พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 233 คืนมืดหมอกหนา

“ผีอาละวาด?” มั่วชิงเฉินตกตะลึง

 

 

เจ้าของร้านรีบวางนิ้วมือไว้ที่ริมฝีปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “ชู่ว์ แม่นางเสียงเบาหน่อย เคยมีคนชอบโพนทะนาวิจารณ์เรื่องนี้ขึ้นมาเสียงดัง ใครจะรู้ว่าวันที่สองก็ตายกะทันหันเสียแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินทำสีหน้าหวาดกลัวอีกทั้งอยากรู้อยากเห็นออกมาว่า “ผีจวนหลัวนั่นอาละวาดเช่นไรล่ะ?”

 

 

“ได้ยินว่ามีพ่อลูกคู่หนึ่งกลับบ้านกลางดึกผ่านที่นั่น เห็นเงาผีชุดขาวตัวหนึ่งลอยไปลอยมา ยังได้ยินเสียงร้องไห้ด้วย ยามนั้นบิดาที่มีอายุแล้วก็ตกใจจนทรุดแล้ว เมื่อบุตรชายอาศัยที่ยังหนุ่มใจกล้าจึงเขยิบขึ้นหน้าไป สุดท้ายบิดานั่นก็เห็นศีรษะของบุตรชายหลุดออกอย่างประหลาดกับตา ศีรษะกลิ้งตลอดทางบนพื้นมาถึงหน้าเขา เรื่องนี้น่ะ จริงแท้แน่นอน พ่อลูกคู่นั้นยังเคยมาดื่มน้ำชาที่ข้านี่มาก่อนนะ” เจ้าของร้านถอนใจพลางส่ายศีรษะ

 

 

มั่วชิงเฉินทำสีหน้ากลัวไม่หายว่า “ขอบคุณท่านลุงที่เตือนสติ เมื่อเป็นเช่นนี้ จวนหลัวนี่ข้าไม่กล้าไปแล้วแน่ๆ ท่านลุง นี่เป็นค่าน้ำชาของท่าน” พูดพลางวางเงินไม่กี่อีแปะไว้บนโต๊ะ

 

 

เจ้าของร้านมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าสงสารว่า “เช่นนั้นแม่นางเจ้าจะไปไหนล่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ข้าพอทำงานเย็บปักถักร้อยเป็นบ้าง จะไปลองดูที่หอเย็บปักว่ารับคนหรือไม่”

 

 

มั่วชิงเฉินพูดพลางลุกขึ้นยืน หันหลังจะจากไป

 

 

เจ้าของร้านกลับหยิบเงินไม่กี่อีแปะนั้นขึ้นมายัดกลับเข้ามือมั่วชิงเฉินว่า “แม่นาง น้ำชาวันนี้ก็ถือเสียว่าลุงเลี้ยงเจ้านะ”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินจะปฏิเสธจึงเอ่ยอีกว่า “รอแม่นางตั้งรกรากในเมืองแล้ว มาอุดหนุนการค้าของตาเฒ่าอย่างข้าบ่อยๆ ก็พอแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าคนซื่อสัตย์ใจดีในโลกฆราวาสอย่างไรเสียก็มากกว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาก เห็นเจ้าของร้านสีหน้าจริงใจจึงไม่ปฏิเสธอีก เอ่ยขอบคุณแล้วหันหลังจากไป

 

 

เจ้าของร้านมองเงาหลังที่ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปของมั่วชิงเฉิน แล้วถอนใจพลางส่ายศีรษะ “ทั้งรู้วิถีการชงชา ทั้งทำงานเย็บปักถักร้อยเป็น ช่างเป็นแม่นางที่ดีจริงๆ เพียงแต่เสียดายดวงด้อยไปหน่อย…”

 

 

มั่วชิงเฉินหาที่พักแรมตามมีตามเกิดที่หนึ่ง ตัดสินใจหลังจากฟ้ามืดแล้วเข้าสืบจวนหลัว

 

 

