ไม่สามารถดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้ อีกทั้งเปิดถุงเก็บวัตถุหยิบหินวิญญาณและโอสถออกมาไม่ได้ พลังวิญญาณในกายมั่วชิงเฉินไม่ได้รับการเติมอยู่ที่ริมขอบแห่งการแห้งเหือดตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ขาดการหล่อเลี้ยงของปราณวิญญาณอาการบาดเจ็บก็ไม่เห็นดีขึ้นเสียที
ชายชุดดำก็ไม่ดีไปถึงไหนเช่นกัน ระเบิดสะท้านฟ้าที่มั่วชิงเฉินโยนออกไปครั้งสุดท้ายมีสิบกว่าลูกเต็มๆ อานุภาพมหาศาลทำให้อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างหนักเช่นกัน
เดือนแรก ทั้งสองคนไม่ว่าใครก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ นั่งจ้องตากัน
เดือนที่สอง มั่วชิงเฉินที่ยังคงขยับเขยื้อนไม่ได้ภายใต้สถานการณ์ที่ว่างจนจะเป็นบ้า ด้วยความบังเอิญใช้จิตตระหนักแตะก้อนหินเล็กๆ กลมกลึงก้อนหนึ่งที่ตกอยู่ข้างกาย ไม่คิดเลยจะพบว่าก้อนหินเล็กๆ นั่นส่ายแผ่วเบาทีหนึ่ง
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หาที่ยึดเหนี่ยวเจอ ใช้จิตตระหนักแตะก้อนหินเล็กทั้งวัน แรกสุดก้อนหินเล็กเพียงแค่ส่ายเบาๆ ต่อมาถูกจิตตระหนักผลักจนกลิ้งขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
หลังจากนั้นอีกสองเดือน มั่วชิงเฉินสามารถใช้จิตตระหนักผลักก้อนหินขนาดเท่าเหอเถา[1]ได้แล้ว
สัมผัสได้ถึงสายตาระแวงของชายชุดดำ มั่วชิงเฉินยิ้มเบาๆ ตั้งแต่ที่นางเริ่มใช้วิธีเช่นนี้ฝึกฝนจิตตระหนัก คนคนนั้นก็เลียนแบบขึ้นมา ทว่าจนถึงบัดนี้จิตตระหนักของเขายังคงทำได้เพียงผลักก้อนหินขนาดเท่าเม็ดข้าวเท่านั้น เทียบกับตนแล้วต้องด้อยกว่ามาก
มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว ไม่รู้ว่าจะยกความดีความชอบของความแตกต่างนี้แก่จิตตระหนักที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิดของตน หรือเพราะเคยถูกแส้เทพเฆี่ยนตีมาก่อน หรืออาจเพราะทั้งสองก็มิอาจรู้ได้
มั่วชิงเฉินสามารถเข้าใจแววตาระแวงของชายชุดดำได้ ต้องรู้ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว ดวงจิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและก็อ่อนแอที่สุดเช่นกัน เมื่อใดที่ดวงจิตถูกจู่โจม ผลลัพธ์นั้นจะร้ายแรงมาก
และภายใต้สถานการณ์ทั่วไป นอกจากสมบัติวิเศษที่ใช้จู่โจมดวงจิตโดยเฉพาะที่หายากแล้ว ก็มีเพียงจิตตระหนักของคู่ต่อสู้หลังจากผ่านการฝึกวิชายุทธ์พิเศษที่สามารถสร้างความเสียหายให้ดวงจิตได้
ทว่าวิชายุทธ์สำหรับฝึกฝนจิตตระหนักโดยเฉพาะไม่เพียงหาได้ยาก อีกทั้งยังเรียกร้องผู้ฝึกฝนไว้สูงมาก ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่หากฝึกฝนอย่างทะเล่อทะล่าละก็ต้องพบจุดจบดวงจิตพลังทลายทั้งนั้น พูดได้ว่าวิชายุทธ์ที่ฝึกฝนจิตตระหนักเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่พูดถึงแล้วต้องหน้าถอดสี
ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไป จิตตระหนักของผู้บำเพ็ญเพียรนอกจากใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นที่รู้กันดีแล้ว ก็ทำได้เพียงผลักก้อนกลมแนบวิญญาณที่มีจิตตระหนักแนบอยู่โดยเฉพาะ จิตตระหนักในยามนี้ของมั่วชิงเฉินสามารถผลักก้อนหินขนาดเท่าเหอเถาได้ แสดงว่าจิตตระหนักของนางสามารถมีผลต่อของที่จับต้องได้แล้ว และจิตตระหนักที่มีผลต่อของที่จับต้องได้ก็สามารถสร้างความเสียหายให้ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรอื่นๆ ได้เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะไม่หวาดหวั่นได้เช่นไรกัน!
เวลาผ่านไปอีกสองเดือน ทั้งสองคนอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว อาการบาดเจ็บของแต่ละคนในที่สุดก็ดีขึ้นอย่างช้าๆ กลับมาเคลื่อนไหวได้แล้ว
ต่างพิจารณาซึ่งกันและกันอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง ชายชุดดำเปิดปากว่า “ไปหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินประสานสายตากับเขา เม้มริมฝีปากว่า “ไป”
คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าสองคนเป็นสหายที่ผจญภัยด้วยกัน กลับไม่รู้ว่าในขณะที่ทั้งสองคนกลับมาเคลื่อนไหวได้ ความคิดแรกที่วาบผ่านในใจต่างคือการฆ่าอีกฝ่าย
โดยเฉพาะชายชุดดำ กลิ่นอายเข่นฆ่าในตาแทบจะปิดไม่มิด จนถึงยามที่พูดถึงฝืนกดลงไป
ในแดนไร้วิญญาณนี้มั่วชิงเฉินกลับไม่กลัวอีกฝ่าย ต้องรู้ว่าบัดนี้ทั้งสองคนต่างไม่อาจใช้ฤทธิ์เดชคาถาได้ อาศัยเพียงหมัดมวยแข้งขาละก็ ก็อาศัยร่างกายที่อ่อนแอลมพัดทีแทบปลิวของอีกฝ่ายนางยังไม่เห็นในสายตาจริงๆ
อีกฝ่ายไม่มาตอแยก็ช่างเถอะ หากคิดจะลงมือนางไม่ใส่ใจที่จะให้คุณชายคนนี้ลองลิ้มลองรสชาติการถูกอัดหรอกนะ! มั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้ แล้วคาดหวังขึ้นมารางๆ อย่างไม่คาดคิด
สถานที่ที่ทั้งสองคนอยู่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ใต้เท้าคือโคลนที่นิ่มแฉะ พอเดินขึ้นมารองเท้าก็ติดโคลนเต็มไปหมด ยิ่งเดินยิ่งหนัก
และเงยหน้ามองไป กลับพบว่ารอบด้านล้วนเป็นกำแพงสูงที่คล้ายดินแต่ไม่ใช่ดินคล้ายหินแต่ไม่ใช่หิน มองขึ้นไปอีกก็เห็นไม่ชัดแล้ว มืดไปหมด
ไม่มีพลังวิญญาณ สภาพร่างกายของทั้งสองคนแม้ดีกว่าคนธรรมดามาก ทว่าเดินอยู่บนถนนเช่นนี้ยังคงทนไม่ไหว ไม่ถึงสามชั่วยามมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าขาหนักแล้ว
ส่วนชายชุดดำดูเหมือนยิ่งอนาถกว่าสักหน่อย สามารถได้ยินเสียงหายใจที่หนักหน่วงได้อย่างชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ในใจมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็สบายใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นยิ่งเดินยิ่งเร็ว สะบัดโคลนจนกระเด็นไปทั่ว
‘แปะ’ เสียงหนึ่ง โคลนก้อนหนึ่งแปะอยู่บนขากางเกงของชายชุดดำ ร่างกายเขาเซทันที แล้วอดถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างดุดันไม่ได้
มั่วชิงเฉินทำเป็นไม่รู้เรื่อง เดินของตนไป
ชายชุดดำกระตุกมุมปาก หญิงผู้นี้ตกลงเป็นใครกันแน่ กลายมาไม่ต่างจากคนธรรมดาเหมือนตนชัดๆ เหตุใดเดินมานานเพียงนี้แล้วยังกระปรี้กระเปร่าปานนี้?
ชายชุดดำรู้สึกเพียงว่าขายิ่งเดินยิ่งหนัก ค่อยๆ ยกไม่ค่อยขึ้นแล้ว ทว่าเห็นมั่วชิงเฉินท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกลับแอบกัดฟัน จะให้เขาบอกสตรีคนหนึ่งให้หยุดพักสักครู่ ช่างอ้าปากพูดไม่ออกจริงๆ!
มั่วชิงเฉินแอบกระดกมุมปาก เจ้าเป็ดตายปากแข็ง สมน้ำหน้าเหนื่อยให้เจ้าตายไปเลย!
เดินไปอีกเกือบสองชั่วยาม เสียงหอบหายใจของชายชุดดำในสถานที่เงียบสงัดเช่นนี้ดังเหมือนฟ้าผ่าแล้ว สีหน้าซีดเผือดแต่ฝืนประคองตนเองไว้
มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว พอดีเห็นที่ที่ผ่านมามีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จึงหยุดเดินนั่งลงไปเต็มก้น
“เป็นอันใด?” ชายชุดดำหยุดกึก
มั่วชิงเฉินเหลือบมองชายชุดดำปราดหนึ่งว่า “พักผ่อนน่ะสิ ข้าเหนื่อยแล้ว”
“เจ้า…เจ้าเหนื่อยแล้ว?” ชายชุดดำก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่ รู้สึกเพียงว่าในใจอึดอัดอย่างผิดปกติ
“ใช่น่ะสิ เดินมานานปานนี้จะไม่เหนื่อยได้หรือ หากเจ้าไม่เกี่ยงว่าเหนื่อยก็เดินหน้าไปก่อน” มั่วชิงเฉินพูดจบมองก็ไม่มองชายชุดดำสักปราด กึ่งหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา
ชายชุดดำอัดอั้นอยู่ในอก ร่างกายโซเซพลางนั่งลงมา พอได้นั่งปุ๊บก็รู้สึกว่าร่างกายปวดเมื่อยไปหมดทันที ขี้เกียจขยับเขยื้อนอีกแล้ว
ในชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไร
“โอ๊ย” มั่วชิงเฉินที่หลับตาปรับลมหายใจจู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า จากนั้นความรู้สึกแสบร้อนสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา นางรีบกระโดดขึ้นมาแล้วพับขากางเกงขึ้น เห็นเพียงบนข้อเท้ามีมดแดงไฟขนาดเท่าผึ้งตัวหนึ่งกำลังต่อยตรงนั้นอยู่ ข้อเท้าขาวดุจหิมะบวมแดงขึ้นเป็นลูก
เสียงร้องของมั่วชิงเฉินย่อมรบกวนชายชุดดำแล้ว เขารีบลุกขึ้นมาทันที สายตาตกลงบนข้อเท้ามั่วชิงเฉิน
มองมดขนาดเท่าผึ้งตัวหนึ่งหมอบอยู่บนข้อเท้าตนไม่ขยับเขยื้อนกับตา ต่อให้มั่วชิงเฉินที่สุขุมเสมอมาก็รู้สึกขนหัวลุก เสียดายที่เปิดถุงเก็บวัตถุไม่ได้ จึงได้แต่ใช้นิ้วมือไปจับโดยตรง
หยิบส่วนหลังของมดแดงไฟอย่างระมัดระวัง มั่วชิงเฉินจับมันขึ้นมา ยกมือขึ้นจะโยนออกไป
กลับได้ยินชายชุดดำตะโกนว่า “อย่าทิ้ง”
มั่วชิงเฉินมองไป
สายตาชายชุดดำจ้องมดในมือนางว่า “หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์”
“มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว แสดงให้เห็นว่าไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน
สีหน้าเย็นชาจนเป็นปกติของชายชุดดำในที่สุดก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ปากก็ว่า “แดนไร้วิญญาณแม้ไม่มีปราณวิญญาณใดๆ กลับกำเนิดมดมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ก็คือมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอย่าเห็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มีขนาดเพียงเท่าผึ้ง แต่ละตัวกลับเต็มไปด้วยปราณวิญญาณมหาศาล หากผู้บำเพ็ญเพียรกินเข้าไปละก็ตบะจะเพิ่มขึ้นมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือไม่ทำให้รากฐานไม่มั่นคง ก็เหมือนได้มาเพราะตนเองนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร นอกจากนี้ ปราณวิญญาณที่อยู่ในมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ยังทำให้ไฟจริงของผู้บำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งขึ้น”
“ไม่คิดเลยว่าจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้? มั่วชิงเฉินมองดูมดแดงไฟในมือแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อ จากนั้นกลับนึกถึงเหตุผลที่ฟ้าดินแบ่งเป็นหยินหยาง สรรพสิ่งส่งเสริมและข่มซึ่งกันและกัน จึงอดเชื่อคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอยู่หลายส่วนไม่ได้
เพียงแต่ สิ่งที่คนผู้นี้รู้จะมากเกินไปหรือไม่
ต้องรู้ว่านางอยู่พรรคเหยากวงก็นับว่าจัดอยู่ในแถวของบุตรผู้ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าแล้ว อาจารย์ยิ่งมีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร ทว่าอยู่มาหลายปีถึงเพียงนี้แม้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย กลับไม่เคยได้ยินของตรงหน้านี้มาก่อน
กระทั่งข้อมูลของแดนไร้วิญญาณก็ได้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำนี้เป็นคนแนะนำให้ เขาผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหนึ่ง เหตุใดความรู้ถึงกว้างไกลเช่นนี้?
มั่วชิงเฉินมิใช่เพราะเข้าสำนักเลื่องชื่อจึงดูถูกผู้บำเพ็ญเพียรตามตระกูล เพียงแต่รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนี้ให้ความรู้สึกผิดปกติเหลือเกิน หรือว่า…เขายังมีฐานะอื่นอยู่?
“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?” ชายชุดดำเห็นนิ้วมือมั่วชิงเฉินยิ่งบีบมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งแน่น มดตัวอ้วนพีร้องขู่ดิ้นรนขึ้นมา จึงอดถามไม่ได้
มั่วชิงเฉินเก็บความคิดกลับมา มองผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ไยเจ้าถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้?”
ตรงประเด็นจนทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำชะงักเบาๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ มั่วชิงเฉินนึกว่าเขาจะไม่ส่งเสียงแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำนั่นกลับเปิดปากด้วยเสียงสงบว่า “ในตระกูลเรามีท่านเทียดอยู่ท่านหนึ่งเคยเข้ามาในแดนไร้วิญญาณด้วยโอกาสวาสนานำพา ในบันทึกที่ทิ้งไว้ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ ก็เพียงเท่านี้เอง”
การอธิบายเช่นนี้ กลับทำให้มั่วชิงเฉินหาช่องโหว่ไม่ได้
“เช่นนั้นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่จะจัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นว่า
ชายชุดดำเหลือบมองมั่วชิงเฉินนิ่งเรียบปราดหนึ่งว่า “ย่อมต้องกินเข้าไปอยู่แล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินชะงักงัน แบะมุมปากเล็กน้อยว่า “หากเจ้าไม่กิน ก็ให้ข้า”
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นี่ ควรจะอยู่เป็นฝูงกระมัง?”
สันนิษฐานตามหลักการทั่วไป ประเภทมดผึ้งที่กลายเป็นอสูรวิญญาณแม้ต่างกับมดผึ้งธรรมดาราวฟ้ากับดิน ทว่านิสัยที่มีมาแต่ดั้งเดิมเช่นนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ในตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำวาบความชื่นชมผ่านสายหนึ่ง “เจ้าเดาได้ถูกต้อง”
“ถ้ำมดนั่นอยู่ไหน?” ทุกครั้งที่คนคนนี้ชมเชยนาง มั่วชิงเฉินก็ขี้เกียจพูดมากกับเขา
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมุมปากอมยิ้มแล้วชี้ก้อนหินใหญ่ที่มั่วชิงเฉินนั่งอยู่ว่า “น่าจะอยู่ข้างล่างนี้” เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าสงสัย จึงเอ่ยต่อว่า “เดิมทีนี่เป็นหินปิดปากถ้ำของคนเขา กลับไม่คิดว่าถูกเจ้านั่งลงไปเต็มก้น คิดว่าคงส่งลูกกะจ๊อกออกมาดู”
เต็มก้น? มั่วชิงเฉินหน้าดำ แม้จะบอกว่าจุดยืนของทั้งสองคนเป็นศัตรูกัน การปฏิบัติต่อกันยิ่งไม่มีความคิดเรื่องชายหญิง ทว่าคำพูดนี้จะไม่ตรงเกินไปหน่อยหรือ
“เจ้าพูดกับสตรี จะอ้อมค้อมสักหน่อยไม่ได้หรือ?” มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวค้อนตาคว่ำทีหนึ่ง
รับค้อนที่มั่วชิงเฉินโยนมาอย่างใจเย็น ชายชุดดำเลิกคิ้วว่า “ขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นสตรี” น้ำเสียงกลับไม่มีความสำนึกผิดสักนิด
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ขี้เกียจพูดมากอีกทันที แล้วชี้ก้อนหินใหญ่ว่า “เจ้าไปหาเองตัวหนึ่ง จากนั้นกินลงไปพร้อมกัน”
ช่วงเวลาที่ชายชุดดำพูดนี้พละกำลังก็ฟื้นฟูมาเล็กน้อย จึงเดินตรงไปหน้าก้อนหินใหญ่ย่อตัวลง สองมือกอดก้อนหินไว้แล้วออกแรงยก ใครจะรู้ว่าเบ่งจนหน้าแดงไปหมดก้อนหินใหญ่กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
เห็นชายชุดดำลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครึ่งค่อนวัน ใช้พลังวัวเก้าตัวกับเสือสองตัว[2]ก้อนหินกลับไม่ขยับสักนิด ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หมดความอดทน โบกมือว่า “เจ้าไปยืนข้างๆ ข้าเอง”
——
[1] เหอเถา คือ ถั่ววอลนัท หรือ มันฮ่อ
[2] พลังวัวเก้าตัวกับเสือสองตัว หมายถึง พลังมหาศาล