พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 132

 รอบคอบมาตลอดกลับละเลยเพียงสิ่งเดียว

 

 

 

หลังบ่ายมั่วชิงเฉินก็มาถึงเขาต้วนจิน พูดไปแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางมา มองไปรอบๆ ยอดเขาหลักของเขาต้วนจินและเขาชิงมู่ไม่เหมือนกัน เป็นไหล่เขารูปกรวยแหลมสูงตระหง่านถึงชั้นเมฆ ที่แหงนหน้าก็สามารถเห็นได้เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนบนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ดูแล้วมีพลังอหังการ

 

 

“พี่เสี่ยวซย่า ไม่คิดว่าเจ้าจะได้อยู่ที่ยอดเขารอง” มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านที่พำนักของเสี่ยวซย่าปราดหนึ่ง

 

 

เสี่ยวซย่าขยี้ผมอย่างเคยชิน “อาศัยบารมีของพี่ใหญ่น่ะ”

 

 

“อ๋อ? พี่ใหญ่เจ้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยความประหลาดใจ นึกไม่คิดจริงๆ ว่าพี่ใหญ่ของเสี่ยวซย่า ฐานะไม่ต่ำทีเดียว

 

 

เสี่ยวซย่าพยักหน้าว่า “ใช่น่ะสิ พี่ใหญ่ร้ายกาจมากเลย เป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าหานจางนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ชะงักแผ่วเบาทีหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่าหานจางหรือ ข้าก็เคยได้ยิน”

 

 

ทันใดนั้นเสี่ยวซย่าเขยิบเข้ามา ขยิบตาว่า “เจ้าได้ยินมาว่าเช่นไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง

 

 

เสี่ยวซย่าหัวเราะว่า “ได้ยินว่าท่านอารมณ์ร้ายมากใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียง พยักหน้าแผ่วเบา

 

 

เสี่ยวซย่าถอนใจว่า “ที่จริงข้าก็รู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจอท่าน ใจข้าก็เต้นเหมือนตีกลอง ก็ลำบากพี่ใหญ่แล้ว บัดนี้ยังไม่กลับมาอีก”

 

 

“หึๆ พี่เสี่ยวซย่า พวกเจ้าออกไปหลายปีมิใช่หรือ พี่ใหญ่เจ้าต้องมีเรื่องมากมายคุยกับอาจารย์ของเขาเป็นแน่” มั่วชิงเฉินยินดีในใจ พี่ใหญ่ของเสี่ยวซย่าอยู่ที่ผู้เฒ่าหานจางนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้วนชิงเกออยู่ที่นั่นละก็ ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคอยเฝ้าแล้ว

 

 

มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เสี่ยวซย่าว่า “เดิมทีพี่ใหญ่ก็ไปเพื่อหาสมุนไพรทิพย์ให้อาจารย์เขาอยู่แล้ว ครั้งนี้ได้สมุนไพรทิพย์กลับมา ก่อนไปบอกข้าว่าเกรงว่าต้องอยู่ที่ท่านผู้เฒ่านั่นสักระยะหนึ่ง เพื่ออยู่ช่วยอาจารย์เขาหลอมโอสถ”

 

 

“เอ่อ เช่นนี้หรือ พี่เสี่ยวซย่า นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสมาถึงยอดเขารองนะ ที่นี่เทียบกับยอดเขานอกที่พวกข้าศิษย์ฆราวาสอยู่แล้ว สง่ากว่ามากเลย นักพรตหานจางในฐานะผู้ดูแลยอดเขารองนี้ ไม่รู้ว่าอาศัยอยู่ที่ไหนนะ?” มั่วชิงเฉินสายตาเป็นประกายแวววับด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

เสี่ยวซย่าพิจารณามั่วชิงเฉินอีกปราดหนึ่ง ทันใดนั้นยื่นหน้าไปข้างหน้านาง ยื่นมือดึงหางเปียของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังไป เอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าทำอะไร?”

 

 

“น้องสาว บอกความจริงพี่มา ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรพิเรนทร์กันแน่?” เสี่ยวซย่ายันแก้มไว้มือหนึ่งแล้วถามอย่างตามเอ้อระเหย

 

 

มั่วชิงเฉินเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่ปากกลับไม่ยอมรับ “พี่เสี่ยวซย่า เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

 

 

เสี่ยวซย่าถอนใจว่า “น้องสาว เจ้าหัวแหลมมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่หน้าเจ้าปรากฏสีหน้าเช่นนี้ ในใจจะต้องคิดพิเรนทร์แน่นอน พูดมาเถอะ หากช่วยได้ ข้าต้องช่วยเต็มที่แน่นอน”

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง อย่างไรเสีย สองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีแล้ว

 

 

เสี่ยวซย่าย่นจมูก จู่ๆ ก็หัวเราะ “จู่ๆ ข้าก็นึกได้ พี่ใหญ่ลืมสมุนไพรทิพย์ชนิดหนึ่งอยู่ที่ข้านี่ไม่ได้เอาไปด้วย  ข้าต้องรีบเอาไปให้ที่ที่พำนักของท่านผู้เฒ่าหานจางสักครั้ง น้องสาว ไม่สู้เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนข้าด้วย?”

 

 

ความซาบซึ้งเอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉินแผ่วเบา ทันใดนั้นกลับนึกได้ว่า หากตนช่วยต้วนชิงเกอออกมาได้สำเร็จจริง นักพรตหานจางผู้นั้นต้องอาละวาดยกใหญ่แน่ ไม่แน่ก็อาจจะพาลโกรธเสี่ยวซย่าไปด้วย เช่นนี้แล้ว ยังคงให้เขารู้ให้น้อยเข้าไว้ดีกว่า

 

 

มั่วชิงเฉินตามเสี่ยวซย่าไปที่ที่พำนักของนักพรตหานจาง กลับไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่แยกกับเสี่ยวซย่าที่รอบนอก เดินกลับไปกลับมา เห็นไม่มีคน จึงพลิกมือหยิบดอกไม้สีน้ำทะเลรูปร่างเหมือนกระดิ่งออกมาดอกหนึ่ง

 

 

ดอกไม้ดอกนี้เป็นหนึ่งในเถาวัลย์หลายร้อยชนิดที่มั่วชิงเฉินปลูกในสวนสมุนไพรพกพาในปีนั้นเพื่อเลือกเถาวัลย์ ยามนั้นไม่เห็นมีประโยชน์ใช้สอยอันใด แต่เพราะว่าแต่ละชนิดมีเพียงต้นเดียว ไม่นับว่าเปลืองพื้นที่ มั่วชิงเฉินจึงไม่ได้ทิ้งไป แล้วปล่อยให้พวกมันงอกตามสบาย ใครจะรู้ว่าสิบกว่าปีผ่านไป ในสวนสมุนไพรเพราะว่ามีสุราเลิศรสคอยรด ไม่รู้ผ่านไปกี่พันปีแล้ว คาดไม่ถึงว่าเถาวัลย์ชนิดนี้จะออกดอกรูปร่างเป็นกระดิ่งสองดอกติดกัน ดูแล้วงดงามยิ่งนัก

 

 

ครั้งหนึ่งมั่วชิงเฉินพบโดยบังเอิญ ว่าดอกไม้ชนิดนี้มีประโยชน์ในการใช้ตามหาคน ขอเพียงคนอื่นพกหนึ่งในสองดอกที่ติดกันนี้ไว้กับตัว ยามที่นางใช้พลังวิญญาณปลุกอีกดอกหนึ่งในมือ หากคนผู้นั้นอยู่ห่างนางในระยะที่กำหนด ดอกไม้ในมือนางก็จะส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหู

 

 

ยามนั้นรู้สึกว่าดอกไม้นี้น่าสนใจ อีกทั้งสวยงาม นางจึงมอบดอกหนึ่งแก่ต้วนชิงเกอ เพียงแต่ไม่อาจอธิบายที่มาของดอกไม้นี้ จึงไม่ได้บอกถึงประโยชน์ใช้สอยของมัน ต้วนชิงเกอก็เพียงนึกว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่สหายสนิทมอบให้ จึงอมยิ้มรับไว้

 

 

มั่วชิงเฉินถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ดอกไม้อย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ลองส่ายดู เป็นไปตามคาด ดอกไม้รูปร่างเหมือนกระดิ่ง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหูจริงๆ เสียงกระดิ่งค่อยๆ ล่องลอยไปไกล ดั่งบทเพลงที่รื่นหู

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ต้วนชิงเกออยู่ที่นี่ตามคาดจริงๆ!

