จะปิดฉากลงเสียแล้ว
เหวินจิงจดจ่ออยู่กับการอ่านนิยายจนไม่ได้สังเกตถึงสายลมแรงที่พัดมาจากนอกหน้าต่าง เขารวบเสื้อเข้าหากันโดยที่ดวงตายังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์
รถประจำทางเคลื่อนตัวออกช้า ๆ พลันตัวรถก็สั่นไหวอย่างรุนแรงจนมือถือของเหวินจิงตกลงไปบนพื้น ก่อนเสียงกรีดร้องจะดังระงมไปทั่วทั้งคันรถ
“อะไรเนี่ย”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ภายในรถสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหวินจิงมองออกไปภายนอกอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเห็นเมืองทั้งเมืองถล่มครืนลงมา ผู้คนบนถนนวิ่งชนกันล้มระเนระนาดตะโกนร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด
ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็เกิดเสียงดังปานฟ้าผ่าอย่างไม่มีการเตือนล่วงหน้า เหวินจิงมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าชัดเจนทุกรายละเอียดราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น ร่างกายของเขาหมุนคว้างไปตามรถที่ล้มคว่ำอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนตามมาด้วยความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วสรรพางค์กายฉับพลันทางด้านหลังศีรษะของเขาก็กระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างโดยแรงเบื้องหน้าเหวินจิงกลายเป็นสีดำสนิท
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรเมื่อสติเริ่มคืนกลับมา เหวินจิงก็พบว่ามีแสงสว่างอันอบอุ่นลอยล่องอยู่
แว่วเสียงสุภาพปนขลาดกลัวพูดอย่างแผ่วเบาข้างหูของเขา
“เวลาของท่านอาจารย์มาถึงแล้ว ไปกับศิษย์เถิด”
ภาพเงาของบุคคลที่เขารักผุดพรายขึ้นมาในห้วงมโนสำนึกชัดเจน…ก่อนจะค่อยจางลงจนกระทั่งเลือนหายไป
เหวินจิงเริ่มออกเดินตามกลุ่มแสงสว่างสีขาวท่ามกลางความพร่ามัวไปช้า ๆ
…ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาพลันนึกถึงตอนสำคัญของอุบัติการณ์วันสิ้นโลกที่ยังไม่ได้อ่านขึ้นมา
สำนักกระบี่ชิงซวี[5] ตั้งอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นจู๋เฟิงมาช้านาน
หลายพันปีก่อน เหล่าจอมยุทธ์ที่เดินทางขึ้นไปยังยอดเขาอวี้หรงต่างต้องการถือครองดินแดนแห่งนี้เพื่อใช้เป็นที่ก่อตั้งสำนัก ทว่าจอมยุทธ์ทั้งหลายที่พกพาความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในขามากลับต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปด้วยความผิดหวัง เนื่องจากบนยอดเขาอวี้หรงซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดนี้มีงูเหลือมยักษ์ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว งูยักษ์ดูดซับพลังจากสุริยันและจันทราบนยอดเขานานนับพันปีจนสามารถแปลงกายได้ แม้มันจะไม่ทำร้ายมนุษย์ หากนิสัยดื้อดึงไม่ยินยอมต่อความพ่ายแพ้ของมันก็ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญตนที่ขึ้นไปบนเขาต้องหนีกันจ้าละหวั่น แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ยอมจำนน หันมารวบรวมสมัครพรรคพวกเพื่อกลับขึ้นไปฆ่างูตัวนี้ท้ายที่สุดงูยักษ์ซึ่งถูกรังควานหนักจนกรุ่นโกรธก็ได้กัดคนไปเป็นจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายก็ไม่กล้าย่างกรายไปบนเทือกเขาสวินหยางอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว
สี่พันปีก่อน นักพรตผู้มีท่วงท่าเรียบเรื่อยไม่เคร่งครัดนามว่าชิงซวีจือเดินทางผ่านมา เขาถูกงูยักษ์ทำร้ายขณะที่กำลังปีนขึ้นภูเขา ทว่าเขากลับนึกนิยมสติปัญญาของงูเหลือมตัวนี้ จึงเกิดความคิดที่จะปราบมันให้เชื่องโดยใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ[6]แทนการทำร้ายมัน คราแรกสัตว์ร้ายตัวนี้มองชิงซวีจือเป็นศัตรู จึงแยกเขี้ยวกัดเขาไปหลายครั้ง ครั้นเห็นว่าเขาไม่คิดจะฆ่ามันแม้สักครั้งก็เกิดละอายและนึกเลื่อมใสขึ้นมา ครั้งสุดท้ายที่ชิงซวีจือปล่อยมัน มันจึงรั้งอยู่แทบเท้าของเขาไม่ไปไหน ด้วยเหตุนี้ชิงซวีจือจึงพำนักอยู่ที่เทือกเขาสวินหยางและก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงซวีขึ้น ต่อมาสองร้อยปีให้หลังชิงซวีจือก็ได้พางูเหลือมยักษ์เร้นกายหายไปกับตน
เนื่องจากเป็นเรื่องครั้งโบราณกาล จึงไม่มีผู้ใดรู้จักใบหน้าที่แท้จริงของชิงซวีจือ ภาพวาดผู้ก่อตั้งสำนักที่ทุกคนกราบไหว้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือรูปของนักพรตผู้มีใบหน้าหมดจด แลดูอายุไม่น่าจะถึงสามสิบปี สวมใส่เครื่องแต่งกายสีครามของนักพรต ใกล้กันมีภูตงูตัวใหญ่ดูมีอำนาจน่าเกรงขามนอนขดอยู่หน้าแท่น
หลายร้อยปีต่อมา ศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักชิงซวีหาได้มีความเก่งกาจอันใดไม่ ไม่มีสักคนที่โดดเด่นเหมาะสมกับตำแหน่งผู้สืบทอด ในสำนักจึงเกิดการต่อสู้กันชนิดเอาเป็นเอาตายเพื่อแย่งชิงม้วนตำราโบราณที่ตกทอดต่อกันมาของชิงซวีจือ ส่งผลให้มีคนล้มตายมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ศิษย์จากยอดเขาหงซิ่วเฟิงโดนปรักปรำว่าเป็นฝ่ายผิด จึงถูกเนรเทศ โดยได้ลักลอบนำตำราที่ชิงซวีจือเหลือไว้ติดตัวไปด้วยสองม้วน
เหตุวุ่นวายภายในเป็นโอกาสให้คนภายนอกสบช่องบุกเข้าโจมตีสำนัก ขณะที่ศิษย์ทั้งหลายของสำนักกระบี่ชิงซวีต่างไร้ซึ่งความหวังคูมู่…ศิษย์พี่ใหญ่ได้ทำการถอดจิตเพื่อออกไปประมือ นับเป็นนักพรตที่สามารถถอดจิตเดินทางได้ไกลนับหมื่นลี้คนแรกของสำนักกระบี่ชิงซวีหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับสำนักกระบี่ชิงซวีอีก ชื่อเสียงของสำนักจึงกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
— ความจาก อุบัติการณ์วันสิ้นโลก บทที่ 1
เหวินจิงมองไปทางเทือกเขาอันปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกหนาซึ่งทอดตัวอยู่ไม่ไกล ภาพของยอดเขาสูงเสียดฟ้าหายลับเข้าไปในหมู่เมฆ พาให้คำบรรยายถึงสถานที่แห่งนี้ผุดพร่างขึ้นมาในห้วงความคิด
เหตุที่เขานึกขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะมีความจำดีเลิศ แต่เป็นเพราะเขามักจะย้อนกลับไปอ่านอุบัติการณ์วันสิ้นโลกตั้งแต่บทที่หนึ่งใหม่อีกครั้งระหว่างที่รอคอยการมาถึงของบทต่อไป
สายลมชื้นพัดพาความเย็นมาสู่ใบหน้าที่แหงนมองไปทางกลุ่มเมฆดำที่ลอยอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าอันเป็นสัญญาณว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า
น้ำเสียงเอื้ออารีของผู้สูงวัยแว่วมาจากกระท่อมขนาดเล็ก “จิงเอ๋อร์รีบเข้ามาข้างในเถอะ”
“…ขอรับ” เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาหลังจากเหวินจิงทำความสะอาดสวนเสร็จ เขาใช้มือบังเหนือศีรษะขณะย่างเท้ากลับเข้าไปในกระท่อมพร้อมบอกตัวเองว่า
เป็นคนต้องหนักแน่น ไม่อาจเร่งร้อน ไม่อาจลนลาน ไม่อาจอยู่ในความสับสน…จวนจะได้เวลาแล้ว สมควรจะถึงเวลาแล้ว…
ชายสูงวัยผู้มีเส้นผมขาวโพลนไปทั่วทั้งศีรษะจัดเรียงชามและตะเกียบอยู่ข้างโต๊ะ พลางบอกผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาว่า “ปิดประตูแล้วมากินข้าว”
“ขอรับ” เหวินจิงเดินตรงไปยังโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน
ในตอนนี้เขามีชื่อว่าลู่จิง อายุสิบสามปี
ชายแก่ใจดีที่กำลังจัดโต๊ะอยู่เวลานี้คือปู่ของเขา…ลู่อวิ๋นเฟย
เหวินจิงปิดประตู ใช้กระบวยตักน้ำจากโอ่งขึ้นมาล้างมือ ก่อนจะนั่งลงทางด้านข้างของโต๊ะกินข้าว เอ่ยยิ้ม ๆ “ท่านปู่ วันนี้ท่านทำของอร่อยอะไรหรือ”
ผู้เป็นปู่ใช้นิ้วจิ้มจมูกของเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นระบายรอยยิ้ม “เจ้านี่ตะกละจริง”
“ฮ่า ๆ…”
ฉากครอบครัวสุขสันต์เบื้องหน้าดูสมจริงเสียจนแทบทำให้ผู้มองเห็นคิดว่าทั้งคู่เป็นสองปู่หลานที่เหลือเพียงกันและกันในกระท่อมหลังนี้ แม้จะขัดสนเงินทองหากก็มากด้วยความอบอุ่น
ตัวเขาเองก็คงจะเข้าใจไปเช่นนั้น ถ้าหากว่าไม่เคยอ่านอุบัติการณ์วันสิ้นโลกละก็นะ
[1] ความจริงสามประการ เป็นหลักคำสอนของศาสนานิกายเทียนไท หรือนิกายสัทธรรมปุณฑริก ได้แก่ ความว่าง ความมีอยู่ชั่วคราว และความจริงที่เป็นกลาง
[2] ฟอรั่ม (Forum) คือเว็บไซต์สำหรับการสนทนาหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต
[3] ซู มาจาก แมรี่ซู (Mary Sue) เป็นตัวละครจากเรื่อง A Trekkie’s Tale ซึ่งเป็น Fanfictionของ Star Trek แต่งโดย Paula Smith ในช่วงปี ค.ศ. 1970 ปัจจุบันเป็นคำใช้เรียกตัวละครที่มีลักษณะเป็นตัวละครในอุดมคติ โดยไม่ยึดหลักความเป็นจริง
[4] นิยายที่มีเนื้อหาในด้านลบ เช่น การฆาตกรรมจิตวิปริตหรือเกี่ยวกับด้านมืดในใจมนุษย์
[5] ความว่างอันพิสุทธิ์
[6] กลยุทธ์แสร้งจับเพื่อปล่อย คือการทำดีกับผู้อื่นเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในเรื่อง สามก๊ก เมื่อจูเก่อเลี่ยง (ขงเบ้ง) ทำสงครามกับชนเผ่าทางตอนใต้ได้ใช้กลยุทธ์นี้จับเมิ่งฮั่ว (เบ้งเฮ็ก) ผู้นำของฝ่ายตรงข้ามเจ็ดครั้งและปล่อยไปทั้งเจ็ดครั้ง เมื่อถูกปล่อยครั้งที่เจ็ดเมิ่งฮั่วก็ยอมศิโรราบ