เวลาหลับตาบำเพ็ญเพียรมักผ่านไปเร็วเหมือนบินได้ เพียงโคจรหนึ่งรอบพระอาทิตย์ใหญ่มั่วชิงเฉินก็พบว่าฟ้ามืดมากแล้ว นางลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายทีหนึ่ง ตรวจสอบของที่เกรงว่าจะได้ใช้คืนนี้ทีหนึ่ง แล้วเปลี่ยนชุดคล่องตัวสีดำมุ่งหน้าไปจวนมั่ว

 

 

มองดูป้ายจวนมั่วที่เปลี่ยนเป็นจวนหลัวแล้ว มั่วชิงเฉินกดความไม่สบอารมณ์ในใจลงไปแล้วเดินไปที่ประตูข้างเงียบๆ

 

 

ในเมื่อตระกูลหลัวนี้อาศัยอยู่ในเมืองลั่วหยาง เป็นไปไม่ได้ที่คนมากมายทั้งตระกูลจะมีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรเซียน คิดว่าสภาพคงไม่ต่างจากตระกูลมั่วในปีนั้นสักเท่าไร เรื่องในชีวิตประจำวันทั่วไปในจวนล้วนปล่อยให้คนธรรมดาจัดการ เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน

 

 

หวาน เสียงกรนแม้เข้าในหูมั่วชิงเฉินเบาๆ กลับเหมือนฟ้าผ่า

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าจวนจากประตูข้างอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง พบว่าในจวนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร ต้นไม้ใบหน้าในนั้น ศาลาตึกหอ ล้วนทับซ้อนกับในความทรงจำ

 

 

มั่วชิงเฉินอดขมวดคิ้วไม่ได้ หากจะบอกว่าเพราะแหล่งปราณวิญญาณที่อยู่ในจวนสายนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาอยู่อาศัยนั้นไม่แปลก ทว่าก็ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ถือว่าที่นี่เป็นบ้านวิญญาณแค้นเหมือนคนธรรมดา หากคิดจะอาศัยอยู่ต่ออย่างยาวนานละก็อย่างไรก็ไม่น่ารักษารูปลักษณ์เดิมไว้ทั้งเช่นนี้ ว่ากันตามปกติแล้วล้วนต้องตกแต่งใหม่ตามความชอบของตน

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนอธิบายถึงปัญหาข้อหนึ่ง…คนของจวนหลัวไม่เห็นที่นี่เป็นแหล่งพำนักอย่างแท้จริง!

 

 

ทว่าพวกเขาดันพำนักอยู่ที่นี่มาเกือบสามสิบปีแล้ว ตกลงในนี้มีสิ่งใดแอบแฝงกันแน่?

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าบ้านของตนในวัยเด็กบัดนี้ปกคลุมไปด้วยตาข่ายแห่งความสงสัยเป็นชั้นๆ ทำให้นางจับต้นชนปลายไม่ถูก

 

 

มั่วชิงเฉินที่คุ้นเคยที่ทางมากเดินผ่านลานบ้านด้านนอกอย่างรวดเร็ว เดินหน้าอีกก็น่าจะเป็นที่พำนักของผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหลัวแล้ว

 

 

มองดูประตูจันทราตรงหน้า มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้า

 

 

นางสัมผัสถึงคลื่นพลังวิญญาณได้รางๆ แล้ว ประตูจันทรานี้ต้องตั้งค่ายกลเพื่อขัดขวางคนนอกเข้าข้างในไว้แน่ เกรงว่านางเพิ่งก้าวเข้าไป ผู้บำเพ็ญเพียรในจวนก็รู้แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินแม้แปลกใจในตระกูลหลัวมาก ยิ่งอยากสืบความจริงในปีนั้นให้แน่ชัด กลับรู้ว่าด้วยตบะในยามนี้ของตนแล้วเป็นความเพ้อฝันล้วนๆ บัดนี้สามารถเอาดินในบ้านเกิดสามเฉียนได้อย่างราบรื่นก็โชคดีหนักหนาแล้ว

 

 

ไม่กล้าใช้อาวุธเวทเหินหาว มั่วชิงเฉินมองดูรอบๆ แล้วปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้อาวุธเวทและคาถาใดๆ เพียงแต่เหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง สองมือจับเชือกไว้แล้วลื่นข้ามไปอย่างเบาโหวง