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางดันทุรังจะเข้าใกล้ที่พำนักของนักพรตหานจาง เพราะว่าขอบเขตการตามหาคนของดอกไม้นี้เล็กนัก นางได้ยินเสียงกระดิ่งที่นี่ เช่นนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าต้วนชิงเกอต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

 

 

นางขมวดคิ้วคิดๆ ดู แสงวิญญาณแวบขึ้นที่ปลายนิ้ว เขียนอะไรบางสิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นยกมือขึ้น ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งออกไป

 

 

ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางถอนหายใจเบาๆ อึดหนึ่ง ศิษย์พี่ชิงเกอ ที่น้องสามารถทำได้ก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องดูลิขิตฟ้าแล้ว

 

 

“เจ้าเป็นใคร!” ทันใดนั้นมีเสียงตวาดดังมาจากด้านหลัง

 

 

มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หันหน้าไปช้าๆ ก็พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งกำลังมองตนอยู่

 

 

“ท่านอาจารย์อา” มั่วชิงเฉินรีบย่อตัวคำนับ

 

 

“เจ้าศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง เหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี่ได้?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นั้นถามอย่างสงสัย

 

 

“ผู้น้อย…”

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังครุ่นคิดว่าควรตอบเช่นไร ก็เห็นคนอีกคนหนึ่งเลี้ยวมาจากหัวมุมเข้ามา เงยหน้าเห็นมั่วชิงเฉินแล้วชะงักงัน จากนั้นเรียกว่า “มั่วชิงเฉิน เหตุใดเจ้ามาอยู่นี่? ใช่แล้ว เจ้ากักตนบำเพ็ญเพียรเสร็จอีกแล้วใช่หรือไม่ มาหาข้าหรือ?”

 

 

พูดจบวิ่งเข้ามาร่าเริงราวกับนกน้อย มือหนึ่งคล้องแขนของมั่วชิงเฉินไว้ พลางยิ้มพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานว่า “ท่านพ่อ นี่คือสหายของข้า มาหาข้าเจ้าค่ะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีหน้าผ่อนคลายลง “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นซิ่งเอ๋อร์ เจ้าพาสหายของเจ้าไปเล่นทางนั้นเถอะ นี่เป็นที่พำนักของท่านลุงใหญ่เจ้า ปกติเขาไม่ชอบให้คนรบกวน”

 

 

“เจ้าค่ะ” เฉินเจียวซิ่งตอบอย่างชื่นบาน จากนั้นลากมั่วชิงเฉินว่า “ไปสิ ชิงเฉิน เราไปทางนั้นกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินโล่งอก จึงพยักหน้าเลยตามเลยว่า “อืม” พูดจบก็คำนับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกครั้ง

 

 

สองคนจูงมือกันเดินออกไป ทันใดนั้นก็เห็นเมฆสีแดงก้อนหนึ่งลอยผ่านขอบฟ้า ร่อนลงหน้าที่พำนักของนักพรตหานจาง

 

 

“นี่ มั่วชิงเฉินเจ้ารีบดู นั่นคืออาวุธเวทเหินหาวของนักพรตรั่วซี” เฉินเจียวซิ่งนิ้วชี้ไปทางนั้นพลางเรียก

 

 

“นักพรตรั่วซี?” มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วในใจเกิดปีติขึ้นมา นางได้ยินมาว่า นักพรตรั่วซีคือศิษย์เอกของเจ้าหุบเขาแห่งเขารั่วสุ่ย ได้รับความเมตตาจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำนิดที่สุด ส่วนมั่วหลีลั่วก็คือศิษย์ของนาง

 

 

เช่นนี้แล้ว ยันต์ส่งสารของตนแผ่นนั้นเกิดประโยชน์แล้วจริงๆ?

 

 

เฉินเจียวซิ่งนึกว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้จักชื่อเสียงของนักพรตรั่วซี อธิบายว่า “นักพรตรั่วซีเป็นศิษย์เอกของเขารั่วสุ่ยไงล่ะ ใช่แล้ว นางและท่านปรมาจารย์ท่านนั้นเหมือนกัน เข้าข้างศิษย์ยิ่งนัก ปกติหาน้อยที่จะไปมาหาสู่กับผู้บำเพ็ญเพียรชาย วันนี้มาที่นี่ หรือว่าท่านลุงใหญ่จะล่วงเกินนางที่ไหนแล้ว ทีนี้แย่แล้ว มั่วชิงเฉิน เจ้ารีบตามข้าไปดูหน่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบว่า “นี่ไม่ดีหรอกกระมัง ข้าศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง เข้าไปจะไม่ดีนะ”

 

 

“ไอยา เช่นนั้นตามใจเจ้าแล้ว แต่ข้าจะรีบเข้าไปดูหน่อย” เฉินเจียวซิ่งกระทืบเท้า วิ่งไปที่ที่พำนัก

 

 

มั่วชิงเฉินรอดตัวแล้ว แต่ก็ไม่กล้าวิ่งในเขตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ จึงได้แต่อดกลั้นไว้ออกจากยอดเขารองก่อน เมื่อถึงรอบนอกของเขาต้วนจิน ถึงได้เสกคาถาเหยียบลมวิ่งพรวดขึ้นมา

 

 

ทันใดนั้น รู้สึกถึงคลื่นวิญญาณส่งผ่านมาจากบนฟ้าอีก นางรีบเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนฟ้ามีเมฆแดงก้อนหนึ่งลอยผ่าน ด้านบนเห็นมีคนสามคนรางๆ คนหนึ่งในนั้นถูกอีกคนหนึ่งพยุงไว้ แม้เร็วมากมองหน้าตาไม่ชัด นางกลับจำได้ว่าคือเงาร่างของต้วนชิงเกอนั่นเอง!

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้วแล้วยิ้ม ถือว่าไม่ได้เสียแรงเปล่า

 

 

นางยกเท้ากำลังจะไป ทันใดนั้นด้านหน้ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง คือบิดาของเฉินเจียวซิ่งนั่นเอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นั้น

 

 

“ผู้น้อยคารวะท่านอาจารย์อาเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินรีบคำนับ

 

 

ทว่าต่อจากนั้น คนผู้นั้นกลับไม่พูดสักคำก็บุกเข้ามา มั่วชิงเฉินคิดต่อต้านโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นคิดได้ว่านี่อยู่ในสำนัก หากล่วงเกินผู้อาวุโสแล้ว ผลลัพธ์ยิ่งพูดยาก ในขณะที่นางลังเลนี่เอง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จึงจับนางได้ในทันที แล้วบินไปที่ยอดเขารองที่นักพรตหานจางอยู่

 

 

กระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจับมั่วชิงเฉินไว้เดินเข้าไปที่พำนัก จนถึงตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งถึงหยุดลง โยนมั่วชิงเฉินลงบนพื้นแล้วว่า “อาจารย์ ที่ข้าพูดถึงก็คือนางหนูคนนี้!”

 

 

“ท่านพ่อ นี่ท่านจะทำอะไร?” เฉินเจียวซิ่งเห็นมั่วชิงเฉินแล้วตกใจ รีบวิ่งไปพยุงนาง

 

 

“ซิ่งเอ๋อร์ ยังไม่กลับมาอีก!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตะคอก

 

 

“ท่านพ่อ…”

 

 

กลับรู้สึกว่ามีลมพัดผ่าน ทุกคนถอยหลังไปหลายก้าว ผู้บำเพ็ญเพียรเท้าเปล่าสยายผมอย่างตามสบายคนหนึ่งเดินมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ถามเสียงทุ้มว่า “เจ้าเป็นใคร?”

 

 

“เรียนท่านปรมาจารย์ ผู้น้อยชื่อมั่วชิงเฉินเจ้าค่ะ” รู้สึกถึงพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ มั่วชิงเฉินฝืนตอบอย่างสุขุม

 

 

“มั่วชิงเฉิน?” นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นรีบเดินขึ้นหน้าส่งเสียงทางจิตคราหนึ่ง

 

 

แล้วก็เห็นนักพรตหานจางสีหน้ายิ่งเย็นชาขึ้น ฮึว่า “เป็นตามที่คาดจริงๆ เจ้าและนางหนูนั่นต่างมาจากเขาชิงมู่ มิหนำซ้ำยังเป็นสหายสนิท ดูแล้วต้องเป็นเจ้าที่ส่งสารเป็นแน่!”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบว่า “ท่านปรมาจารย์ ผู้น้อยไม่เข้าใจความหมายของท่านเจ้าค่ะ?”

