มั่วชิงเฉินเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่ปูด้วยหยกเหลือง สองข้างคือร้านค้าที่เรียงกันอย่างแน่นหนาและเรียบร้อย หน้าร้านแขวนไว้ด้วยธงผ้าสีต่างๆ ธงพลิ้วไหวตามลม สีสันตระการตา ชื่อของร้านค้าก็แสดงต่อหน้าผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างสะดุดตา
มั่วชิงเฉินเพ่งพิศซ้ายขวา ร้านค้าประเภทร้านสมบัติวิเศษ ร้านโอสถพวกนี้ข้ามไปอย่างรวดเร็ว สนใจเพียงร้านขายของจิปาถะและหน้าร้านขนาดใหญ่
เดินได้พักหนึ่ง ร้านค้าขนาดใหญ่ที่บนป้ายยี่ห้อเขียนว่า ‘หอหมื่นสมบัติ’ ปรากฏขึ้นตรงหน้า มั่วชิงเฉินหยุดเดินแล้วพิจารณาขึ้นมาทันที
“อ้าว ท่านเซียน รีบเชิญข้างในขอรับ” เห็นมั่วชิงเฉินหยุดเดินชมดู หนึ่งในสองคนงานที่แยกกันยืนอยู่สองข้างนอกร้านเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงกระตือรือร้นกลับควบคุมระดับได้พอเหมาะพอเจาะ ทำให้คนฟังแล้วสบายยิ่งนัก
เพียงอาศัยข้อนี้ มั่วชิงเฉินก็มองฝีมือในการดำเนินกิจการของ ‘หอหมื่นสมบัติ’ นี้สูงขึ้นระดับหนึ่ง ในใจอดคาดหวังไม่ได้ว่าจะหาไม้สะกดวิญญาณพบ จึงยิ้มให้ลูกจ้างคนนั้น แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไป
วันนี้นางใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม บนศีรษะนอกจากปลายเพียงเล็กน้อยของปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวสีน้ำแข็งที่โผล่พ้นออกจากผมที่เกล้าอยู่ ก็มีเพียงดอกไม้มุกสีฟ้าดอกหนึ่งอยู่ด้านบน
การแต่งตัวที่สะอาดเรียบง่ายแม้ขับจนสีผิวของนางยิ่งขาวสะอาดขึ้น กลับกดบุคลิกที่แฝงด้วยความเยาว์วัยซุกซนยามปกติลงไปหลายส่วน ดูแล้วสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
เช่นนี้แล้วหากไม่ตั้งใจพิจารณาเป็นพิเศษ ในสายตาคนอื่นกลับไม่เป็นที่สะดุดตาขึ้นมาก เพราะอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่เดินทางอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่ล้วนมีตบะระยะต้น ระยะกลางเช่นนี้
หลังจากมั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ในโถงใหญ่ที่ครึกครื้นไม่มีใครมองนาง มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่แต่งตัวเป็นสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาว่า “ท่านเซียน ท่านต้องการสินค้าประเภทใดเจ้าคะ บ่าวสามารถแนะนำให้ท่านได้”
เมืองจงอวี๋นี้แม้ถูกขนานนามว่าเมืองเสรี ตกลงในนั้นมีกฎเกณฑ์ลู่ทางอะไรบ้างมั่วชิงเฉินกลับสองตามืดมน นางไม่สะดวกพูดจุดประสงค์ออกมาโดยตรง จึงว่า “ข้าไม่มีอะไรอยากซื้อเป็นพิเศษ เพียงแค่ลองดูก่อน”
สาวใช้ฟังแล้วยิ้มว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้บ่าวก็ไม่รบกวนท่านเซียนแล้ว ท่านเซียนเชิญตามสบายเจ้าค่ะ ใช่แล้ว หากท่านเซียนไม่มีเป้าหมายเป็นพิเศษ สามารถไปดูที่โถงตะวันตกชั้นสองได้ สิ่งที่ขายที่นั่นเป็นสินค้าร้อยแปดพันเก้าที่จัดเข้าพวกไม่ได้ ไม่แน่ท่านเซียนอาจเจอของที่พึงใจก็ได้”