 

 

ในบรรดาสหายสนิทหลายคนของมั่วชิงเฉินมั่วหลีลั่วเชี่ยวชาญค่ายกลยิ่งนัก ยามที่พวกนางแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการบำเพ็ญเพียรบางทีก็จะได้ฟังนางพูดเกี่ยวกับจุดเด่นของค่ายกลแต่ละชนิด

 

 

จำได้ว่ามั่วหลีลั่วเคยพูดไว้ ค่ายกลป้องกันปกติที่ตั้งไว้บนพื้นสามารถขัดขวางการรุกล้ำของสิ่งมีชีวิต ส่วนค่ายกลส่วนใหญ่ที่เกิดผลต่อขอบเขตที่แน่นอนบนฟ้ากลับมีเพียงยามที่สิ่งมีชีวิตที่มีคลื่นพลังวิญญาณเข้ามาเขตอาคมถึงถูกกระตุ้น ยกตัวอย่างเช่นผู้บำเพ็ญเพียรหรืออสูรวิญญาณ ส่วนสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่น้อย เช่นประเภทปักษาก็ไม่มีปฏิกิริยาแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินพนันได้ถูกต้องตามคาด นางใช้ความช่วยเหลือจากเชือกลื่นจากต้นไม้สูงต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง ซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้หลายครั้งก็เข้าลานบ้านด้านใน แล้วกระโดดลงจากต้นไม้เงียบๆ

 

 

มองดูลานบ้านด้านในที่คุ้นเคย มั่วชิงเฉินยิ้มระทมทีหนึ่ง เกรงว่าคงมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่กี่คนที่จะใช้วิธีโง่ๆ เช่นนี้เข้ามา ทว่าบางเวลา วิธีที่โง่ที่สุดกลับเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

 

 

ไม่ลังเลใดๆ มั่วชิงเฉินเดินมุ่งไปสวนหย่างอี๋ที่พำนักของท่านปู่ในปีนั้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง

 

 

นายจำเป็นต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ต้องรู้ว่ายามนี้แม้นางไม่ได้แตะถูกเขตอาคม กลับเป็นไปได้มากว่าได้เข้ามาในค่ายกลของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นแล้ว หากถูกพบเมื่อไรนั่นก็ยิ่งเสียเปรียบแล้ว

 

 

ไม่ได้ร่ายคาถาเหยียบลม อีกทั้งยังต้องอ้อมลานบ้านที่เห็นชัดว่ามีคนอาศัยอยู่พวกนั้นอีก มั่วชิงเฉินเดินอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงมาถึงสวนหย่างอี๋

 

 

มองประตูลานบ้านของสวนหย่างอี๋พลาง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหัวตาชื้นเล็กน้อย กลับไม่มีเวลาให้เสียใจ แอบย่องข้าไปอย่างระวัง

 

 

โชคดีที่สวนหย่างอี๋เล็กและเรียบง่าย ปราณวิญญาณก็ทั่วไป ที่นี่ไม่มีคนเข้าอาศัย ก็ประหยัดความยุ่งยากให้นางไม่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ ลานบ้าน หินเขียวบนพื้นยังเหมือนเดิม ผลท้อสีชมพูบนต้นท้อเฒ่าข้างกำแพงถ่วงกิ่งท้อจนงอ เก้าอี้โยกสองตัวใต้ต้นไม้ตั้งอยู่ตรงนั้น ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดิน

 

 

ทว่าในสายตามั่วชิงเฉินเก้าอี้โยกใหญ่ตัวเล็กตัวนั้นวันเวลากลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ราวกับอีกสักครู่ ก็จะมีตาเฒ่าน่ารักที่หน้าตาอิ่มเอิบเสียงหัวเราะกังวานคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้หญิงชุดขาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งขึ้นไป หนึ่งเฒ่าหนึ่งเด็กจิบสุราขึ้นอย่างดีใจ

 

 

มั่วชิงเฉินลูบแก้มดู เมื่อแตะถูกมือแล้วรู้สึกเย็น ที่แท้ในระหว่างที่ไม่ทันรู้ตัวน้ำตาได้นองหน้านานแล้ว

 

 

นางออกแรงกัดริมฝีปาก ถึงหักห้ามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ ค่อยๆ เดินไปข้างต้นท้อก้มตัวหยิบดินกำหนึ่งเก็บเข้าในขวดที่เตรียมไว้แล้ว มองสวนหย่างอี๋ปราดหนึ่งด้วยความอาลัยอาวรณ์แล้วเดินออกไป

 

 

ออกจากสวนหย่างอี๋เดินไม่นานก็คือสวนดอกไม้ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง นี่คือสถานที่ที่มั่วชิงเฉินแอบฝึกพลังสายตาในปีนั้น

 

 

กังวลยิ่งยืดเยื้อปัญหายิ่งมาก มั่วชิงเฉินไม่แวะหยุดไม่ว่าที่ใดๆ เดินหน้าต่อ ทว่าในเวลานี้เองกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรใกล้เข้ามาทางนี้ ยิ่งกว่านี้กลิ่นอายนี้แบ่งเป็นสองชนิด หนึ่งในนั้นแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ! มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบหลบไปใต้ชั้นวางดอกไม้อันหนึ่ง หยิบยันต์ซ่อนวิญญาณออกมาแผ่นหนึ่งตบลงบนตัว

 

 

ยันต์ที่สามารถซ่อนตัวได้มีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือยันต์ล่องหนธรรมดา อีกชนิดหนึ่งคือยันต์ซ่อนวิญญาณ

 

 

ยันต์ล่องหนสามารถซ่อนร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรได้ ทว่ากลับไม่อาจปิดบังคลื่นพลังวิญญาณต่อผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าตนเองหนึ่งเขตแดนใหญ่ได้ ส่วนยันต์ซ่อนวิญญาณไม่เพียงสามารถซ่อนร่างกายได้ ยังสามารถซ่อนคลื่นพลังวิญญาณของตน ต่อให้ผู้ใช้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ ก็สามารถปิดบังการตรวจสอบของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้

 

 

ยันต์ซ่อนวิญญาณนี้มั่วชิงเฉินแลกมาด้วยโอสถรวมจิตสองขวดที่ตลาดในสำนักเหยากวง ยามนั้นในมือศิษย์ร่วมสำนักคนนั้นก็มีเพียงใบเดียวเท่านั้น คิดว่าคงเพราะโอกาสวาสนานำพา จึงตัดใจแลกโอสถที่จำเป็นยิ่งกว่า

 

 

โชคดีที่เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในบ้านตนไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ดีๆ ก็กวาดจิตตระหนักไปทั่ว ก่อนมั่วชิงเฉินจะซ่อนตัวก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนนั้น

 

 

เพียงครู่เดียว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนเดินมาถึงในสวนดอกไม้นี้จริงๆ ชายชุดดำคนหนึ่งในนั้นก็คือคนหนุ่มขี้โรคที่นางเห็นที่หน้าประตูยามกลางวัน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าที่ดูท่าทางเหมือนอายุห้าสิบกว่าปีกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ

 

 

“อวี้เฉิง ช่วงนี้มีเบาะแสอันใดหรือไม่?” เสียงที่ยากจะปิดบังความเหนื่อยล้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเข้าหูมั่วชิงเฉิน ฟังจนนางสะดุ้งเฮือก หรือว่าคืนนี้ตนยังสามารถได้ยินความลับอะไรได้ด้วย?

 

 

เงียบไปอึดใจหนึ่ง เสียงของชายชุดดำดังขึ้น “อวี้เฉิงตรวจสอบหลายด้าน ร่องรอยไม่น้อยแสดงให้เห็นว่ากุญแจลับอาจมาจากเมืองลั่วหยาง”

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงถอนใจของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณถึงลอยมาว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นวาสนาของตระกูลหลัวเราแล้ว เพียงแต่เจ้าก็ไม่ควรประมาท อย่าลืมว่านอกจากเมืองลั่วหยางยังมีอีกหลายที่ที่เป็นไปได้มาก หากถึงเวลากุญแจลับปรากฏขึ้นที่อื่นหลายสิบปีของเราก็เสียเปล่าหมด อีกอย่าง ต่อให้มาจากเมืองลั่วหยาง อย่าลืมล่ะว่าเมืองลั่วหยางยังมีตระกูลฮวา เบื้องหลังตระกูลฮวาคือใครพวกเรารู้อยู่แก่ใจ พวกเขาไม่ได้จูงจมูกได้เหมือนตระกูลเฉิน โอวหยางสองตระกูลหรอกนะ”

 

 

ชายชุดดำก้มหน้าแผ่วเบา “ท่านเทียดวางใจได้ ตระกูลเฉินแม้ยังอยู่ระหว่างลังเล ตระกูลโอวหยางกลับมีเจตนาสวามิภักดิ์แล้ว อีกอย่าง ถึงเวลานั้นจริงประโยชน์ของตระกูลเล็กๆ เช่นนี้ก็มีไว้เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเกินไป หากกุญแจลับปรากฏขึ้นที่อื่น ตระกูลหลัวเราสามสิบปีมานี้ถึงไม่มีผลงานก็ออกแรงมาไม่น้อย อวี้เฉิงคิดว่า ทางนั้นคงไม่ถึงกับแล้งน้ำใจเกินไป”

 

 

ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพยักหน้า “อวี้เฉิงเจ้าพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไรเกรงว่าวันที่กุญแจลับนั่นจะปรากฏขึ้นคงอยู่เร็วๆ นี้แล้ว ถึงเวลาพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่ปราณวิญญาณขาดแคลนนี่แล้ว” พูดถึงตรงนี้ยิ้มเยาะออกมาว่า “เสียทีที่สำนักลั่วสยานั่นหลงคิดว่าตนฉลาด ยื่นมือไปถึงทางแดนไท่ไป๋นั่น กลับไม่รู้ว่าสถานที่ที่กุญแจลับน่าจะปรากฏขึ้นที่สุดก็อยู่ใต้ตาพวกเขานี่เอง”

 

 

ชายชุดดำหัวเราะขึ้นเช่นกัน “ที่ยิ่งน่าสนุกคืออวี้เฉิงได้ยินมาว่าทางด้านสำนักลั่วสยาจนบัดนี้ยังปิดเรื่องกุญแจลับไว้อย่างมิดชิด กลัวสามสำนักแปดนิกายที่เหลือรู้เข้าแล้วจะมาขอมีเอี่ยว”

 

 

“ฮึ นี่เรียกว่าคนฉลาดกลับต้องพลาดเพราะความฉลาด เอาล่ะ อวี้เฉิง ดึกมากแล้ว ข้ากลับก่อนแล้ว” ผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณพูดจบก็ตบไหล่ชายชุดดำ แล้วลอยพลิ้วไป

 

 

มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ใต้ชั้นวางดอกไม้ฟังจนงงไปหมด กลับรู้สึกรางๆ ว่าเรื่องที่ตนได้ยินเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางมองชายชุดดำนั่น หวังเพียงให้เขารีบจากไปโดยเร็ว

 

 

น่าเสียดายเรื่องขัดกับเจตนา ชายชุดดำนั่นไขว้มือไว้ข้างหลังแหงนหน้ามองจันทราอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หยิบกระบี่ยาวแลบแสงเย็นวังเวงออกมาเล่มนั้น จากนั้นนิ้วดีดกระบี่ส่งเสียงกังวานออกมาเสียงหนึ่ง แล้วเริ่มรำกระบี่ขี้นมา

 

 

กระบี่ยาวร่ายรำ มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าสภาพรอบตัวเย็นลง จันทร์เย็นลมหนาว ต้นไม้ใบหญ้าเศร้าโศก จู่ๆ เสียงร้องไห้เบาๆ เสียงหนึ่งลอยมา ตามติดมาด้วยหญิงชุดขาวสะบัดพลิ้วปรากฏขึ้นกลางอากาศ

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset