หมู่บ้านที่เหวินจิงอาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาสวินหยาง
ด้านหน้าหมู่บ้านมีน้ำตกใสบริสุทธิ์จนเห็นก้นบ่อ น้ำมีรสชาติหวานสดชื่น ทั้งยังเจือไว้ด้วยพลังวิญญาณ ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งเทพเซียนที่เดินทางผ่านมาได้หยุดดื่มน้ำ ณ ที่แห่งนี้ หมู่บ้านนี้จึงได้รับการขนานนามว่า หมู่บ้านชิงเฉวียน[1]
คนในหมู่บ้านมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ทั้งหมู่บ้านมีอาณาเขตไม่กว้างนักรวมกันแล้วมีคนอาศัยอยู่ไม่เกินหลักสิบ ตกค่ำบ้านใดตีลูก เวลาล่วงไปไม่ทันเช้าก็เป็นที่รู้กันไปทั้งหมู่บ้าน คนที่นี่อยู่ใกล้ภูเขาก็หากินกับภูเขา[2]ต่างยังชีพด้วยสมุนไพรจากเทือกเขาสวินหยาง และการล่าสัตว์
หมู่บ้านชิงเฉวียน แม้จะไม่นับว่าเป็นสถานที่ที่ “ชนประเสริฐธรรมชาติวิเศษ”[3] หากก็ยังคงมีกระไอเซียนแผ่อยู่บางเบา
เหวินจิงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ อันเงียบสงบแห่งนี้มาได้สิบปีแล้ว
เขาเดินทางมายังโลกนี้ได้อย่างไรนั้น กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้
หลายขวบปีแรก เหวินจิงผู้ซึ่งยังไม่มีความทรงจำของโลกเดิมยังคงไม่รู้ประสาเช่นเด็กทั่วไป ทว่าในขวบปีที่เจ็ด เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นที่เทือกเขาสวินหยาง แม้แรงสั่นสะเทือนไม่รุนแรงนัก แต่สติของเขากลับสั่นคลอนด้วยภาพเหตุการณ์มากมายที่ผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึงจนเขาแทบเสียสตินับแต่นั้น ความทรงจำจากของโลกใบก่อนก็ค่อยคืนกลับมาทีละน้อย
ตอนแรก เขาตกใจมากเมื่อรู้ว่าตนอาศัยอยู่ภายในนิยายเรื่องอุบัติการณ์วันสิ้นโลก แต่เมื่อได้สติว่าตนเองเป็นตัวละครใดในเรื่อง เขาก็เริ่มวางแผนว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร
หรือถ้าจะระบุปัญหาของเขาให้ชัดเจนก็คือ ต้องทำอย่างไรเขาจึงจะมีชีวิตต่อไปได้
หนึ่งเด็ก หนึ่งคนชรา นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้ ลู่อวิ๋นเฟยมองเหวินจิงอย่างอ่อนโยนทั้งสีหน้าและแววตา
“จิงเอ๋อร์ ระยะนี้เจ้าฝึกวิชา ‘อาภาพิสุทธิ์’ไปถึงไหนแล้ว”
“อาภาพิสุทธิ์” คือปฐมวิชาสู่การบรรลุเป็นเซียน ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสิบสามขั้นด้วยกัน คัมภีร์เคล็ดวิชาอาภาพิสุทธิ์สามารถหาซื้อได้จากเมืองสวินหยางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านชิงเฉวียน ในราคาสองศิลาปราณ
มะเขือม่วงสดใหม่ผัดกับเต้าเจี้ยวรสชาติกลมกล่อมราวกับจะละลายหายไปในปาก ฝีมือการปรุงอาหารของลู่อวิ๋นเฟยไม่อาจดูแคลนได้จริง ๆเหวินจิงกลืนอาหารไปสองคำ ก่อนตอบ “หลานยังผ่านขั้นที่สามไม่ได้”
“เป็นเพราะหมู่นี้เจ้าห่วงแต่เล่นจนไม่ยอมฝึกซ้อมหรือเปล่า” ลู่อวิ๋นเฟยกระเซ้าถาม
“หลานไม่ได้เอาแต่เล่น แต่เหมือนจะเจอจุดที่ติดขัดไปต่อไม่ได้”
ผู้เป็นปู่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “อีกสามเดือนสำนักกระบี่ชิงซวีจะเปิดรับศิษย์ในรอบห้าปี ปู่เป็นห่วงกลัวเจ้าจะเข้าเป็นศิษย์ของที่นั่นไม่ได้”
“ท่านปู่ไม่ต้องกังวล หลานจะหมั่นฝึกฝน” เหวินจิงรับรองด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ลู่อวิ๋นเฟยใช้นิ้วจิ้มจมูกของอีกฝ่าย “ถ้าเจ้าฝึกถึงขั้นที่สี่ได้เมื่อไรปู่จะพาเจ้าไปเที่ยวที่เมืองสวินหยาง เจ้าอยากได้อะไรปู่ก็จะซื้อให้”
“ขอรับ”
วันแล้ววันเล่า เหวินจิงแสดงเป็นหลานที่เคารพเชื่อฟังท่านปู่ผู้ใจดีได้อย่างสมบทบาท เขาไม่กล้าทำอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต
ลู่อวิ๋นเฟยไม่ใช่ปู่ที่แท้จริงของเขา
เหวินจิงเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวมา ไม่สามารถสืบเสาะความเป็นมาได้ครั้นอายุได้สามปี ลู่อวิ๋นเฟยก็พาเขามายังหมู่บ้านชิงเฉวียน
ที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาจนถึงทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียว…
สับเปลี่ยนวิญญาณ
ลู่อวิ๋นเฟยไร้ซึ่งพรสวรรค์ ตลอดชีวิตของเขาสามารถฝึกวิชาสำเร็จแค่เพียงเจ็ดขั้น บัดนี้ลู่อวิ๋นเฟยมีอายุเก้าสิบเจ็ดปี นับว่าใกล้จะลงไปนอนอยู่ในโลงเต็มที ทว่าเขาไม่อาจยอมรับความตายได้ เคราะห์ดีที่หลายปีก่อนเขาค้นพบม้วนคัมภีร์โบราณที่จะช่วยให้สามารถรวบรวมแก่นปราณของตนหลังจากเสียชีวิต เพื่อทำการสับเปลี่ยนวิญญาณกับร่างใหม่ที่เตรียมไว้ได้หลายปีที่ผ่านมาเขาเพียรเสาะหาเด็กที่มีพรสวรรค์ เพื่อที่จะใช้ร่างนั้นฝึกวิชาอีกครั้ง ท้ายที่สุดฟ้าก็ไม่ทอดทิ้ง เขาจึงได้พบกับเหวินจิง ลู่อวิ๋นเฟยยินดีเป็นอย่างมาก พาเหวินจิงมาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านชิงเฉวียน เลี้ยงดูเขาในฐานะปู่
ถ้าปีศาจเฒ่าใช้ร่างนี้ เหวินจิงต้องตายเป็นแน่
ดังนั้น ตั้งแต่จดจำเรื่องราวทั้งหมดได้ เหวินจิงก็พยายามหาทางหลบหนีมาตลอด
เขาเคยลอบหนีไปครั้งหนึ่ง แต่กลับพบว่าลู่อวิ๋นเฟยได้ลงอาคมไว้บนร่าง เขาจึงไม่อาจเดินจากหมู่บ้านชิงเฉวียนได้เกินระยะสามหลี่[4] เขาเคยพยายามจะต่อต้าน แต่เสียดายที่ลู่อวิ๋นเฟยสำเร็จวิชาขั้นเจ็ด ดังนั้นแม้เหวินจิงจะพยายามสุดชีวิตก็ไม่สามารถเอาชนะได้
จะขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
คนที่อาศัยในหมู่บ้านล้วนเป็นเพียงคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกฝนวิชาเรื่องการสับเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่เคยได้ยินผ่านหูเลยสักครั้ง ถ้าไปขอความช่วยเหลือก็รังแต่จะทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย ที่สำคัญในสายตาของชาวบ้าน ลู่อวิ๋นเฟยเป็นเพียงชายชราผู้ใจดี ฉลาด น่าเลื่อมใสและรักใคร่ห่วงใยหลานของตนมาก แล้วใครเล่าจะเชื่อคำพูดของเหวินจิง
โอกาสที่จะสับเปลี่ยนวิญญาณได้สำเร็จมีเพียงสองถึงห้าส่วน ขึ้นกับว่ามีวิชาเซียนแก่กล้ามากเท่าไร วิชายิ่งแก่กล้า โอกาสสำเร็จก็ยิ่งมาก แต่ถ้าทำการสับเปลี่ยนวิญญาณไม่สำเร็จ วิญญาณของคนผู้นั้นก็จะแหลกสลายไปในทันที ทว่าการเปิดรับศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวีเป็นเรื่องที่ไม่อาจช้าได้ลู่อวิ๋นเฟยผู้หวาดกลัวความตายเป็นอย่างยิ่งจึงจำเป็นต้องเสี่ยง
หนึ่งในมหาสำนักทั้งห้าเช่นสำนักกระบี่ชิงซวีจะรับเฉพาะศิษย์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบหกปีซึ่งบรรลุวิชาเซียนถึงขั้นที่สี่แล้วเท่านั้น ทว่าหลังจากทำการสับเปลี่ยนวิญญาณจะไม่สามารถฝึกวิชาได้ราวหนึ่งปี ลู่อวิ๋นเฟยจึงร้อนใจต้องการให้เหวินจิงฝึกฝนจนสำเร็จขั้นที่สี่ให้ได้ มิฉะนั้นเขาก็จะไม่อาจเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวี
ในนิยายนั้น แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิด หากลู่อวิ๋นเฟยก็แลกเปลี่ยนวิญญาณได้สำเร็จจนเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวีในนาม “ลู่จิง” ได้
ยามสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เหวินจิงไม่อาจฝากทุกอย่างไว้กับโชคชะตาได้อีกต่อไป
ตอนนี้เขาฝึกวิชาสำเร็จขั้นถึงขั้นที่ห้าแล้ว ทว่าลู่อวิ๋นเฟยไม่เคยฝึกวิชา“เนตรสวรรค์” จึงไม่อาจมองเห็นระดับของเขา แต่การจะให้เขาฝึกถึงขั้นที่เจ็ดได้ในสามเดือนเพื่อต่อสู้กับลู่อวิ๋นเฟยยิ่งฟังดูไร้เหตุผล
เหวินจิงเพียงแค่หวังว่า การเป็นนักอ่านผู้ภักดีของอุบัติการณ์-วันสิ้นโลกจะพอช่วยอะไรเขาได้บ้าง
ภายนอก สายฝนตกโหมกระหน่ำ
ม่านฝนค่อยกลืนกินแนวยอดเขาให้หายไปจากสายตาทีละน้อย
[1] แปลว่า น้ำตกใส
[2] การนำสิ่งรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์
[3] อุปมาว่า คนที่ดีย่อมมาจากสภาพแวดล้อมที่ดี
[4] ประมาณ 1.5 กิโลเมตร