มั่วชิงเฉินมองสาวใช้ปราดหนึ่ง เห็นเพียงรอยยิ้มที่พอเหมาะพอเจาะของนาง แอบคิดว่าสาวใช้คนนี้จับความคิดของลูกค้าได้แม่นยำจริงๆ หลังจากพยักหน้าขอบคุณแล้วก็เดินไปชั้นสอง
ชั้นสองแบ่งเป็นตะวันออกตะวันตกสองโถง มั่วชิงเฉินตรงเข้าโถงตะวันตกไป
ด้านในโถงตะวันตกกว้างขวางมาก ชั้นวางของมากมายวางไว้อย่างกระจัดกระจายแต่ไม่ยุ่งเหยิง ชั้นวางของพวกนี้มีกลมมีเหลี่ยม มีสูงมีต่ำ สิ่งที่เหมือนกันคือนอกจากด้านที่อยู่ล่างสุด ด้านอื่นโปร่งใสหมด ในชั้นวางของแบ่งจัดประเภทของสินค้าหลากหลายอย่างไว้ คนซื้อเดินสักรอบหนึ่ง ก็สามารถเห็นหน้าตาของสินค้าและการแนะนำจนหมด
การเลือกสินค้าเช่นนี้ช่างสะดวกโดยแท้ มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า พิจารณาไปทีละชั้นๆ พบว่าสินค้าในชั้นวางของพวกนี้ร้อยแปดพันเก้าจริงๆ มีของมากมายหากนางไม่ดูการแนะนำสินค้าที่อยู่ข้างๆ จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดเลย
และมีสินค้าบางอย่าง กระทั่งทางร้านก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ ไว้ มั่วชิงเฉินดูจนงงไปหมด
ค้นหาเดินดูเช่นนี้เกือบหนึ่งชั่วยาม มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย แล้วหยุดลงที่หน้าชั้นวางของชั้นหนึ่ง
ชั้นวางของนี้ไม่ใหญ่นัก ด้านล่างกลับเป็นหยกดำ เพียงเข้าใกล้เช่นนี้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกเป็นสายกระจายออกจากด้านใน และมุมหนึ่งของชั้นวางของนี้มีถาดที่ทำจากไม้ใบหนึ่ง ด้านบนวางขอนไม้สีม่วงดำยาวครึ่งฉื่อไว้ชิ้นหนึ่ง ป้ายเล็กๆ แผ่นหนึ่งในถาดวางเขียนไว้อย่างสะดุดตาว่า ‘ไม้สะกดวิญญาณ’ และอธิบายคุณสมบัติของสิ่งนี้ไว้อย่างง่ายๆ
มั่วชิงเฉินอดดีใจจนออกนอกหน้าไม่ได้ นี่ช่างย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา หาไม้สะกดวิญญาณได้ที่นี่ก็นับว่าจัดการเรื่องในใจได้เรื่องหนึ่งแล้ว
มองไปรอบๆ มั่วชิงเฉินพบว่าแต่ละมุมของโถงใหญ่ล้วนมีสาวใช้ส่วนหนึ่งยืนอยู่ มีผู้บำเพ็ญเพียรกวักมือเรียกสาวใช้พวกนั้นเป็นระยะ สาวใช้พวกนั้นก็จะเดินอย่างมีมารยาทเข้าไปแนะนำสินค้าที่ลูกค้าสนใจให้พวกเขา
มั่วชิงเฉินรีบเลียนแบบกวักมือเรียกสาวใช้ที่อยู่ใกล้ที่สุดคนหนึ่ง จากนั้นดึงสายตากลับมามองไปที่ไม้สะกดวิญญาณใหม่
ทว่าที่ทำให้นางต้องงงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ไม่คิดเลยว่าไม้สะกดวิญญาณจะหายไปในพริบตาต่อหน้าต่อตานางทั้งเช่นนี้ เหลือไว้เพียงถาดวางอันว่างเปล่า จากนั้นป้ายเล็กๆ บนถาดวางก็ล้มดัง ‘แปะ’ ลงมา ด้านที่สลักตัวอักษรไว้คว่ำลง ด้านที่หงายขึ้นเขียนไว้ว่า ‘ขายแล้ว’ สองคำ
“หา?” มั่วชิงเฉินออกแรงขยี้ตา
ในยามนี้เองก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งว่า “ไม่ทราบท่านเซียนต้องการสิ่งใดเจ้าคะ?”
มั่วชิงเฉินไม่ทันได้สนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว นิ้วชี้ที่ถาดไม้นั่นว่า “สินค้าบนถาดวางนั่นเหตุใดจู่ๆ ก็ไม่เห็นแล้ว?”
สาวใช้เม้มปากยิ้มว่า “ท่านเซียนไม่รู้อะไร ที่เรานี่หากลูกค้าท่านใดถูกใจสิ่งใดเข้า ก็จะซัดปราณวิญญาณของตนเข้ารูเล็กๆ นี้ รอยามที่ลูกค้าไปคิดเงินที่ตู้ที่อยู่ที่ทางออก สินค้าที่เขาถูกใจก็จะหายจากตรงนี้ไปปรากฏบนตู้นั้นเจ้าค่ะ”
เช่นนี้แล้ว คนที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปเกรงว่ายังไม่ออกจากที่นี่! มั่วชิงเฉินรีบกล่าวขอบคุณสาวใช้ แล้วรีบเดินไปที่ทางออก
ทางออกตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของโถงตะวันตก ที่นั่นมีตู้ขนาดสูงครึ่งตัวคนใบหนึ่ง หลังตู้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่ท่าทางเหมือนสาวใช้ยืนอยู่สองคน หน้าตู้กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่งยืนอยู่
มั่วชิงเฉินรีบเดินเข้าไป
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นจู่ๆ ก็หันหน้ามา กวาดมั่วชิงเฉินอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง และในยามนี้เองมั่วชิงเฉินดูเหมือนชนเข้ากับกำแพงขวางกั้นที่มองไม่เห็น ถูกดีดจนถอยกลับมาก้าวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินชะงัก สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาว่า “ท่านเซียน ขอให้ท่านนั่งทางนี้สักครู่เจ้าค่ะ รอท่านเซียนข้างหน้าจากไปท่านค่อยเข้าไป” พูดพลางชี้ไปที่ที่นั่งที่อยู่ข้างๆ
มั่วชิงเฉินถึงเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน ที่แท้ในขอบเขตที่กำหนดไว้ใกล้ๆ ตู้ล้วนตั้งค่ายกลอันแยบยลไว้ เมื่อมีคนคิดเงินคนข้างหลังจะไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เช่นนี้แล้วก็เป็นการยกระดับความปลอดภัยของลูกค้าอย่างไม่ต้องสงสัย
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ข้างๆ เพียงชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นก็จากไปเงียบๆ มองไม่เห็นของที่นางซื้อว่าคือสิ่งใดโดยสิ้นเชิง
ทว่ามั่วชิงเฉินกลับมีลางสังหรณ์บางอย่าง คนที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นเดินไปที่ตู้ ที่อัศจรรย์คือกำแพงขวางกั้นที่มองไม่เห็นกลับสัมผัสไม่ได้แล้ว
“ท่านเซียนไม่มีของที่ถูกใจสามารถจากไปได้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งพูดกับมั่วชิงเฉินที่เดินเข้ามาว่า
มั่วชิงเฉินพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แล้วเดินลงบันไดไปโดยตรง
รอมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานคนนั้นเดินออกจากประตูร้านพอดี เหลือเพียงเงาหลังสีเขียว
มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมากรีบเดินตามไป แล้วเรียกเสียงกังวานว่า “สหายเต๋าโปรดรอสักครู่”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดิน แล้วหมุนตัวมา มองดูมั่วชิงเฉินที่ไล่ตามมา ด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มีเรื่องอันใด?”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าการที่ตนทำเช่นนี้เสียมารยาทมาก ทว่าไม้สะกดวิญญาณสำหรับนางแล้วสำคัญมากเหลือเกินจริงๆ จึงทนทำหน้าหนาว่า “สหายเต๋า ขอคุยด้วยสักครู่ได้หรือไม่?”
“ข้าและสหายเต๋าไม่รู้จักกัน น่าจะไม่มีสิ่งใดต้องพูด ขออภัย!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานน้ำเสียงเย็นชาพูดจบก็จะหมุนตัวจากไป
มั่วชิงเฉินร้อนใจยิ่งนัก รีบเดินเร็วๆ สองก้าวว่า “สหายเต๋า น้องรู้ว่าการทำเช่นนี้เสียมารยาทยิ่งนัก ทว่าน้องต้องการของที่เจ้าซื้อเป็นการเร่งด่วนจริงๆ หากสหายเต๋ายอมตัดใจ น้องต้องขอขอบคุณอย่างหนักแน่นอน”
พอคำพูดนี้หลุดออกไปผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานก็สีหน้าเปลี่ยนทันที สายตาที่มองมั่วชิงเฉินยิ่งเย็นชาขึ้น คำพูดดังน้ำแข็งว่า “สหายเต๋าล้อเล่นแล้ว ข้าซื้อสิ่งใดและเจ้าต้องการสิ่งใดไม่เกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย ขอให้สหายเต๋าให้เกียรติตนเองด้วย!”
พูดจบ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งเหมือนตักเตือน จากนั้นจากไปอย่างสง่างาม
มั่วชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม แล้วยิ้มอย่างขมขื่น
การกระทำในวันนี้ของตนบุ่มบ่ามไปแล้วจริงๆ ทำผิดสิ่งต้องห้ามของผู้บำเพ็ญเพียร มิน่าคนเขาถึงชักสีหน้าใส่ตน
หึๆ ดูแล้วสภาพจิตใจของตนยังบำเพ็ญเพียรไม่ถึงขั้น ปกติเห็นโอสถยาวิเศษ ดอกไม้มหัศจรรย์หญ้าประหลาดแล้วจิตใจไร้เกลียวคลื่นเพียงเพราะตนมีขวดน้ำเต้าเซียน สามารถเร่งสมุนไพรทิพย์ต่างๆ ให้โตได้เท่านั้น ทว่าเมื่อพบของที่ปรารถนา ก็สูญเสียสภาพจิตใจที่สงบ
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะตนเอง พูดถึงที่สุดแล้ว ที่ปกติตนไม่แยแสต่อของนอกกายพวกนี้ก็เป็นเพราะได้มาง่ายเกินไปเท่านั้น แต่ไม่ใช่ควบคุมความปรารถนาได้ดังใจได้อย่างแท้จริง ดูท่าหนทางแห่งการฝึกฝนจิตใจของตนยังอีกยาวไกลนัก
คิดเช่นนี้ไปพลาง มั่วชิงเฉินก็สงบใจลงมา แม้รู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่คลาดกันกับไม้สะกดวิญญาณแต่ก็ไม่คิดมากอีก หากแต่เดินดูของต่อขึ้นมา
น่าเสียดายที่เดินทั่วร้านค้าที่อาจมีไม้สะกดวิญญาณอยู่กลับหาเงาของไม้สะกดวิญญาณไม่พบอีกเลย
มาถึงสุดทางร้านค้าก็คือตลาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้างในมีแผงของขายนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญเพียรเดินกันขวักไขว่ เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดสาย มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนหลงเข้ามาในตลาดสดในพริบตา
ต่อให้เป็นเช่นนี้นางยังคงอดทนกวาดสายตามองแผงขายของส่วนใหญ่รอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว รอถึงยามที่ออกจากตลาดก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใดๆ
แม้เวลาไม่เช้าแล้ว มั่วชิงเฉินกลับไม่คิดจะค้างแรม หลังจากเดินออกจากเมืองจงอวี้โดยไม่หยุดพักก็มุดเข้าชามกระเบื้องใบใหญ่บินสู่ทิศตะวันตกต่อ
นอกจากไหมเกล็ดน้ำแข็งแล้ว บัดนี้นางมีอาวุธเวทเหินหาวสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือชามใหญ่ที่ได้มาก่อนนี้นานมากแล้ว อีกชิ้นหนึ่งคือเรือเมฆาที่ได้จากในท้องของปลาประหลาด
ว่ากันตามความเร็วแล้วเรือเมฆาต้องเร็วกว่าสักหน่อย ทว่าชามใหญ่กลับมีคุณสมบัติในการป้องกันควบคู่ด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางช่วงกลางวันมั่วชิงเฉินก็ใช้เรือเมฆา ถ้ากลางคืนละก็ก็เปลี่ยนเป็นชามใหญ่
ชามใหญ่อยู่กับมั่วชิงเฉินมาหลายปีมากแล้ว มั่วชิงเฉินควบคุมมันได้ถนัดมือขึ้นมาก ใช้พลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยขับเคลื่อน ชามใหญ่ก็บินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ไม่รู้บินมานานเท่าไร มั่วชิงเฉินที่นั่งขัดสมาธิหลับตาบำเพ็ญเพียรอยู่ในชามใหญ่รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียแล้ว
ทว่าในยามที่นางเอนตัวราบลงไปคิดจะนอนอย่างสบายสักตื่น กลับสัมผัสความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณที่รุนแรงสายหนึ่งในทันใด
มั่วชิงเฉินตาสว่างขึ้นในพริบตา ร่อนลงบนพื้นเงียบๆ เก็บชามใหญ่ขึ้น แล้วปล่อยจิตตระหนักตรวจสอบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เก็บจิตตระหนักกลับมา สีหน้านางกลับประหลาดเล็กน้อย ที่แท้ในวัดร้างไม่ห่างออกไปมีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนกำลังสู้กันอย่างดุเดือด คนหนึ่งในนั้นไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานที่ซื้อไม้สะกดวิญญาณไปคนนั้น
ไม่รู้จักกัน มั่วชิงเฉินก็ไม่ใช่คนประเภทชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ อย่างไรเสียคนอื่นสู้กันเพราะเหตุอันใด ใครถูกใครผิดตนล้วนเลือนรางไม่รู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำเป็นไม่เห็น
ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่สู้อยู่อีกคนหนึ่งกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ตั้งแต่ตระกูลมั่วถูกคนชุดแดงที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารฆ่าล้างตระกูล มั่วชิงเฉินก็ไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรมาร เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงเก็บงำกลิ่นอายของตน ตัดสินใจคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