 

 

“ฮึ เรื่องมาถึงบัดนี้ ยังปากแข็งไม่ยอมรับอีก น่ารังเกียจ!” นักพรตหานจางสะบัดแขนเสื้อในบัดดล

 

 

มั่วชิงเฉินบินไปข้างหลังทั้งตัว ชนเข้ากับเสาต้นหนึ่งถึงหล่นลงบนพื้น แล้วกระอักเลือดออกมาทันที

 

 

“มั่วชิงเฉิน!” เฉินเจียวซิ่งรีบวิ่งไป มือหนึ่งพยุงนาง ด้านหนึ่งเงยหน้า “ท่านลุงใหญ่ ท่านต้องเข้าใจผิดแน่นอน ชิงเฉินนางมาหาข้า เมื่อครู่ข้าชวนนางเข้ามานางยังกลัวรบกวนท่านจึงปฏิเสธไปนะเจ้าคะ”

 

 

“หุบปาก ที่นี่ถึงตาเจ้าพูดตั้งแต่เมื่อไร!” นักพรตหานจางเมื่อนึกถึงเนื้อติดมันที่ได้ถึงมือต้องบินหนีไปทั้งเช่นนี้ อีกทั้งนึกถึงท่าทางยโสโอหังของหญิงแก่รั่วซีนั่น ก็อดโมโหเจ็บใจไม่ได้

 

 

นักพรตหานจางขยับมือ เสี่ยวซย่าก็พุ่งไปหน้ามั่วชิงเฉินทันที ถูกพลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทำร้าย จนครางเสียงหนึ่ง เลือดไหลออกจากมุมปาก แต่เขากลับไม่ใส่ใจสักนิด แล้วโขกศีรษะดัง ‘ปึงๆ’ ว่า “ท่านปรมาจารย์ ศิษย์พี่เฉินพูดได้ไม่ผิด ชิงเฉินเป็นสหายสนิทของข้าในวัยเยาว์ ศิษย์เป็นคนเชิญนางมาเป็นแขกที่เขาต้วนจินเองขอรับ ต่อมาข้านึกขึ้นได้ว่ามีของต้องนำมาส่งให้พี่ใหญ่ เดิมทีตั้งใจส่งนางออกไป แต่นางบอกในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็อยากไปหาศิษย์พี่เฉินคุยเสียหน่อย ขอท่านได้โปรดพิจารณา นางไม่ใช่คนส่งสารอันใดอย่างแน่นอนขอรับ”

 

 

ฟังสองคนต่างพูดเช่นนี้ นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านพี่ชายของเสี่ยวซย่าปราดหนึ่ง

 

 

พี่ชายเสี่ยวซย่าคำนับว่า “เรียนอาจารย์ เสี่ยวซย่าพบแม่นางนั่นโดยบังเอิญจริงๆ พบว่าเป็นสหายสนิทในวันวาน ถึงได้เชิญนางมาเป็นแขกขอรับ”

 

 

นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านบิดาของเฉินเจียวซิ่งปราดหนึ่งอีก

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าเห็นนางหนูนั่นลับๆ ล่อๆ อยู่นอกที่พำนักของท่านจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าทำอันใดอยู่” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนั้นพูด

 

 

“ท่านพ่อ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านางมาหาข้าน่ะ!” เฉินเจียวซิ่งกระทืบเท้าว่า

 

 

มั่วชิงเฉินหมอบอยู่บนพื้นไม่ได้พูดอะไร แอบถอนใจว่าช่างรอบคอบมาตลอดแต่ละเลยเพียงสิ่งเดียวจริงๆ ไม่คิดว่าบิดาของเฉินเจียวซิ่งจะเป็นคนขี้สงสัยปานนั้น ดูท่าวันนี้ จะจบดียากเสียแล้ว

 

 

แล้วก็ได้ยินนักพรตหานจางว่า “พอแล้ว พวกเจ้าหุบปากให้หมด หมิงเฟิง จับนางหนูนี่ขังขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset