ยามเย็น ต้นฤดูใบไม้ร่วง
นอกหน้าต่างผืนฟ้าเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีดำที่แผ่ปกคลุมลงมาจากเบื้องบน ปิดบังยอดเขาจนดูมืดมิดอับแสง หยาดน้ำฝนตกรุนแรงราวจะกลืนกินผู้คนให้หายไปกับสายน้ำ ฟ้าส่งเสียงครืนครางประสานกับเสียงหวีดหวิวของสายลม
เหวินจิงปิดบานหน้าต่างที่สั่นไหวจากพายุสายลมพัดแรงจนเส้นผมของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขาพยายามรักษากิริยาให้นิ่งอย่างสุดความสามารถในขณะที่ริมฝีปากขมุบขมิบไม่หยุด “วันที่เก้า เดือนแปด ยามค่ำวันที่เก้า เดือนแปด ยามค่ำ…”
ลู่อวิ๋นเฟยใช้สายตาเยียบเย็นจับจ้องอีกฝ่าย “จิงเอ๋อร์ เจ้าพึมพำอะไรอยู่คนเดียว”
เหวินจิงหันกลับมามองลู่อวิ๋นเฟยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยประโยคที่อีกฝ่ายเฝ้ารอมานานเป็นเวลาหลายปี “ท่านปู่ หลานฝึกสำเร็จถึงขั้นที่สี่แล้ว”
นัยน์ตาของลู่อวิ๋นเฟยเปล่งประกายดีใจแวบหนึ่งก่อนจะหม่นแสงลงตามเดิม เขาตีสีหน้าคาดไม่ถึงขณะพูดอย่างยินดี “ดี ดี ทำได้เยี่ยมมากพรุ่งนี้ปู่จะพาเจ้าไปเมืองสวินหยาง”
ปากกล่าวเช่นนั้น แต่หัวคิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากัน
อา…ดูแล้วช่างขัดกันกับคำพูดจริง ๆ
เหวินจิงรู้ว่าผู้เป็นปู่กำลังลังเล ถึงอย่างไรการสับเปลี่ยนวิญญาณก็ถือเป็นการฝืนชะตาฟ้า จึงมีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวได้สูงมาก ลู่อวิ๋นเฟยหวั่นเกรงต่อความตายมาทั้งชีวิต จะห้ามไม่ให้กระวนกระวายใจก็คงไม่ได้
เหวินจิงแสร้งทำเป็นดีใจ พูดว่า “เช่นนั้นหลานขอตัวไปนอนก่อน”
“…ดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ากว่าเดิมสักหน่อย”
เหวินจิงหันกายกลับ ขณะที่กำลังจะเดินไปยังห้องนอนเล็ก ๆ ของตนนั่นเอง แผ่นหลังของเขาก็พลันสัมผัสได้ถึงสายลมเย็น ฝ่ามือผอมแห้งซึ่งปกคลุมด้วยรอยเหี่ยวย่นคล้ายกิ่งไม้แห้งวางลงบนบ่าของเขา ดูแล้วไม่ต่างจากโครงกระดูกที่คลานออกมาจากสุสาน พาให้เหวินจิงรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง ลู่อวิ๋นเฟยเอ่ยเสียงชื่นระคนโศก “จิงเอ๋อร์ พวกเราปู่หลานไม่ได้คุยกันมานานมากแล้ว คืนนี้พวกเรามานั่งคุยกันเถอะ”
แม้น้ำเสียงจะชวนขนลุกปานใดก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เหวินจิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนนั่งลง “ท่านปู่ต้องการคุยเรื่องใดหรือ”
ลู่อวิ๋นเฟยค่อย ๆ เดินไปจุดตะเกียง ร่างผอมของเขาปรากฏเป็นเงาทอดยาวภายใต้แสงไฟอันริบหรี่
ผู้สูงวัยมีท่าทางหวนระลึกถึงเรื่องราวในอดีต นัยน์ตาที่ฝ้าฟางด้วยความชราเหม่อลอย เอ่ยช้า ๆ “จิงเอ๋อร์ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ปู่ดูแลเจ้าดีหรือไม่”
“ท่านเลี้ยงข้ามาดียิ่ง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของปู่คือใคร”
เงาสะท้อนของผู้สูงวัยบนกำแพงบิดเบี้ยวไปตามเปลวไฟที่พลิ้วไหวดูน่าหวาดกลัวราวกับเป็นปีศาจ
“ท่านทวดคือใครหรือท่านปู่”
“พ่อของปู่คือลู่จือซาน ผู้อาวุโสของสำนักกู่จิ้งที่มีชื่อเสียงโด่งดังเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาบ้างกระมัง”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของลู่อวิ๋นเฟยพลันอ่อนละมุนลง แววตาทั้งสองข้างเป็นประกายวับวาว
หากสิ่งที่ได้ยินทำให้เหวินจิงนิ่งตะลึงไป
เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ ทำไมถึงไม่มีเขียนไว้ในหนังสือ
ในอุบัติการณ์วันสิ้นโลกเพียงเอ่ยถึงลู่อวิ๋นเฟยว่าเป็นเพียงตัวประกอบที่เลี้ยงดูหลานไว้สำหรับสับเปลี่ยนวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงพื้นเพความเป็นมาของเขาแต่อย่างใด
เหตุใดตัวประกอบตัวหนึ่งจึงมีเบื้องหลังน่ากริ่งเกรงได้ถึงเพียงนี้ในบรรดามหาสำนักทั้งห้า ลู่จือซานเป็นเพียงผู้เดียวที่มีแก่นปราณธาตุไม้เขาใช้เวลาบำเพ็ญเซียนไม่ถึงหนึ่งศตวรรษก็สามารถบรรลุถึงด่านอายุวัฒนะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้จะเป็นบิดาของปีศาจเฒ่า
ดวงตาของลู่อวิ๋นเฟยหม่นแสงลง เผยให้เห็นแววตาขื่นขม “เสียดายที่ปู่ไร้ความสามารถ ตั้งแต่เกิดมา ท่านพ่อก็ไม่เคยเห็นปู่อยู่ในสายตาแม้จะดุด่าปู่สักครั้ง ท่านพ่อก็ยังไม่เคย ท่านพ่อมองเห็นแค่น้องชายทั้งสามคนของปู่เท่านั้น จิงเอ๋อร์ ความเจ็บปวดของปู่…เจ้าเข้าใจหรือไม่”เหวินจิงเพียงแค่ผงกศีรษะรับเงียบ ๆ
เสียงของลู่อวิ๋นเฟยกลับมาดังอีกครั้ง “ปู่ไม่ยอม ปู่เองก็เป็นลูกคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเหตุใดท่านพ่อจึงทำเช่นนี้ น้องชายของปู่อายุสิบขวบก็ฝึกจนบรรลุถึงขั้นสิบ แต่ท่านพ่อกลับโมโห ตวาดน้องชายของปู่ว่าไม่ได้ความ แต่กับปู่ที่อายุยี่สิบ ท่านพ่อกลับไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าปู่ฝึกถึงขั้นใด สักวันปู่จะทำให้ท่านพ่อเสียใจที่ทำแบบนั้นกับปู่ จะทำให้ท่านพ่อหันมามองปู่ ลูกที่แม้แต่ชื่อเขายังไม่เคยเรียก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด…”
พูดไม่ทันจบประโยค ลู่อวิ๋นเฟยก็ไออย่างรุนแรง
เหวินจิงนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะขยับกาย
สองมืออันสั่นเทาของลู่อวิ๋นเฟยล้วงแผ่นป้ายสีดำสนิทออกมาจากสาบเสื้อบริเวณหน้าอก ป้ายนั้นดูคล้ายโลหะ หากก็ไม่ใช่โลหะ ดูคล้ายไม้ทว่าก็ไม่ใช่ไม้ กิริยาของลู่อวิ๋นเฟยคืนกลับสู่การเป็นปู่ผู้ใจดีของหลานชายดังเดิม หางตาอันคลอไปด้วยหยาดน้ำตาส่งผลให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนละมุนลง ลู่อวิ๋นเฟยสัมผัสข้อมือของเหวินจิงเบา ๆ “จิงเอ๋อร์ จากนี้ไปปู่มีธุระเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ ถ้าหากว่าปู่ตายไป ให้เจ้านำแผ่นป้ายนี้ไปหาทวดของเจ้าที่สำนักกู่จิ้ง เขาอาจจะจำปู่ไม่ได้ แต่เจ้าก็นับว่าเป็นลูกหลานสกุลลู่ เขาไม่อาจไม่สนใจเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้น พรสวรรค์ของเจ้า…”
พูดถึงตรงนี้ ลู่อวิ๋นเฟยก็มองเหวินจิงอย่างกระหาย นัยน์ตาหลุกหลิกสอดส่ายไปมาก่อนจะนิ่งลงตามเดิม
เหวินจิงแค่นหัวเราะในใจ
หากลู่อวิ๋นเฟยแลกเปลี่ยนวิญญาณสำเร็จ เขาคงจะรักษาชีวิตน้อย ๆของตนไว้ไม่ได้ แต่ถ้าลู่อวิ๋นเฟยล้มเหลว เขายังต้องเดินทางไกลเป็นพันลี้เพื่อมอบแผ่นป้ายและแจ้งข่าวการตายให้กับตระกูลของลู่อวิ๋นเฟยอีกต่างหาก
เขามองไปที่มือของอีกฝ่าย นิ้วมือที่เหมือนกับกิ่งไม้แห้งตายของลู่อวิ๋นเฟยราวกับจะสูบเอาความเยาว์วัยของเขาเข้าไป
“จิงเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือไม่”
เหวินจิงขยับข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเบา“ใจระย่อต่อความตาย ชนทั้งหลายล้วนพึงมี ในที่สุด หลานก็เข้าใจสาเหตุที่ท่านปู่ต้องการสับเปลี่ยนวิญญาณกับหลานเสียที แต่ว่าหลาน…หลานไม่เคยพานพบคนที่น่าสะอิดสะเอียนเช่นท่านปู่มาก่อน”
ลู่อวิ๋นเฟยอึ้งไป “เจ้าว่าอะไรนะ”
ทว่าเขายังช้ากว่าเหวินจิงที่กระโจนหนีออกไปทางหน้าต่าง ร้องตะโกนเสียงดัง “ท่านเซียน! พี่ชายเซียน! ช่วยข้าด้วย! พี่ชายเซียน!”
ขอบฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำอันเป็นสัญญาณการมาถึงของพายุใหญ่ ลมพัดกระโชกแรงไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงฟ้าร้องคะนองก้อง
บุคคลสามคนยืนอยู่ข้างน้ำตกด้านหน้าหมู่บ้าน
เรือนร่างสง่างามดั่งบัณฑิตอยู่ในอาภรณ์สีขาว ดวงตาบนใบหน้าคมคายซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีกวาดไปรอบ ๆก่อนจะหยุดลงตรงศิลาบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เขากล่าวกับตนเองเสียงเบา“หมู่บ้านชิงเฉวียน…ท้องฟ้ามืดแล้ว คืนนี้เราพักที่หมู่บ้านนี้กันเถอะ”
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดในเครื่องแต่งกายสีเทา อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีตอบช้า ๆ “ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวได้เหมาะสม”
ข้างกายทั้งสองปรากฏบุรุษในเครื่องแต่งกายเรียบง่ายสีดำสนิทซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะลองไปดูว่ามีบ้านใดพอจะให้พวกเราพักได้บ้าง”
เด็กหนุ่มในชุดสีเทาออกเดินช้า ๆ “ศิษย์พี่สี่ คราวก่อนที่ข้ามาหมู่บ้านนี้กับศิษย์พี่สาม ชาวบ้านที่ออกมาหาฟืนเห็นพวกเราเหาะเหินเดินอากาศได้ต่างเข้าใจว่าพวกเราเป็นเทพเซียน จะมีคนที่ไม่ยอมให้พวกเราพักหรือ”ผู้อยู่ในชุดสีขาวเบ้ปาก “ถึงกับบอกว่าตัวเองเป็นเซียน ช่าง…” ไร้ยางอายจริง ๆ
คนในหมู่บ้านต่างหลบฝนอยู่ในบ้านของตน มีเพียงเด็กไม่กี่คนที่ยืนมองพวกเขาจากท้ายหมู่บ้าน
ท่ามกลางความมืด สายลมแรงพัดเส้นผมของพวกเขาสะบัดไหว
บุรุษในอาภรณ์สีดำย่างเท้าไปข้างหน้า เดินผ่านบ้านหลายหลังไปโดยไม่หยุด ชั่วขณะที่ตัดสินใจว่าจะเคาะประตูเพื่อถาม ก็พลันได้ยินเสียงตะโกนของเด็กชายดังมาจากที่ไม่ไกล เสียงเล็กตื่นตระหนก เจือปนด้วยความหวาดกลัวจวนสิ้นหวังเต็มที
“ท่านเซียน! พี่ชายเซียน! ช่วยด้วย!”
เด็กหนุ่มในเครื่องแต่งกายสีเทาจับต้นชนปลายไม่ถูก “เสียงใครร้องให้ช่วยหรือ”
สีหน้าของบุรุษในชุดขาวเปลี่ยนทันควัน เขากระโจนไปใช้เท้าเตะประตูพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายในชุดดำตามติดกระชั้นชิด กวาดนัยน์ตาเยือกเย็นไปรอบสวน
เด็กหนุ่มที่ทั้งร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนคุกเข่าอยู่บนพื้น เหนือร่างของเขา ดวงไฟสีเหลืองที่ลอยอยู่พยายามอย่างยิ่งที่จะแทรกเข้าไปในร่างที่อยู่เบื้องล่าง
“พี่ชายเซียน! ช่วยด้วย!” ใบหน้าของคนที่อยู่บนพื้นซีดขาวด้วยความเจ็บปวด แสงสีเหลืองของลูกไฟไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดลงบนร่าง
“สับเปลี่ยนวิญญาณ!” ชายในชุดสีเทาตะโกนออกมา โดยยังคงความสงบในน้ำเสียงเอาไว้
ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวซึ่งไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากฝ่ามือของผู้ใดก็ตรงเข้าปะทะกับลูกไฟสีเหลืองโดยไม่รอให้มีเวลาเตรียมรับมือ
ลูกไฟสองดวงพุ่งชนกันในความเงียบ ก่อให้เกิดแสงวาบจนรอบข้างสว่างโรจน์ราวกลางวัน ก่อนวูบหายราวกับได้ปลดปล่อยพลังออกจนหมดสิ้น
ใบหน้าของเหวินจิงเต็มไปด้วยดินโคลน หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อจากทางหางตา เขามองเห็นศพของชายชราซึ่งมีมีดปักอยู่บริเวณท้องเริ่มแข็งตัว
รอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
บุรุษในชุดสีดำซึ่งทั้งตัวชุ่มโชกไปด้วยน้ำฝนเดินตรงมาช้า ๆ ก่อนใช้มือสำรวจศพของผู้สูงวัย “ปลิดชีพตนเอง แก่นปราณของเขาแยกจากร่างเพื่อจะสับเปลี่ยนวิญญาณ”
เขามองมายังเหวินจิง “เจ้าเป็นใคร”
เหวินจิงจ้องอีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง
หยาดน้ำฝนหยดระลงมาตามใบหน้าของชายชุดดำผ่านนัยน์ตาเย็นชาซึ่งแผ่ประกายเยือกเย็นออกมา ริมฝีบางเฉียบดูไร้ซึ่งความรู้สึก แต่เมื่อมองโดยรวม คนผู้นี้กลับให้ความรู้สึกสดชื่นดั่งสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิซึ่งนำพาความอบอุ่นมาสู่ทุกที่ที่เขาไป เพียงเขายืนอยู่ ความน่ากลัวของสวนแห่งนี้ก็กลับลดลง
“ท่านคือ…” จวินเหยี่ยนจือ?