พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ ตอนที่ 5

 

วันที่ยี่สิบห้า เดือนแปด ฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศปลอดโปร่ง

เหวินจิงกัดฟันใช้มือเปล่าคว้าต้นหญ้าและโขดหินตามรายทางเพื่อใช้เป็นหลักพยุงตัวยามปีนขึ้นหน้าผาที่มีความชันเกือบเก้าสิบองศา

รอบตัวเขา คนอื่น ๆ ต่างก็กำลังปีนขึ้นเขาด้วยความยากลำบากสุดจะพรรณนาไม่ต่างกัน ในใจทุกคนปรารถนาแค่เพียงปีนให้ถึงด้านบนของหน้าผาอันสูงชันนี้ให้ได้โดยเร็ว

ยามที่ประตูของหุบเขาเปิดออกเพื่อรับสมัครศิษย์ใหม่ ผู้ที่ประสงค์จะเข้าเป็นศิษย์ต้องมารวมตัวกัน ณ หอชิงซวีอันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของสำนักกระบี่ชิงซวีบนทางขึ้นยอดเขาอวี้หรง ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาสวินหยางนี้สูงเสียดฟ้าทะลุหมู่เมฆ ด้านหนึ่งติดภูเขา อีกสามด้านเป็นหน้าผาสูงชัน บรรดาลูกศิษย์ต้องอดทนฟันฝ่ากระแสลมเพื่อมาที่นี่ จวบจนกว่าจะสามารถเหาะเหินหรือมีพาหนะที่สามารถบินได้

ดังนั้น ผู้ที่ฝึกฝนสำเร็จเพียงขั้นที่ห้าอย่างเหวินจิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเสียจากจะปีนขึ้นมา

ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ที่เคยปีนขึ้นยอดเขาแห่งนี้มีมากมายเกินกว่าจะนับ เส้นทางส่วนใหญ่จึงไม่อันตรายอีกต่อไป เว้นแต่ส่วนที่เป็นหน้าผาสูงห้าจั้ง ซึ่งความลาดชันของมันสามารถใช้เป็นเครื่องทดสอบความมุมานะของคนได้เป็นอย่างดี

เหวินจิงใช้มือเหนี่ยวเถาวัลย์ซึ่งเลื้อยอยู่ตามหน้าผา พร้อมกับอาศัยพละกำลังจากขาพาตัวเองขึ้นไปเหยียบส่วนที่เป็นพื้นราบได้ในที่สุด

 

สิ่งปลูกสร้างขนาดมโหฬารตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บนนั้นสลักตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ อ่านได้ว่า “หอชิงซวี” ทางด้านหน้าของตัวอาคารมีรูปหล่อสำริดของนักพรตหนุ่มในเครื่องแต่งกายเบาสบายความสูงประมาณสิบจั้ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสมจริงราวกับมีชีวิต ในมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง ทางด้านข้างเป็นรูปสลักงูยักษ์ซึ่งมีความสูงประมาณครึ่งหนึ่ง ดูเปี่ยมอำนาจ น่าเกรงขาม สร้างความประหวั่นต่อผู้พบเห็น

— ความจาก อุบัติการณ์วันสิ้นโลก บทที่ 2

 

ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนิยายคือเหตุการณ์ขณะที่จวินเหยี่ยนจือเดินทางขึ้นเขาและได้เห็นหอชิงซวีเป็นครั้งแรก

เหวินจิงเฝ้าจินตนาการถึงฉากนี้หลายต่อหลายครั้ง ทว่าภาพจำลองเหล่านั้นยังดูไม่น่าเกรงขามเท่าของจริงที่ได้เห็นกับตาของตนในวันนี้

เขาปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าตนนั้นโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสเข้ามาสัมผัสโลกในนิยาย ยิ่งนิยายเรื่องนี้ได้รับการคัดเลือกจากสถานีโทรทัศน์เพื่อนำมาทำเป็นสื่อการสอนด้วยแล้ว ให้อย่างไรพระเอกก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปเป็นตัวร้ายอย่างเด็ดขาด ทั้งยังไม่มีเหตุการณ์โลกถล่มหรือสถานการณ์อื่นใดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เหวินจิงมีความสุขราวดอกไม้แย้มบาน มันสุดยอดมาก ๆ เยี่ยมจริง ๆ

เหวินจิงดื่มด่ำกับทิวทัศน์งดงามเบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่ปกติ

เขาเปิดระบบประเมินค่าความดี

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

กรอบเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาทีละอันล้วนเป็นสีเขียวทั้งหมด แสดงว่าทุกคนมีค่าความดีเป็นบวก เมื่อเหวินจิงสำรวจคร่าว ๆ ก็พบว่า ค่าความดีที่ต่ำที่สุดมีค่าประมาณ 100 ส่วนค่าความดีที่สูงที่สุดนั้นอยู่ในระดับ 800ตัวเลขของแต่ละคนไม่คงที่ ไม่มีสักคนที่ตัวเลขหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา

เขาเผลอมองชายผู้มีระดับคุณความดีสูงที่สุดโดยไม่รู้ตัว

ร่างสูงเพรียวในอาภรณ์สีขาวยืนนิ่งอยู่หน้ารูปหล่อสำริด แต่กลับเห็นรายละเอียดบนใบหน้าได้ไม่ชัดเจน

คนนี้เป็นใครกัน ถึงได้รวมคุณความดีทั้งหมดในโลกหล้ามาไว้กับตัวคนเดียว

ทันใดกรอบสีแดงก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

ระดับคุณความดีติดลบ! ความคิดชั่วร้ายเหมือนปีศาจ?

เมื่อสอดส่ายสายตาหา กรอบสีแดงก็พลันหายไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงผุดขึ้นมาอีกรอบ

คิ้วของเหวินจิงขมวดมุ่นยามทอดสายตาตามกรอบสีแดงไปตกที่เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสี่สิบห้าผู้มีลักษณะการแต่งกายคล้ายชาวนาเสื้อสีน้ำเงินเก่าคร่ำคร่าบนตัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยรอยปะชุน ใบหน้าหล่อเหลาติดจะเย็นชา กิริยายามเคลื่อนไหวดูมีสง่าราศีผิดกับอายุและการแต่งกาย

ระดับคุณความดีของคนผู้นี้สลับไปมาระหว่างบวกกับลบ

มีทั้งดีและเลวปนกัน?

ทางด้านหลังมีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้น เมื่อเหวินจิงหันกลับมามอง ใบหน้าก็พลันระเรื่อด้วยสีแดง

สตรีในอาภรณ์สีม่วงที่เพิ่งกระโจนขึ้นมาบนหน้าผามีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าขาวราวบัวหิมะบริสุทธิ์เหนือโลกีย์ งดงามหาใครเปรียบ ทว่าซีกหน้าด้านซ้ายกลับปรากฏรอยสีแดงอ่อน คล้ายได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ปีนหน้าผาขึ้นมา

บรรดาศิษย์ชายต่างมองสตรีผู้นี้เป็นตาเดียว

เหวินจิงเองก็แอบลอบมองนางหลายครั้ง รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอย่างประหลาด

เขาเคยจินตนาการถึงสตรีในชุดสีม่วงผู้มีแผลสีแดงนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

จี้เข่อฉิง

…ผู้เป็นนางฟ้าในดวงใจของเขาตลอดกาล

ทั้งยังเป็นตัวละครหญิงที่เขาคาดหวังให้ได้ลงเอยกับจวินเหยี่ยนจือ

ชั่วขณะนั้นพลันบังเกิดกระแสลมแรง เหยี่ยวสีดำพุ่งลงมาจากบนฟ้ากรงเล็บทั้งสองข้างของมันกางออกคว้าตัวของหญิงสาวไว้ ผู้คนตะโกนแตกตื่นด้วยไม่รู้จะจัดการปีศาจตนนี้ได้อย่างไร ทว่าสายลมหอบหนึ่งกลับพัดผ่านข้างกายของเหวินจิงไปก่อนที่ลำแสงสีขาวจะปะทะเข้าที่ตัวของเหยี่ยวตัวนั้น

“ศิษย์พี่เหวินเหริน!” ทั้งหมดอุทานอย่างคาดไม่ถึง

ทว่าสตรีในชุดม่วงกลับแค่นหัวเราะเสียงเย็น ลำแสงสีม่วงซึ่งตวัดพัดพลิ้วดังสายลมแต่กลับรวดเร็วดุจสายฟ้าก็แล่นไปถึงเหยี่ยวตัวนั้นขนสีดำของเหยี่ยวที่โดนทั้งลำแสงสีขาวและม่วงเข้าไปติดไฟพรึ่บ มันกรีดเสียงร้องโหยหวนก่อนจะกางปีกบินหนีไป

ถ้อยคำชื่นชมดังอื้ออึง

“อายุยังน้อยแต่กลับฝึกได้ถึงเพียงนี้”

“ปราณอาจบรรลุถึงขั้นที่สิบสองแล้วกระมัง”

“เปี่ยมด้วยพรสวรรค์”

“ทั้งยังงดงามขนาดนี้…”

จากนั้น บุรุษในชุดสีขาวผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นก็เดินตรงเข้ามาเหล่าคนที่ห้อมล้อมอยู่เมื่อสัมผัสได้ถึงกระไอความเป็นบัณฑิตสูงส่งของเขาก็ได้แต่พากันทอดถอนใจที่ตนเองนั้นด้อยกว่า

ผู้มาใหม่เอ่ยอย่างสุภาพ “ข้าน้อยเหวินเหรินมู่ เหยี่ยวตัวนั้นศิษย์น้องของข้าน้อยเลี้ยงเอาไว้ แต่กลับไม่ระวังจนออกมาสร้างความตกใจแก่แม่นางต้องขออภัยด้วย”

เขาประสานมือเป็นเชิงขออภัย รอให้อีกฝ่ายตอบรับคำขอโทษ

บุรุษเด่น สตรีงาม ยามยืนเคียงกันดูมีเสน่ห์ดึงดูดราวภาพวาด

หากการณ์ไม่เป็นไปตามคาด แทนที่จะซาบซึ้งใจ สตรีในอาภรณ์สีม่วงกลับปรายตามองอย่างเย็นชา ก่อนจะผละออกมาโดยไม่เอ่ยวาจา

บุรุษในชุดขาวนิ่งตะลึงไป

การยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยความหวังดีของเขากลับสร้างความไม่พอใจแก่นางกระนั้นหรือ

ทว่าเขามิได้โกรธเคืองอันใด ยังคงส่งยิ้มน้อย ๆ ให้แผ่นหลังของอีกฝ่ายเหวินจิงยืนจ้องตาไม่กะพริบจากที่ไกล ๆ

เหตุการณ์ “วีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่สาวงามไม่ชายตาแล” นี้ เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเหวินเหรินมู่กับจี้เข่อฉิง

เหวินเหรินมู่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาเทียนเหิง

ยอดเขาเทียนเหิงเป็นอริกับยอดเขาฮุ่ยสือ

ดังนั้น เหวินเหรินมู่จึงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของจวินเหยี่ยนจือไปโดยปริยาย

ในตอนนี้ จวินเหยี่ยนจือยังไม่ได้สร้างผลงานโดดเด่นจนมีชื่อเสียงเลื่องลือ ความไม่ลงรอยของทั้งคู่จึงยังไม่ฉายชัด แต่ในภายภาคหน้าทั้งสองจะยิ่งเข้ากันไม่ได้ไม่ต่างจากน้ำกับไฟ จ้องฟาดฟันกันทั้งเบื้องหน้าและลับหลัง

ทว่า…ค่าคุณความดีของเหวินเหรินมู่ในระบบนั้น แม้จะผันไปมาตลอด หากก็ยังอยู่ในช่วง 800 จัดเป็นบุคคลประเภท “มือสะอาด ศีลธรรมสูงส่ง ควรค่าแก่การแซ่ซ้องสรรเสริญ”

ถุย…

…เหวินเหรินมู่ ผู้ที่ยามเผชิญหน้ากับศัตรูฝีมือสูงส่งก็ลอบหนีไปโดยไม่เหลียวแลศิษย์น้องที่ตนทิ้งไว้ข้างหลัง ทั้งยังบิดเบือนความจริงด้วยการใส่ความคนอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนเช่นนี้ ระบบยังจัดว่า “ควรค่าแก่การแซ่ซ้องสรรเสริญ” อีกหรือ

ขณะที่เหวินจิงกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงของความสับสนนั้นเอง บุรุษในชุดสีดำสนิทก็ค่อยเคลื่อนกายเข้ามาอยู่ในสายตาของเขาทีละก้าว ยังไม่ทันจะได้กระทำอันใด กล่องสีแดงเตะตาก็แวบขึ้นมา

[ค่าความดี: – 1000 นักโทษอุกฉกรรจ์ สมควรแก่การสำเร็จโทษ]

ผู้ที่เพิ่งปรากฏกายหยุดยืนอยู่หน้าหอชิงซวีครู่หนึ่ง ดูสันโดษ สงบนิ่งราวกับเป็นไม้ใหญ่จากบรรพกาล

เหวินจิงลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบ ๆ

ตัวเลขคุณความดีของจวินเหยี่ยนจือจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

ค่าความดีของคนอื่นจะแปรผันไปมาไม่หยุด มีเพียงของเขาเท่านั้นที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ไม่น่าจะใช่การประเมินค่าโดยระบบแล้ว แต่เหมือนเป็นบั๊ก[1] มากกว่า

ไม่อย่างนั้นการตีค่าประเภท “ควรค่าแก่การแซ่ซ้องสรรเสริญ” จะเป็นของเหวินเหรินมู่ ส่วน “สมควรแก่การสำเร็จโทษ” กลับเป็นของจวินเหยี่ยนจือได้อย่างไร

คิดได้ดังนี้ อารมณ์ขุ่นมัวของเหวินจิงจึงค่อยดีขึ้น ท้องฟ้าก็ดูเป็นสีฟ้าขึ้นกว่าเมื่อครู่…

เสียงกู่ก้องคำรามราวเสียงร้องของมังกรดังขึ้นจากทางหอชิงซวีเป็นสัญญาณเริ่มต้นการทดสอบ

ผู้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบต่อแถวเพื่อให้ศิษย์สำนักชิงซวีที่มีวิชา“สืบปราณ” และ “เนตรสวรรค์” ทำการตรวจสอบอายุและระดับพลัง

ผู้ที่จะเข้าสำนักกระบี่ชิงซวีได้ จะต้องมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีและมีพลังปราณขั้นสี่ขึ้นไป

…อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับว่าแต่ละยอดเขาจะรับเข้าเป็นศิษย์หรือไม่

อาทิ ยอดเขาเทียนเหิง และยอดเขาวั่งเย่ว์ แต่ละปีจะรับศิษย์ไม่มากนัก ผู้ที่ไม่ได้รับเลือกจึงทำได้เพียงทอดถอนใจ

ผ่านไปครู่ใหญ่ คนที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามต้องการก็ถูกคัดออกส่วนผู้ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองคนถูกเรียงลำดับตามชนิดของแก่นปราณเพื่อให้ประมุขของแต่ละยอดเขาคัดเลือก

แก่นปราณจัดแบ่งออกตามธาตุทั้งห้า ได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟและดิน

กว่าเก้าในสิบส่วนของผู้ฝึกเซียน ในหนึ่งคนจะประกอบด้วยสี่ถึงห้าธาตุ ธาตุยิ่งมากระดับพลังจะยิ่งอ่อนด้อย เนื่องจากจะซึมซับพลังปราณได้ช้า ความก้าวหน้าในการฝึกก็พลอยช้าลงไปด้วย เทียบแล้วดีกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงถูกเรียกว่า “แก่นปราณเทียม” หรือ“แก่นปราณสูญ”

ผู้ฝึกที่ครอบครองแก่นปราณสองถึงสามธาตุจะมีพลังค่อนข้างแข็งกล้า สามารถซึมซับปราณวิญญาณได้ค่อนข้างเร็ว ประเภทนี้เรียกว่า“แก่นปราณแท้”

ส่วนผู้ฝึกเซียนที่ครอบครอง “แก่นปราณสวรรค์” นั้น จัดเป็นผู้ที่สวรรค์เมตตาสมดังคำเรียกขาน คนประเภทนี้จะครอบครองแก่นปราณเพียงหนึ่งธาตุ พลังปราณจึงแข็งกล้ามาก ฝึกปราณได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่า สามารถบรรลุขั้นประสมฟ้าดินได้โดยง่ายจนน่าอิจฉา เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ครอบครองแก่นปราณสวรรค์นั้นหาได้ยากปานงมเข็มในมหาสมุทร ในห้ามหาสำนักยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ทว่ายังมีแก่นปราณอีกชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งกว่านั้น คือแก่นปราณประสาน ผู้ที่มีแก่นปราณประเภทนี้จะสามารถหลอมรวมแก่นปราณสองหรือสามธาตุในกายเข้ากันเป็นธาตุบริสุทธิ์ บุคคลประเภทนี้จึงเป็นผู้ฝึกฝนพลังปราณได้รวดเร็วที่สุด

เหวินเหรินมู่คือศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักกระบี่ชิงซวีที่ถือครองแก่นปราณสวรรค์ ธาตุดิน

แก่นปราณของจี้เข่อฉิงเป็นธาตุน้ำแข็งซึ่งเกิดจากการหลอมรวมธาตุน้ำและดินเข้าด้วยกันอันหาได้ยากยิ่ง

ส่วนแก่นปราณของจวินเหยี่ยนจือเมื่อเทียบกับสองคนแรกแล้วนับว่าธรรมดากว่ามาก เขาถือครองแก่นปราณแท้อันประกอบด้วยธาตุทองและไม้

ในขณะที่แก่นปราณของเหวินจิงนั้น ธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟดิน ล้วนมี จัดเป็นแก่นปราณสูญ ซึ่งถึงแม้ว่าจะจัดเป็นแก่นปราณระดับต่ำทว่าเขากลับมีร่างกายสามพิสุทธิ์อันพิเศษแผกจากคนอื่น

ร่างกายสามพิสุทธิ์พบเจอได้น้อยกว่าน้อย ในรอบหลายพันปีจึงจะมีผู้ที่ครอบครองปรากฏขึ้นสักคนหนึ่ง ความรวดเร็วในการฝึกฝนพลังปราณจะเป็นรองก็เพียงระดับแก่นปราณสวรรค์เท่านั้น

เหวินจิงตระหนักดีว่า หากประกาศออกไปจะต้องเป็นที่จับตามองของบรรดาประมุขยอดเขาเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม สำนักกระบี่ชิงซวีจะไม่ดำเนินการตรวจสอบสภาพร่างกายสามพิสุทธิ์โดยไร้เหตุจำเป็น ทั้งเหวินจิงเองก็ไม่มีความคิดที่จะบอกกล่าวออกไป

แถวของผู้รอรับการคัดเลือกในหอชิงซวีแบ่งเป็นแปดแถว เหวินจิงยืนรอรับการซักถามจากประมุขของยอดเขาเช่นเดียวกับอีกเจ็ดสิบเอ็ดคน

เบื้องหน้าแถวของคนที่เข้ารับการทดสอบเป็นยกพื้นสูง นักพรตชายหญิงจำนวนสิบกว่าคนที่นั่งอยู่บนนั้นดูโดดเด่นมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันก็คือ ทั้งหมดล้วนมีพลังปราณสูงส่งเกินกว่าระดับธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่นั่งบนเก้าอี้ประธานตรงกลางมีกระไอเซียนเข้มข้น สมควรจะเป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบัน…สีฟั่ง เขาสวมเสื้อนักพรตสีเหลือง เฝ้ามองคนอื่นด้วยสายตาเมตตา

สีฟั่งถูกขนาบด้วยประมุขยอดเขาทั้งสิบสี่

อีกนัยหนึ่งคือ ประมุขยอดเขาอีกผู้หนึ่งยังไม่มาปรากฏกาย

ไม่ต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าเป็นผู้ใด

ต้วนเซวียนผู้เป็นอาจารย์ของจวินเหยี่ยนจือไม่ได้มาเยือนที่แห่งนี้เป็นเวลาหลายปี ประมุขยอดเขาคนอื่น ๆ เข้าใจตรงกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาว่า เมื่อปราศจากใจจะรับศิษย์ ไยต้องเสียเวลามาหอชิงซวี

บรรดาประมุขยอดเขาสำรวจคุณลักษณะของผู้ประสงค์เข้าเป็นศิษย์ที่อยู่เบื้องหน้า ความสามารถ รูปลักษณ์ กิริยามารยาทล้วนถูกนำมาพิจารณา ก่อนจะเรียกบางคนออกมาเพื่อสอบถาม หลังขั้นตอนผ่านไปครบถ้วนกระบวนการ บรรดาผู้เข้ารับการคัดเลือกก็ออกไปรออยู่ทางด้านนอกของหอชิงซวี ระหว่างที่ประมุขของยอดเขาทั้งหลายหารือกันว่าผู้ใดจะอยู่หรือไป

ผู้ที่มีแก่นปราณอันประกอบด้วยธาตุทั้งห้าชนิดมิได้เป็นศิษย์ที่ประมุขยอดเขาปรารถนา ย่อมไม่เป็นที่ต้องตาของพวกเขา

การณ์เป็นไปตามคาด จี้เข่อฉิงและผู้ที่สามารถหลอมรวมวิญญาณธาตุลมอีกผู้หนึ่ง ถูกเรียกเข้าไปเป็นอันดับแรก

หลังจากนั้น ผู้ที่มีแก่นปราณแท้ก็ทยอยเข้าไป

ตามด้วยผู้ที่มีแก่นปราณสามและสี่ธาตุที่ถูกเรียกเข้าไปทีละคนเหลือเพียงแปดคนที่ยังคงรอคอยอยู่ภายนอก หลายคนมีสีหน้าเหยเกเจียนร่ำไห้

เด็กหนุ่มในเสื้อสีน้ำเงินผู้ที่ดีและเลวปนกันคือหนึ่งในแปดคนนี้

เขาบังเอิญหันมาทางเหวินจิงซึ่งกำลังลอบพิจารณาอยู่พอดี จึงส่งยิ้มน้อย ๆ ให้

เหวินจิงหวนนึกถึงค่าความดีในระบบของอีกฝ่าย

[ค่าความดี: 1 จิตใจดีงาม สามารถคบหาเป็นสหาย]

[ค่าความดี: – 1 จิตใจโฉดช้า คบหาเป็นสหายพึงระวัง]

…นี่มันหมายความว่าคบเป็นเพื่อนได้หรือไม่ได้กันเล่า

เด็กหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร “ข้าชื่อโหยวซื่อ เจ้ามีชื่อว่าอะไร”

“…ลู่จิง”

“ลู่จิ้ง?”

“จิงจากจิงจี๋[2]”

“หนทาง[3] เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก ช่างมีความหมายดีจริง…”

“…”

“เจ้าอยากไปที่ยอดเขาใด”

เหวินจิงมองอีกฝ่ายขณะตอบ “ที่ใดก็ได้”

ได้ยินเช่นนี้เด็กหนุ่มก็หัวเราะ “เจ้ากับข้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้แต่รอคอยให้ผู้อื่นมาเลือกเรา พวกเราไม่มีสิทธิ์เลือกหรอก”

“ไม่ผิด…”

กิริยาวาจาของโหยวซื่อคล้ายไม่ใช่คนที่มีพื้นเพมาจากชาวไร่ชาวนาแต่กลับดูมีการศึกษา เหมือนเติบโตมาในครอบครัวบัณฑิตที่ร่ำเรียนมาเป็นอย่างดี

คนผู้นี้สมควรผูกมิตรด้วยหรือไม่กันแน่

เหวินจิงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวินเหยี่ยนจือเป็นแน่

ขณะนั้นเอง ศิษย์ในชุดนักพรตสีเหลืองอ่อนก็เดินออกมาจากหอชิงซวีประกาศว่า “แปดคนที่เหลือ ตามข้าเข้ามา”

ผู้ที่นั่งอยู่บนพื้นพากันลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

 

 


[1] Bug หรือจุดบกพร่อง หมายถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมอันเนื่องมาจากคำสั่งในโปรแกรมนั้น ๆ เอง ซึ่งทำให้การทำงานของโปรแกรมไม่ถูกต้อง มีข้อผิดพลาดหรือไม่ราบรื่นเท่าที่ควรนอกจากปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมแล้ว อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวเครื่องก็ได้

[2] จิงจี๋ แปลว่า ไม้พุ่มที่มีหนาม

[3] ลู่ จากชื่อของลู่จิงมีความหมายว่า ทาง หรือถนน

พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ

พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ

Status: Ongoing
อ่านนิยายพวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะเรื่องย่อ ยังไม่ทันได้อ่านตอนจบของนิยายเรื่องโปรด เหวินจิงก็พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขาหลุดเข้าไปในโลกของนิยาย ในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเกือบจะไม่มีบทบาทใดๆ ในเรื่อง แต่เพื่อเอาชีวิตรอด ทำให้เขากลายเป็นศิษย์น้องของจวินเหยี่ยนจือ ในสายตาและความคิดของเหวินจิง ศิษย์พี่ของเขาเป็นคนดี คือพระเอกนิยายที่เขาเฝ้าคอยลุ้นว่าจะได้ลงเอยกับใครมาตลอด แต่หนุ่มน้อยซื่อใสไร้เดียงสาไม่เคยรู้ว่าเบื้องหลังของศิษย์พี่มีเรื่องราวดำมืดในอดีตซุกซ่อนอยู่ บางเหตุการณ์ในนิยายที่เขาอ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เคยบอกเอาไว้ และหากเหวินจิงรู้ว่าเพราะเหตุใดศิษย์พี่จึงคอยถามอายุเขาอยู่ตลอดเวลาคงอยากถอนคำพูดที่ว่า ‘ศิษย์พี่ของข้าเป็นคนดี’ กลับลงไปให้หมดสิ้น!!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset