“โอรสศักดิ์สิทธิ์รอพวกท่านอยู่ข้างใน” ชายสูงใหญ่กำยำที่นำพวกมั่วชิงเฉินสองคนมาพูดจบ ก็ก้มโค้งถอยออกไป ท่าทีนอบน้อมเป็นพิเศษ
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ก้าวเท้าเดินเข้าไป
คนที่อยู่ข้างในหันหลังให้ทั้งสองคน ได้ยินเสียงจึงหันหน้ามา ไม่คิดว่าคนที่ทั้งสองคนเห็นจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง
“พวกท่าน…มาจากข้างนอกเช่นนั้นหรือ?” เสียงของเด็กหนุ่มดูเหมือนยังละอ่อนอยู่
“เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร!” เสียงของหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตอบกลับว่า “เจ้าตัดสินจากอะไร? ต้องรู้ว่าพลังวิญญาณในกายของผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่อาจเหือดแห้งแล้วก็ได้ ไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ จากภายนอกเพียงอย่างเดียวดูไม่ออกหรอกนะ”
“เจ้ามองไม่ออกจริงหรือ? หากเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกจริง น้ำเสียงในการพูดไม่ควรเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่สังเกตยามที่เขาถามว่า ‘ข้างนอก’ กลับแสดงให้เห็นถึงท่าทางที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าข้างนอกเป็นเช่นไร กระทั่งข้างนอกคืออะไรเช่นนั้นหรือ?” หลัวอวี้เฉิงตอบ กลับไม่เชื่อว่ามั่วชิงเฉินจะมองปัญหาไม่ออกแม้แต่น้อย
น้ำเสียงมั่วชิงเฉินแฝงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากลับดูออกจากที่อื่น เด็กหนุ่มคนนี้อ้าปากพูดประโยคแรก คือภาษาถิ่นของที่นี่”
หลัวอวี้เฉิงแอบพยักหน้า ถูกต้อง ในสถานการณ์ปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกกักไว้ที่นี่มาแสนนาน เมื่อได้พบคนที่มาจากข้างนอกย่อมต้องหลุดภาษาที่พูดเมื่อก่อนออกมา
“พวกท่าน มาจากข้างนอกใช่หรือไม่!” เห็นทั้งสองคนไม่ตอบเสียที เสียงของชายหนุ่มแฝงด้วยความโกรธสายหนึ่ง
ต่อหน้าเด็กหนุ่มละอ่อนเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็แสดงนิสัยแสบสันไม่ออก จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “โอรสศักดิ์สิทธิ์เดาได้ไม่ผิด เราสองคนมาจากข้างนอกจริงๆ”
เด็กหนุ่มเพ่งพิศพวกเขาอย่างสงสัย สีหน้าเช่นนั้นไม่เพียงแต่ไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ ดูแล้วกลับซื่อบื้อเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเหล่หลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่ง แอบถอนใจว่า ในโลกนี้มีคนบางคน อยากพยายามแสดงออกให้ดูหัวไวเจ้าเล่ห์เสียหน่อยกลับไม่อาจปิดบังนิสัยไร้เดียงสาไร้พิษสงตามธรรมชาติได้ ไม่เหมือนใครบางคน ต่อให้ยืนเฉยๆ ไม่ขยับเขยื้อนก็รู้สึกว่าเต็มไปด้วยแผนเจ้าเล่ห์
“พวกท่านรู้หรือไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคืออะไร?” เด็กหนุ่มเพ่งพิศสองคนอยู่ครึ่งค่อนวัน จู่ๆ ก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า
ต่อหน้าเด็กหนุ่มคนนี้ หลัวอวี้เฉิงดูเหมือนไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะพูด หันหน้าไปพิจารณาข้างๆ ตามอารมณ์
ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินจึงได้แต่ออกหน้าว่า “พวกเราต้องรู้แน่นอน เพราะเราก็คือผู้บำเพ็ญเพียร”
“จริงหรือ? พวกท่านจะพิสูจน์เช่นไร?” สีหน้าเด็กหนุ่มดูเหมือนตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว กลับยังคงถามอย่างไม่วางใจดังเดิม
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “จริงๆ อยู่ที่นี่เราไม่มีวิธีพิสูจน์ ทว่า เราสามารถไม่กินข้าวได้”
เด็กหนุ่มถึงนับว่าเชื่อแล้ว มองทั้งสองคนพลางสีหน้าจริงจังขึ้นมา “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็ตามข้าไปถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์เถอะ”
มั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉินสบตากันปราดหนึ่ง เดินตามหลังเด็กหนุ่มออกไปข้างนอก
เด็กหนุ่มเดินเร็วดุจบินได้บนทางขรุขระ เดินอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงหยุดลง แล้วมองทั้งสองคนที่ล่าช้าอยู่ข้างหลังด้วยความรังเกียจเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินเบิกตาใส่หลัวอวี้เฉิงปราดหนึ่งเงียบๆ แล้วยื่นมือลากแขนเขาไว้ ฉุดกระชากลากถูเขารุดตามไป
เด็กหนุ่มไม่พูดสักคำแล้วหันไปเดินทางต่อ
เดินอีกหนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดเด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้า คุกเข่ากราบไหว้ปากถ้ำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสามคนอย่างนอบน้อม ปากท่องพึมพำ เนิ่นนานถึงลุกขึ้นยืนว่า “ที่นี่ก็คือถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์”
“เช่นนั้นรบกวนโอรสศักดิ์สิทธิ์แจ้งสักหน่อย” มั่วชิงเฉินยิ้มเอ่ย
สีหน้าของเด็กหนุ่มเห็นชัดว่าสลดเล็กน้อยว่า “ถ้ำของท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ โอรสศักดิ์สิทธิ์ไม่มีคุณสมบัติเข้าไป พวกท่านสองคนหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกจริง เช่นนั้นก็เข้าไปเถอะ”
เห็นหลัวอวี้เฉิงยังหอบอยู่ ชั่วขณะหนึ่งเกรงว่าจะพูดไม่ได้แล้ว มั่วชิงเฉินถามว่า “ในเมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเข้าถ้ำท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้ เหตุใดจึงรู้ว่าท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์อยากพบพวกเรา?”
เด็กหนุ่มสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย “ท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์กำชับไว้นานแล้ว หากมีผู้บำเพ็ญเพียรมาจากข้างนอก ก็ให้พวกเขาเข้าไปในถ้ำ”
“น้องชายอย่าโกรธ พวกเราเพียงแต่ไม่รู้อะไรเลยเกรงว่าจะล่วงเกินท่านเซียนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็เข้าไปแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน
เด็กหนุ่มถึงสีหน้าดีขึ้นมาหน่อย ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่งแล้วเบือนหน้าไป สองสามก้าวเดินไปนั่งที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ข้างในคือทางเดินยาวๆ สายหนึ่ง ทางเดินแม้แคบยาวกลับแห้งและสว่าง ไม่มีความรู้สึกมืดชื้นตามสถานที่ที่ทั้งสองคนเดินผ่านยามที่มาแม้แต่น้อย ยกตามองไปก็จะเห็นก้อนหินไม่รู้ชื่อขนาดต่างๆ กันนับไม่ถ้วนส่องแสงจางๆ เมื่อร้อยพันก้อนรวมอยู่ด้วยกัน ในถ้ำก็สว่างเหมือนกลางวัน
“ที่นี่สวยทีเดียว” เงยหน้ามองปราดหนึ่ง จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็สังเกตเห็นก้อนหินหลากสีที่ฝังอยู่บนเพดานถ้ำ แวววาวโปร่งใสไร้เทียมทาน แสงจางๆ ที่สาดส่องออกมาดุจดั่งดาราเต็มท้องฟ้า
ระหว่างที่พูดคุยกันทั้งสองคนก็เดินมาถึงสุดทางเดิน เมื่อเลี้ยวที่หัวมุมสิ่งที่เห็นคือโถงใหญ่ที่กว้างขวางยิ่งที่หนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ วนเวียนที่ปลายจมูก
“ดูสิ!” มั่วชิงเฉินชี้ที่พื้นโถงใหญ่พลางร้องอย่างตกใจ
“หยกหอม!” หลัวอวี้เฉิงกวาดมองพื้นโถงปราดหนึ่ง พูดออกมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน
มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างแรง
ที่นางจำหยกหอมได้ลึกซึ้งเช่นนี้ สาเหตุมาจากเฉินเจียวซิ่ง นึกถึงปีนั้นพวกนางยังเป็นวัยรุ่นสิบสามสิบสี่ปี ก็เพราะหยกหอมนี้ถึงตีกันจนรู้จักกัน
ท่านลุงใหญ่ของเฉินเจียวซิ่งคือท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณแห่งพรรคเหยากวง ฐานะของบิดาในตระกูลก็ไม่ต่ำ ก็ด้วยฐานะสูงส่งเช่นนี้ปีนั้นทำหยกหอมชิ้นเล็กๆ หายก็ยังทำเรื่องเสียครึกโครม มาหาเรื่องตนอย่างเกรี้ยวกราด คิดดูก็รู้แล้วว่าหยกหอมนี้ล้ำค่าเพียงใดแล้ว
ส่วนที่นี่ทั่วทั้งพื้นโถงกลับปูด้วยหยกหอมทั้งหมด นี่ไม่ใช่หรูหราสองคำจะบรรยายได้แล้ว!
