อาวุธเวทที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารใช้คือดาบวงพระจันทร์เล่มหนึ่ง ดาบวงพระจันทร์ส่องแสงเย็นเยือกแปลบปลาบท่ามกลางแสงจันทร์ ที่ที่วาดผ่านปราณดำพลุ่งพล่านเป็นสายๆ ส่วนในมือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวกลับเป็นกระบี่ยาวแดงสดทั้งเล่ม เปลวไฟไหลเวียนอยู่บนกระบี่ คลื่นความร้อนแผดเผา
ทั้งสองคนต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด แสงวิญญาณแดงดำสองสีปะทะพันเกี่ยวกัน ส่องวัดร้างจนสว่างดุจกลางวัน
มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ เพ่งสมาธิดู กลับดูออกว่าตามที่เวลาผ่านไปผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพียงชั่วครู่ ก็เห็นดาบวงพระจันทร์ในมือผู้บำเพ็ญเพียรมารจู่ๆ ก็บินขึ้นไปหมุนอยู่กลางอากาศ
ดาบวงพระจันทร์ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว เร็วจนไม่เห็นเงาของดาบวงพระจันทร์แล้ว ตรงกันข้ามกลับเหมือนพระจันทร์สีดำดวงหนึ่งแขวนอยู่กลางฟ้า
ตามติดมาด้วยพระจันทร์สีดำขยายขึ้นโดยพลัน ชั่วพริบตาก็เอ่อปราณดำปริมาณมากออกมาท่วมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวจนมิด
เสียงร้องอย่างอนาถดังขึ้น หลังจากปราณดำสลายไปก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวสีหน้าขาวดุจหิมะ กระบี่แดงในมือเสียบลงพื้นพยายามประคองร่างกายไว้
“หลัวชิงอวี่ เจ้าแพ้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรมารพูดอย่างเย็นชา ฟังเสียงแล้วท่าทางยังหนุ่มมาก
ที่แท้นางชื่อหลัวชิงอวี่ ดูท่าทางของทั้งสองคนดูเหมือนรู้จักกัน มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ แอบคิด
หลัวชิงอวี่ชุดเขียวกระบี่แดง ขับให้สีผิวยิ่งขาวสะอาดดุจหิมะ นางเม้มปากไว้แน่น มองผู้บำเพ็ญเพียรมารที่อยู่ตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“หลัวชิงอวี่ หากเจ้าตามข้ากลับไป เรื่องในอดีตข้าก็ให้แล้วกันไป!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารพูดอีกว่า
ครั้งนี้ในที่สุดหลัวชิงอวี่ก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว จู่ๆ นางก็ถ่มน้ำลายเบาๆ ทีหนึ่ง หัวเราะเย้ยว่า “คนแซ่จู เจ้าฝันไปเถอะ หากคิดจะให้ข้าตามเจ้ากลับไป ยกเว้นเอาศพของข้ากลับไป!”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารหรี่ตา กลิ่นอายรอบกายยิ่งเย็นเยียบขึ้นทันที ในคำพูดแฝงด้วยความโกรธที่กลั้นไม่อยู่ “หลัวชิงอวี่ อย่าลืมนะตระกูลหลัวของพวกเจ้าได้ยกเจ้าให้ข้าแล้ว เจ้าหนีไปโดยไม่รับผิดชอบเช่นนี้ ก็ไม่กลัวว่าจะนำภัยล้างตระกูลมาให้ตระกูลหลัวของพวกเจ้าหรืออย่างไร?”
เมื่อพูดออกไป ก็เห็นใบหน้าขาวดุจหิมะของหลัวชิงอวี่แดงก่ำขึ้นทันที กลับเป็นเพราะไฟโกรธ “ตระกูลหลัว? ฮ่าๆๆ ตั้งแต่หัวหน้าตระกูลหลัวยกข้าให้เจ้า นั่นก็ไม่ใช่บ้านข้าแล้ว พวกเขาจะเป็นหรือตายเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? อีกอย่าง พวกเจ้าหากคิดจะล้างตระกูลหลัวก็ล้างไปนานแล้ว ไยต้องรอถึงวันนี้ด้วย? คนแซ่จู เจ้าอย่านึกว่าใต้หล้านี้มีเจ้าฉลาดคนเดียว”
“พูดถึงที่สุด เจ้าก็ทำเพราะคนคนนั้นใช่หรือไม่ เขาตายไปแล้ว เจ้าอย่าโง่งมงายอีก!” ผู้บำเพ็ญเพียรมารไฟโกรธยิ่งโหมยิ่งแรง
หลัวชิงอวี่หัวเราะเย้ยว่า “เป็นแล้วอย่างไร? ตายแล้วอย่างไรอีก? หรือว่าเจ้านึกว่าเขาตายแล้ว ข้าก็จะหันมามองเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรมารก็ทนไม่ไหว พุ่งไปข้างหน้าจับปกเสื้อด้านหน้าของหลัวชิงอวี่ไว้ หัวเราะอย่างชั่วร้ายว่า “เป็นเช่นนั้นหรือ? วันนี้ข้าจะลองดูว่าเจ้ายังจะแสร้งทำสูงส่งอย่างไรอีก!”
พูดจบก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรมารหิ้วหลัวชิงอวี่ลอยขึ้น แล้วโยนไปบนกองฟางที่อยู่ด้านในสุดของวัดร้างอย่างไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อย
ว่ากันตามหลักแล้วในถุงเก็บวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกล้วนเก็บของใช้ประจำวันไว้ รวมทั้งพวกผ้าห่มที่นอน ไม่รู้ผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้ตั้งใจจะระบายหรือว่าชอบอะไรไม่เหมือนใคร แล้วก็ทับขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอันชั่วร้ายทั้งอย่างนี้อย่างไม่คาดคิด มือหนึ่งกดหลัวชิงอวี่ที่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตไว้อย่างแน่นหนา มือหนึ่งฉีกชุดเขียวบนตัวนางอย่างหยาบโลน
จู่ๆ มั่วชิงเฉินที่หลบที่ในที่ลับก็รู้สึกเสียใจในความอยากรู้อยากเห็นของตนแล้ว หากยามนั้นจากไปโดยตรงนางก็จะไม่รู้สึกผิด ทว่าบัดนี้จะให้นางมองสตรีคนหนึ่งถูกผู้ชายใช้กำลังต่อหน้าต่อตา นางกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้
ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ในการรับรู้ของมั่วชิงเฉิน ผู้บำเพ็ญเพียรมารแทบจะเป็นคนอำมหิตทั้งหมด ตนไม่ออกหน้าก็แล้วไป หากปรากฏตัวขึ้นขัดขวางนั่นก็จำเป็นต้องฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารคนนี้เสีย ถึงเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดตามมาได้
มั่วชิงเฉินต่อสู้ในใจเพียงชั่วครู่ กระโปรงสีเขียวของหลัวชิงอวี่ก็เหมือนผีเสื้อสีเขียวมากมายหล่นเต็มพื้นไปหมด แสงจันทร์อันเย็นชาสาดอยู่บนร่างขาวสะอาดดั่งหยกของนาง กลับทำให้รู้สึกถึงความลี้ลับอันศักดิ์สิทธิ์และหรุบรู่
แววตาของผู้บำเพ็ญเพียรมารร้อนแรงขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาไม่ย้ายออกจากสตรีตรงหน้าแม้ชั่วครู่ มือกลับขยับเร็วยิ่ง ชั่วพริบตาก็ถอดเสื้อผ้าบนตัวหมดเกลี้ยง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย
หลัวชิงอวี่ที่นอนอยู่บนพื้นตัวแข็งทื่อเหมือนคนตาก็ไม่ปานไม่ขยับเขยื้อน ความเกลียดแค้นในตากลับพุ่งทะลุฟ้า มองผู้ชายที่ค่อยๆ ก้มตัวลงมาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวว่า “จูเสี้ยวอวี่ ขอเพียงข้าหลัวชิงอวี่ไม่ตาย ต้องมีสักวันจะสับเจ้าให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ถูกเรียกว่าจูเสี้ยวอวี่หัวเราะว่า “เจ้านึกว่าจะมีวันนั้นเช่นนั้นหรือ หลังจากวันนี้เจ้าก็เป็นคนของข้า ข้าอยากทำเช่นไรก็ทำเช่นไร เจ้าทำได้เพียงทนไว้ ก็เฉกเช่นบัดนี้!” พูดถึงตรงนี้จูเสี้ยวอวี้ก็ทับตัวลงไป
ในเวลานี้เอง!
มั่วชิงเฉินในที่ลับในตาไม่มีเกลียวคลื่นสักสาย ราวกับสิ่งที่จ้องไม่ใช่ร่างกายสองร่างที่เปล่าเปลือย หากแต่เป็นอสูรปีศาจที่เคยฆ่ามาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ซัดเข็มสีเขียวเข้มในมือกำหนึ่งออกอย่างแรง จู่โจมไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารรวดเร็วดั่งดาวตก
ที่จริงเข็มสีเขียวเข้มนี้ก็เกิดจากเถาวัลย์สีเขียวเข้มในสวนสมุนไพรมั่วชิงเฉิน ละเอียดแหลมคม ที่หายากคือยามที่ซัดออกการกระเพื่อมของพลังวิญญาณต้องน้อยกว่าอาวุธเวทประเภทเข็มบินมากนัก เหมาะสมยิ่งนักในการลอบจู่โจม
ยิ่งกว่านั้นผู้บำเพ็ญเพียรมารนั่นยังจิตใจจดจ่ออยู่บนร่างสตรีตรงหน้า ภายใต้โอกาสอันยอดเยี่ยมเข็มแหลมสีเขียวเข้มหลายเล่มหายเข้าไปด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรมารอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ผู้บำเพ็ญเพียรมารร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่ง กระโดดตัวขึ้นในบัดดลแล้วล้มลงพื้นกลิ้งไปหลายตลบ พลางกลิ้งพลางอัญเชิญอาวุธเวทดาบวงพระจันทร์ออกมา
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารนี่ความตระหนักในการต่อสู้ไม่เลว กลับไม่ได้ให้โอกาสเขาอีก โยนระเบิดสะท้านฟ้าสองลูกที่เตรียมไว้นานแล้วดัง ‘สวบ’ เข้าไป
หลังเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่ง วัดร้างพังไปครึ่งหนึ่ง
รอฝุ่นควันกระจายไป มั่วชิงเฉินรีบเดินไปที่ที่หลัวชิงอวี่นอนอยู่ ยังดีด้านนี้ของวัดร้างยังนับว่าสมบูรณ์ดี บนร่างหลัวชิงอวี่หล่นเต็มไปด้วยเศษไม้เศษดิน กำลังไออย่างรุนแรงเพราะสำลัก ร่างกายกลับแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
“สหายเต๋า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” การพบกันเช่นนี้ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจริงๆ มั่วชิงเฉินแข็งใจทักทาย
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ…” หลัวชิงอวี่ไอพลางพูดว่า เมื่อเห็นหน้าของมั่วชิงเฉินแล้วชะงักในทันทีทันใด ร้องด้วยความตกใจว่า “เป็นเจ้า!”
เห็นแววตาหลัวชิงอวี่เต็มไปด้วยความระแวง มั่วชิงเฉินก็ไม่อยากหาเรื่องให้ตนเองลำบากใจ จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “น้องเอง”
“เจ้าสะกดรอยตามข้า?” หลัวชิงอวี่ถามทันทีว่า
มั่วชิงเฉินเม้มมุมปากขึ้น แล้วก้มตัวลงไป
หลัวชิงอวี่พูดเสียงร้ายกาจว่า “เจ้าจะทำอะไร บนตัวข้าไม่มีของที่เจ้าอยากได้!”
มั่วชิงเฉินจะยิ้มก็ไม่ยิ้มเหลือบมองหลัวชิงอวี่ปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้ารู้ว่าบนตัวเจ้าไม่มี”
หลัวชิงอวี่ได้ยินดังนั้นจึงหลุบสายตาลง ถึงรู้สึกตัวถึงนัยในคำพูดของมั่วชิงเฉิน ยามนี้นางเกลี้ยงเกลาจนเกลี้ยงเกลาไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว บนตัวมีของอะไรได้ถึงแปลกน่ะสิ
หลัวชิงอวี่หน้าแดงแปร๊ด ยิ่งมองสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของมั่วชิงเฉินก็ยิ่งอารมณ์เสีย ถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน เสียดายที่ขยับเขยื้อนไม่ได้
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมาจับไปที่ข้อมือหลัวชิงอวี่ หลัวชิงอวี่หน้าถอดสี หลุดปากออกมาว่า “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน จากนั้นพูดอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่า “ข้าไม่คิดจะทำอะไรจริงๆ และก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน สหายเต๋า หากเจ้าคิดจะอยู่แบบขยับเขยื้อนไม่ได้เช่นนี้ เช่นนั้นน้องก็ขอตัวก่อนแล้ว” พูดพลางยืดตัวตรงขึ้นมาก้าวเท้าเดินไป
หลัวชิงอวี่กัดริมฝีปากไว้แน่น นางรู้ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อคนที่เพิ่งช่วยตนไว้เกินไปสักหน่อยแล้ว
ทว่าหญิงสาวคนนี้จู่ๆ ก็ออกมาขวางทางไปของตนในเมืองจงอวี๋ คิดจะซื้อของของตน บัดนี้มาปรากฏตัวในวัดร้างนี้ช่วยตนไว้อย่างทันท่วงทีอีก จะบอกว่าบังเอิญ นางยากจะเชื่อจริงๆ
หากบอกว่านางมีจุดประสงค์…เช่นนั้นต้องเป็นของที่ตนซื้อที่หอหมื่นสมบัติเป็นแน่!
นึกถึงตรงนี้หลัวชิงอวี่สีหน้าเย็นชาลง ไม้สะกดวิญญาณชิ้นนั้นกว่าตนจะหาเจอไม่ใช่ง่ายๆ เพื่อซื้อมันไว้แทบจะใช้ของทั้งหมดที่มีอยู่ นางไม่มีทางมอบออกไปเด็ดขาด
ได้ยินข้างหลังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวหันหน้าไป กลับเห็นหลัวชิงอวี่นอนอยู่บนกองฟางอย่างโดดเดี่ยว บนร่างไม่มีสิ่งปกปิดใดๆ มีเศษไม้เศษดินเต็มไปหมด ตาจ้องข้างหน้าไม่กะพริบ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
สุดท้ายมั่วชิงเฉินก็เกิดเวทนาขึ้นมา ส่ายศีรษะแล้ววกกลับไป แล้วยื่นมือจับข้อมือนางไว้ท่ามกลางสายตาระแวงของหลัวชิงอวี่ ส่งพลังวิญญาณเข้าไป
ที่แท้ชีพจรของหลัวชิงอวี่ถูกปราณมารหยุดไว้ ชีพจรติดขัดพลังวิญญาณไม่หมุน ถึงขยับเขยื้อนไม่ได้
ได้ความช่วยเหลืองจากพลังภายนอกที่มาจากมั่วชิงเฉิน ปราณมารที่วนเวียนอยู่ที่ชีพจรของหลัวชิงอวี่ในที่สุดก็ถูกพลังวิญญาณกลืนกิน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลัวชิงอวี่รีบกระโดดขึ้นมาทันที สายตาสอดส่องไปทั่วเห็นถุงเก็บวัตถุที่อยู่ข้างเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นแล้วตาเป็นประกาย กวักมือทีหนึ่งหยิบถุงเก็บวัตถุไว้ในมือ จากนั้นหยิบชุดกระโปรงสีเขียวออกมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินไม่แยแส เดินตรงไปด้านที่พังครืนลงของวัดร้าง
สายตาหลัวชิงอวี่จ้องมั่วชิงเฉินไม่กะพริบ ไม่รู้นางจะทำอะไร มีใจอยากจากไปเสียดายที่พลังวิญญาณในกายไม่พอ เดินทางเช่นนี้มีแต่อันตรายรอบด้าน ทว่าจะอยู่ต่อละก็ก็ไม่กล้านั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ กลัวมั่วชิงเฉินฉวยโอกาสชิงไม้สะกดวิญญาณ
ชั่วเวลาหนึ่งหลัวชิงอวี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา ได้เพียงมองมั่วชิงเฉินอย่างงงงัน
“เจ้า เจ้าทำอะไรอยู่?” ดูอย่างครึ่งค่อนวัน ในที่สุดหลัวชิงอวี่ก็ทนไม่ไหวถามขึ้นว่า
มั่วชิงเฉินร่ายคาถาพายุหมุนขนเศษไม้ดินกรวดบางส่วนไป หน้าก็ไม่หันกลับว่า “คุ้ยศพออกมา”
“ศพ?” หลัวชิงอวี่ได้สติขึ้นมา ใบหน้าฉายแววหายแค้น
“ใช่น่ะสิ ขุดมันออกมา” มั่วชิงเฉินตอบ
หลัวชิงอวี่สีหน้าเย็นชาลง “เอาศพของจอมมารนั่นออกมาทำอะไร? หรือว่ายังจะขุดหลุมฝังขึ้นมาหรืออย่างไร?”
มั่วชิงเฉินก็เข้าใจจิตใจของหลัวชิงอวี่ ไม่ว่าหญิงคนไหนเกือบถูกผู้ชายทำให้มีมลทิน ก็แทบอยากให้เขาตายไร้ที่ฝังศพทั้งนั้น
“สหายเต๋า คนคนนี้แม้สมควรตายกลับไม่มีความแค้นกับน้อง น้องฆ่าเขาแล้วแม้ไม่รู้สึกผิด กลับก็ไม่อยากปล่อยให้เขาต้องถูกทิ้งศพไว้ที่นี่ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายคนหนึ่ง” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
“จอมปลอม!” หลัวชิงอวี่หลุดปากออกมา จากนั้นนึกได้ว่าอย่างไรเสียมั่วชิงเฉินก็ต้องฆ่าคนเพราะช่วยตน จึงอดเจี๋ยมเจี้ยมไม่ได้แล้วไม่พูดอะไรอีก
มั่วชิงเฉินหน้าก็ไม่หันกลับไป เพียงแต่ยิ้มนิ่งเรียบ ไม่แน่การกระทำของตนในสายตาคนอื่นก็คงจะจอมปลอมจริงๆ กระมัง
ทว่ายามที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารช่วยหลัวชิงอวี่ในใจตนไม่รู้สึกผิด บัดนี้คิดจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ลงดินสู่สุคติ ในใจก็สงบสุขเช่นกัน นี่ก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายศพก็ถูกคุ้ยออกมา ดูแล้วน่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้ มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้ดูมาก ขุดหลุมขึ้นตรงนั้นแล้วฝังกลบศพลงไป ถึงปัดๆ เสื้อผ้าบนตัวแล้วหมุนตัวไป
“สหายเต๋า น้องก็ขอตัวก่อนแล้วนะ” เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดจากสตรีคนนี้อยู่แล้ว ดูออกว่านางระแวงไปเสียทุกที่ ย่อมขี้เกียจอยู่ต่อให้ตนเองต้องลำบากใจ
เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญชามกระเบื้องใบใหญ่ออกมาแล้วกระโดดเข้าไป พริบตาเดียวก็บินออกไปไกล สีหน้าของหลัวชิงอวี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอ่านความรู้สึกไม่ออก แล้วลูบที่เอวอย่างไม่รู้ตัว