ทั้งสองคนพิจารณาอีกที ยิ่งดูยิ่งตกตะลึง
โต๊ะเก้าอี้ม้ายาวที่วางอยู่ในโถงใหญ่ดูเหมือนทำจากหยกขาวธรรมดา พิจารณาอย่างละเอียดกลับสามารถดูออกว่าด้านบนเต็มไปด้วยลวดลายละเอียดสีเหลืองอ่อน นี่ก็คือหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนอันเลื่องชื่อของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
ที่จริงวัสดุของหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนยังคงเป็นหินหยกชนิดหนึ่ง หินหยกชนิดนี้มีจุดแข็งที่หยกหินชนิดอื่นไม่อาจเทียบได้ นั่นก็คือสามารถแกะสลักยันต์หรือค่ายกลเวทด้านบนโดยตรงโดยไม่กระทบกระเทือนถึงประสิทธิภาพของมัน หรือก็หมายความว่าเป็นหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนเหมือนกัน พวกมันกลับอาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่ยิ่งทำให้คนหวั่นไหวคือ หยกขาวเลี่ยมทองอ่อนยังสามารถทำให้อานุภาพของยันต์หรือค่ายกลเวทแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมระดับหนึ่ง
ว่ากันตามปกติแล้ว ศิษย์ตามสำนักเลื่องชื่อหรือลูกหลานของตระกูลบำเพ็ญเพียรบางคน มีป้ายหยกที่แกะสลักจากหยกขาวเลี่ยมทองอ่อนสักชิ้นหนึ่งก็พอให้กระหยิ่มยิ้มย่องแล้ว แม้แต่มั่วชิงเฉินที่ไม่เคยขาดหินวิญญาณ ก็ไม่เคยคิดจะใช้หินวิญญาณจำนวนมากซื้อของฟุ่มเฟือยเช่นนี้
หากให้คนรู้ว่าที่นี่กลับใช้หยกขาวเลี่ยมทองอ่อนทำโต๊ะเก้าอี้ นั่นไม่ใช่ทึ่งหรอกนะ หากแต่รู้สึกฟุ่มเฟือยจนจะถูกฟ้าผ่าแล้ว
กาสุราจอกสุราที่วางอยู่บนโต๊ะไม่น้อยหน้าโต๊ะนี้แม้แต่น้อย ไม่คิดว่าจะทำจากหัวใจผลึกแก้ว!
ส่วนที่ล้ำค่าของหัวใจผลึกแก้ว มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้รู้จากกู้หลี วันนั้นเสื้อวิเศษแนบกาย (เรียกกันว่า ตู้โตว) ที่นางใส่ ก็เพราะหลอมหัวใจผลึกแก้วไว้ ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของหลัวอวี้เฉิงถึงต้านปราณกระบี่ไว้กว่าครึ่ง มิเช่นนั้นอาการบาดเจ็บของนางไม่ใช่จะหายได้ในเวลาสั้นๆ ครึ่งปีทั้งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ขาดโอสถอีก
“ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ทนดูไม่ไหวแล้ว” กวาดตามองไป พบว่าของที่วางอยู่ในโถงใหญ่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ใช่ของล้ำค่าวิเศษ มั่วชิงเฉินแข็งใจดึงสายตากลับมาแล้วกุมขมับถอนใจ
หลัวอวี้เฉิงอมยิ้มที่มุมปากว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องดูแล้ว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม”
ทั้งสองคนพูดจบ สบตากันปราดหนึ่ง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ทั้งสองคนเพิ่งขยับตัว ฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนทันที สตรีในชุดเซินอีแขนกว้างยืนต้องลมอยู่บนระเบียงในถ้ำ ท่วงท่าดุจเซียน
มั่วชิงเฉินมองเงาอันงดงามนั้นอย่างเหม่อลอย นางมีชีวิตอยู่มาหลายปีเพียงนี้ยังเป็นครั้งแรกที่พบว่าสตรีคนหนึ่งอาศัยเพียงเงาหลังก็สามารถทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้
เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินอดเหล่หลัวอวี้เฉิงเงียบๆ ปราดหนึ่งไม่ได้ พบว่าในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าที่ชายปกติพึงมีออกมาแล้ว
เสียงถอนใจเบาๆ ไพเราะเพราะพริ้งเสียงหนึ่งลอยมา จากนั้นหญิงในชุดเซินอีแขนกว้างหมุนตัวมา
มั่วชิงเฉินจิตใจได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เผยอริมฝีปากค้างไว้จนลืมหายใจ
หญิงผู้นี้งามมาก งามสุดยอด งามจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทว่าก็ไม่ถึงกับทำให้นางตะลึงถึงขั้นลืมหายใจ อย่างไรเสียนางก็มิใช่ผู้ชาย
ที่มั่วชิงเฉินตะลึงถึงเพียงนี้ เพราะไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะละม้ายนางถึงห้าส่วน!
มั่วชิงเฉินที่รู้สึกเช่นนี้อดเหงื่อตกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะนางชมคนอื่นอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายพูดออกมาคำหนึ่งว่าเหมือนตนเองยิ่งนัก คำชมก่อนหน้านี้จึงเหมือนกลายเป็นการชมตนเองเสียแล้ว หากแต่เพราะพวกนางเหมือนกันจริงๆ!
ความเหมือนเช่นนี้ กระทั่งบอกไม่ถูกว่าเหมือนตรงไหน ก็เหมือนดั่งมารดาพาบุตรออกมา คนอื่นก็จะบอกว่าบุตรเหมือนมารดา รอยามที่บิดาพาบุตรออกมาคนอื่นก็จะพูดอีกว่าเหมือนบิดา หากสามีภรรยาพาบุตรออกมาพร้อมกัน ให้คนอื่นพูดอีกครั้ง เขากระทั่งบอกไม่ถูกแล้วว่าเหมือนคนไหนกันแน่
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของความเหมือนทางสายเลือด ทำให้คนอื่นมองปุ๊บก็รู้ว่าสองคนนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน!
นี่จะเป็นไปได้เช่นไร!
มั่วชิงเฉินไม่รู้ความทรงจำก่อนห้าขวบของร่างกายร่างนี้ ทว่านางกลับจำได้อย่างชัดเจนว่าใครๆ ก็บอกนางว่า บิดาของนางปีนั้นแต่งสตรีธรรมดานางหนึ่งเป็นภรรยา
หรือว่า ตระกูลของมารดานาง… บรรพบุรุษก็มีผู้บำเพ็ญเพียรมาก่อน?
ทางด้านมั่วชิงเฉินจิตใจสั่นสะเทือน ทางด้านสตรีชุดเซินอีแขนกว้างกลับอ้าปากอย่างช้าๆ แล้ว “พวกเจ้ามาจากไหนกัน?”
ครั้งนี้ถึงครามั่วชิงเฉินไม่พูดแล้ว หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างนอบน้อม สนทนากับอีกฝ่ายขึ้นมา
มองดูหญิงผู้นั้นหลุบตายิ้มจางๆ กิริยาเคร่งขรึมลักษณะท่าทางสง่าแท้ๆ กลับดันซ่านเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจว่าไยนางถึงใส่เซินอีพื้นดำขอบแดง แต่งตัวเคร่งขรึมเช่นนี้แล้ว
ขณะที่มั่วชิงเฉินคิดฟุ้งซ่านอยู่ข้างๆ หลัวอวี้เฉิงและหญิงผู้นั้นก็สนทนาไปครึ่งค่อนวันแล้ว พูดถึงสุดท้ายหญิงสาวจู่ๆ ก็ยื่นนิ้วมือชี้ที่มั่วชิงเฉิน ยิ้มให้หลัวอวี้เฉิงว่า “เป็นเช่นไร หากเจ้าฆ่านางสีย ข้าก็จะแต่งเป็นภรรยาของเจ้า”
มั่วชิงเฉินตกตะลึงพรึงเพริด มองไปที่หญิงผู้นั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
นางไม่ได้รู้สึกผิดคาดกับคำพูดนี้ หากแต่หลังจากในใจได้เห็นหญิงผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรพบุรุษนางแล้ว กลับได้ยินคำพูดนี้จากปากนาง
พูดถึงที่สุด การที่คนเสียใจผิดหวัง ก็เพราะมีความคาดหวังต่อเรื่องหนึ่งหรือคนหนึ่งอยู่ก่อนนั่นเอง
มั่วชิงเฉินอดมองไปทางหลัวอวี้เฉิงไม่ได้
เห็นเพียงหลัวอวี้เฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูเหมือนกำลังชั่งใจอยู่
หญิงสาวรอคอยอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบโดยตรง เขียนการตัดสินใจของเจ้าไว้บนนี้ก็พอ” พูดพลางกระดาษแผ่นหนึ่งบินไปหาหลัวอวี้เฉิง
กระดาษหล่นลงในมือหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงกำหมัดแน่น จู่ๆ ก็เงยหน้ามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วถึงก้มหน้าเขียนอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระดาษ