“ศึกเต๋ามาร?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยรีบพยักหน้าว่า “ใช่ ตั้งแต่สามปีก่อนก็เริ่มแล้ว”
“มันเรื่องอะไรกันแน่ อย่าอิดออด” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างหมดความอดทน
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเหลือบเห็นแววอำมหิตที่วาบผ่านตามั่วชิงเฉิน แล้วหน้าซีดทันที รีบเอ่ยว่า “สามปีก่อนแดนสวรรค์มี่หลัวตูปรากฏต่อโลก เพื่อแย่งชิงกุญแจลับที่เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู สำนักลั่วสยาและสำนักมมารฟ้าเข้าห้ำหั่นกัน ต่อมานิกายชื่อหมัว นิกายเลี่ยนเป่าเข้าร่วมศึกตามๆ กัน เต๋ามารสองฝ่ายยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด ระเบิดศึกอันอลหม่านจวบจนบัดนี้”
‘กุญแจลับ’ สองคำทำให้มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก คำพูดที่ได้ยินที่สวนดอกไม้จวนมั่วเมื่อสี่ปีก่อนดังขึ้นในสมอง
หรือว่าวันนั้นการสนทนาของผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณผู้นั้นและหลัวอวี้เฉิง ก็คือเรื่องนี้?
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ฉวยโอกาสที่กำลังโกลาหลปล้นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าอยู่นี่แล้วสิ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงเย็น
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเข่าอ่อน คุกเข่าตุ๊บลงไปว่า “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
มั่วชิงเฉินเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยปราดหนึ่งว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้าก็ได้ ทว่าเจ้าจำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้มาให้ชัดเจน อืม หากข้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจละก็ ไม่แน่ก็ต้องไปหาคนอื่นถามแล้ว”
ความเย็นชาในคำพูดของมั่วชิงเฉินทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยตัวสั่นเทิ้ม รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียนเชิญพูด หากเป็นสิ่งที่ข้ารู้ต้องพูดออกมาอย่างไม่ปิดบังแน่นอน”
“แดนสวรรค์มี่หลัวตูมันเรื่องอะไรกัน? เหตุใดสำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าถึงสู้กันอีก?” มั่วชิงเฉินถาม
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยแอบแปลกใจ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ช่างแปลกนัก ปรากฏตัวขึ้นที่เขาอู๋ฉยงชัดๆ ไม่คิดว่าจะไม่รู้เรื่องแดนสวรรค์มี่หลัวตูแม้แต่น้อย ปากก็ว่า “เรียนท่านเซียน ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักธรรมดาคนหนึ่ง ความจริงเป็นเช่นไรไม่กล้าตัดสิน ก็ได้แต่เล่าเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปให้ท่านฟัง”
เห็นมั่วชิงเฉินพยักหน้า จึงเอ่ยต่อว่า “ได้ยินมาว่า ตั้งแต่สามสิบปีก่อน สำนักลั่วสยาและระดับสูงของสำนักมารฟ้าไม่รู้ได้ข่าวมาจากไหนว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูจะปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งโดยประมาณที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูจะปรากฏขึ้นก็อยู่ใกล้ๆ แนวเขตแดนของแดนไท่เป๋าและดินแดนเทียนหยวน ด้วยเหตุนี้ สำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าต่างส่งสายลับไปตั้งรกรากที่อานาเขตของอีกฝ่าย สืบข่าวคราวของแดนสวรรค์มี่หลัวตูอย่างลับๆ จนกระทั่งสามปีก่อน กุญแจลับที่สามารถเปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตูออกได้ปรากฏต่อโลกในเมืองเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาเมืองหนึ่ง กำลังที่แฝงกายที่นี่ของสำนักมารฟ้าตั้งใจจะเอากุญแจลับไป คาดไม่ถึงว่าจะดึงนิกายชื่อหมัว มาแย่งชิง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงลากเวลาในการได้กุญแจลับให้ยืดเยื้อออกไป สำนักลั่วสยารุดมาเผชิญหน้ากับสำนักมารฟ้า ต่อมานิกายชื่อหมัวเริ่มร่วมมือกับสำนักมารฟ้าอีก สำนักลั่วสยาหัวเดียวกระเทียมลีบจึงส่งข่าวให้นิกายเลี่ยนเป่าที่อยู่ติดกัน ตามจำนวนคนที่เข้าร่วมศึกมากขึ้นเรื่อยๆ ทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรมารสำนักเม่ยหมัวก็เข้าร่วมแล้ว ส่วนทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋านั่นสำนักที่เข้าร่วมก็ยิ่งมากแล้ว”
ฟังที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยเล่าแล้วใจมั่วชิงเฉินเต้นเร็วขึ้นมา รีบถามว่า “เมืองเล็กที่ไม่สะดุดตานั่นชื่ออะไร?”
“เมืองลั่วหยาง” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตอบอย่างไม่ลังเล
มั่วชิงเฉินชะงักงัน ชั่วขณะหนึ่งอธิบายความรู้สึกในใจไม่ถูก ถามอีกว่า “เช่นนั้นบัดนี้กุญแจลับตกไปอยู่กับฝ่ายใดแล้ว?”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยสีหน้าประหลาดว่า “ไม่มีฝ่ายใดได้ไป กุญแจลับหายเข้าไปในก้นแม่น้ำอิ้งสยาแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดคิดจะเข้าใกล้แม่น้ำอิ้งสยาก็จะถูกอีกฝ่ายบีบถอยออกมา บัดนี้ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนต่างก็รู้กัน ใครชนะถึงจะมีโอกาสได้กุญแจลับไป”
แม่น้ำอิ้งสยา…มั่วชิงเฉินนึกถึงเหตุการณ์สมัยเด็กที่ไปโยนตะกร้าไม้ไผ่ ล่องเรือที่ริมฝั่งแม่น้ำอิ้งสยากับพี่ๆ น้องๆ ด้วยกันแล้วในใจเกิดขมขื่นขึ้นมา ใครจะนึกถึงว่าสามสิบปีให้หลังแม่น้ำอิ้งสยาที่แบบรับความในใจของหญิงสาวนับร้อยนับพันแห่งเมืองลั่วหยางได้กลายเป็นสนามรบของการแก่งแย่งของเต๋ามารแล้วล่ะ
มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างไม่สนใจแล้วว่า “พอแล้ว เจ้าไปเถอะ”
“หา?” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยยื่นเซ่อ ชั่วขณะหนึ่งยังไม่รู้สึกตัวว่ามั่วชิงเฉินปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แล้ว
มั่วชิงเฉินกวาดสายตาไป “เป็นอันใด ยังคิดจะคุยต่ออีก?”
“ไม่คุยแล้ว ไม่คุยแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยถอยหลังไป หลังจากถอยออกไปหลายจั้งหันหลังกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวบินหนีไปไกลอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินบังคับเรือเล็กบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อ ในใจกลับแอบครุ่นคิดขึ้นมา
สำนักลั่วสยา สำนักมารฟ้า นิกายชื่อหมัว เมืองลั่วหยาง แม่น้ำอิ้งสยา ในนี้ก็เหมือนมีด้ายที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน ด้ายเส้นนี้หรือว่าก็คือกุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู?
หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตระกูลมั่วล่ะ เคราะห์ล้างตระกูลของตระกูลมั่วตกลงเกิดจากคัมภีร์โอสถนพเก้าหรือว่ามีสาเหตุอื่นกันแน่?
ฮวาเชียนซู่เดิมเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรมาร แสร้งสู่ขอท่านอาสิบสามเพียงเพราะคัมภีร์โอสถนพเก้าเช่นนี้หรือ หรือว่าที่เขากลับไปตระกูลฮวา สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือเพื่อกุญแจลับที่ใช้เปิดแดนสวรรค์มี่หลัวตู?
เช่นนั้นสำนักมารที่ล้างตระกูลมั่วตกลงคือสำนักมารฟ้าหรือว่านิกายชื่อหมัวล่ะ?
ความสงสัยพวกนี้วาบผ่านในใจ มั่วชิงเฉินเกิดคิดอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเก่าก่อนขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
วันที่ห้าเดือนห้าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนคนของตระกูลมั่วล่องเรือบนแม่น้ำอิ้งสยา ได้พบกับเซียนเฮ่าเย่ว์สู้อย่างดุเดือดกับใครอยู่ นี่ถึงทำให้เกิดวาสนาศิษย์อาจารย์ของเซียนเฮ่าเย่ว์และพี่เก้ามั่วเฟยเยียน จำได้ว่าตอนนั้นเซียนเฮ่าเย่ว์บอกว่านางสู้อย่างดุเดือดกับคนชั่วอยู่ใต้แม่น้ำ ตั้งแต่เวลานั้น พวกเขาก็พบความลับของแดนสวรรค์มี่หลัวตูแล้วใช่หรือไม่?
ยังมีพี่สิบสี่ นางบอกว่าตอนนั้นถูกบิดามารดากันไว้ใต้ร่าง ยามที่คนชุดแดงนั่นกำลังเตรียมใช้จิตตระหนักค้นหาผู้รอดชีวิต กลับไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรีบพาคนจากไปอย่างรีบร้อน หากสันนิษฐานตามหลักทั่วไป ยามนั้นจะต้องเพราะมีผู้บำเพ็ญเพียรอย่างน้อยระดับเดียวกับคนชุดแดงรุดมาหรือไม่ก็คนชุดแดงได้ข่าวบางอย่างที่เร่งด่วนมากกะทันหัน ถึงไม่ทันแม้แต่จะใช้จิตตระหนักค้นหาก็รีบจากไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ ล้วนเกี่ยวกับแดนสวรรค์มี่หลัวตูใช่หรือไม่นะ หรือว่าโศกนาฏกรรมของตระกูลมั่วเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ?
มั่วชิงเฉินนวดขมับ อดเร่งความเร็วขึ้นไม่ได้
เรื่องที่เกี่ยวกับแดนสวรรค์มี่หลัวตูซับซ้อนเกินไป ศึกใหญ่เช่นนี้เกรงว่าต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่น้อยเข้าร่วม ต่อให้นางอยากได้ความจริงยามนี้ก็ไม่ใช่เวลา เรื่องที่นางต้องทำด่วนในยามนี้ก็คือรุดไปเขาหลิวหั่วหลอมโอสถอายุวัฒนะออกมา จะได้จบเรื่องกับหัวหน้าตระกูลหวัง
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็บินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่หยุด ระหว่างทางพบการสู้กันหลายครั้งก็หลบออกไปไกลๆ จนหมด เช่นนี้บินอยู่สิบกว่าวันในที่สุดก็ออกห่างจากสถานที่ไฟรบขยายไปถึง
ระหว่างทางผ่านเมืองอวี้ มั่วชิงเฉินยังคงทนไม่ไหวต้องหยุดลงมาเข้าเมือง สืบข่าวไม้สะกดวิญญาณ น่าเสียดายที่ยังคงไม่ได้อะไรดังเดิม ทว่าของสิ่งหนึ่งที่ซื้อได้จากร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่งที่เดินผ่านยามที่จะจากไปกลับสร้างความประหลาดใจให้นางอย่างไม่คาดคิด
มองดูของที่จับเล่นในมือ มั่วชิงเฉินยิ้มแล้วยิ้มอีก
นี่คือกระถางต้นไม้สีน้ำตาลขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง ใต้กระถางแกะสลักยันต์สีเข้มประหลาดไว้ ขับให้กระถางต้นไม้ยิ่งดูโบราณประณีต
มั่วชิงเฉินโยนกระถางต้นไม้ลงไป ก็เห็นกระถางต้นไม้ใหญ่ขึ้นโดยพลัน ยึดพื้นที่ท้ายเรือจนเต็ม เรือเล็กทั้งลำโคลงเคลงไปมา นางรีบถ่ายพลังวิญญาณสายหนึ่งทำให้เรือเล็กนิ่งลงมา
“เจ้านาย เจ้าซื้อของนี่มาทำอะไร กินก็ไม่ได้ดื่มก็ไม่ได้?” อีกาไฟบินวนรอบกระถางต้นไม้ไปมา แล้วโวยวายว่า
“ไยถึงกินก็ไม่ได้ดื่มก็ไม่ได้?” มั่วชิงเฉินยิ้มระรื่นว่า
เห็นท่าทางจริงจังของมั่วชิงเฉิน อีกาไฟเข้าใกล้กระถางต้นไม้แล้วดมอย่างสงสัย จากนั้นอ้าปากกัดลงคำหนึ่ง
“ไอยา!” อีกาไฟกรีดร้องแว้ด เอาปีกบังปากไว้แล้วหมุนอยู่กลางอากาศ
“หึๆๆ” มั่วชิงเฉินอดหัวเราะตัวงอไม่ได้
อีกาไฟเห็นดังนั้นนั่งลงที่หัวเรืออย่างโมโห ตาที่ตาขาวยึดพื้นที่ไปกว่าครึ่งมองลงล่างตรงๆ ไม่มองมั่วชิงเฉินอีกแม้แต่ปราดเดียว
มั่วชิงเฉินอมยิ้มเดินไปถึงข้างกระถางต้นไม้ จู่ๆ ในมือก็มีต้นท้อโผล่มาต้นหนึ่ง แล้วปลูกต้นท้อลงในกระถางต้นไม้ท่ามกลางแววตาตะลึงงันของอีกาไฟ
จัดการเสร็จสับ มั่วชิงเฉินถอยหลังก้าวหนึ่งมองดูต้นท้อที่ต้องลมสั่นไหวแผ่วเบาแล้วแย้มออกมาหนึ่งยิ้ม
ตั้งแต่ที่ได้ต้นท้อกลายพันธุ์จากตระกูลหวังทะเลขนาบใจก็ถูกนางปลูกไว้ในสวนสมุนไพรพกพา บัดนี้ในสวนสมุนไพรมีต้นท้อนับร้อยต้นแล้ว อายุปีต่างกันไป
สวนสมุนไพรพกพาแม้สะดวก ทว่ายามที่นางออกไปท่องเที่ยวฝึกตนผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกลับไม่อาจเข้าไปเก็บน้ำผึ้งได้ มีกระถางต้นไม้ที่หดขยายได้ใบนี้แล้ว ปัญหานี้ก็แก้ได้แล้ว
ปกติยามนางบินอยู่บนฟ้า ก็สามารถเอากระถางต้นไม้วางไว้บนเรือ ให้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตได้เก็บน้ำผึ้ง หากตนต้องการเก็บอาวุธเวทเหินหาวขึ้น เช่นนั้นก็หดกระถางให้เล็กลงพกติดตัว ไม่กระทบกระเทือนการทำงานเลยสักนิด
คิดเช่นนี้ไปพลางมั่วชิงเฉินก็เรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมา
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตที่ออกมาครั้งนี้มีหลายสิบตัว ในนั้นมีตัวใหญ่หลายตัว ที่เหลือเป็นตัวเล็กน่ารัก เห็นชัดว่าเป็นผึ้งเด็ก
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเห็นต้นท้อกลายพันธุ์แล้วดีใจมาก ล้อมต้นท้อไว้หึ่งๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วเริ่มสร้างรังผึ้งขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ไม่เกินหนึ่งวัน รังผึ้งที่สวยงามอันหนึ่งก็สร้างเสร็จแล้ว ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตัวใหญ่หลายตัวพาผึ้งเด็กฝูงหนึ่งเข้าไปอยู่
นับจากวันนี้ มั่วชิงเฉินมีน้ำผึ้งดอกท้อกินอีกแล้ว รอถึงยามที่นางบินถึงปราณภูเขาไฟไหล ก็รวบรวมน้ำผึ้งวิญญาณได้ไม่น้อยแล้ว
หญ้าดอกเหลืองเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้หลอมโอสถอายุวัฒนะ แม้ไม่นับว่าล้ำค่าหายาก กลับมีจุดเด่นที่ทำให้คนปวดศีรษะ ไม่ว่าจะเก็บรักษาเช่นไรหากเกินเจ็ดวันฤทธิ์ยาก็จะหายเกลี้ยง
มั่วชิงเฉินเดินเรื่อยเปื่อยไปตามปราณภูเขาไฟไหลก็เด็ดหญ้าดอกเหลืองได้ไม่น้อย จากนั้นบินลึกเข้าไปในปราณภูเขาไฟไหล
การหลอมโอสถอายุวัฒนะเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงไม่ยอมใช้ห้องหลอมโอสถที่สร้างโดยนิกายอิ่นตัน สถานที่ที่นางจะไป คือถ้ำที่พบโดยผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ลักพาตัวนางไปปีนั้น ตามที่นักบำเพ็ญระดับสร้างรากฐานบอกไว้ ที่นั่นมีไฟปราณปฐพีชั้นดี
มั่วชิงเฉินมีเพลิงแก้วใจกระจ่าง ย่อมไม่ต้องใช้ไฟปราณปฐพีมาหลอมโอสถ ทว่าที่นางให้ความสำคัญกลับเป็นความเร้นลับของที่นั่น มีไฟปราณปฐพีอยู่ทำให้อุณหภูมิเหมาะสม เป็นสถานที่ดีในการหลอมโอสถ
อาศัยความทรงจำที่ฝังลึก มั่วชิงเฉินหาปราณภูเขาสีแดงเพลิงแห่งนั้นจนพบ วนไปเวียนมาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วหยุดลงหน้าปากถ้ำแห่งหนึ่ง
ปล่อยจิตตระหนักเข้าไปสำรวจถ้ำ อสูรเพลิงไม่กี่ตัวลากหางขนปุยวิ่งออกมาอย่างลนลาน
มั่วชิงเฉินโล่งอก ยังดีที่ข้างในไม่ได้ซ่อนอสูรปีศาจขั้นห้าไว้ตัวหนึ่งเหมือนปีนั้น มิเช่นนั้นต้องสู้กันอย่างดุเดือดอีก
เข้าถ้ำเดินลึกเข้าไป ข้างในยิ่งลึกยิ่งร้อน เดินถึงสุดทางถ้ำมีขนาดเท่าโถงศิลาทั่วไป พื้นผิวด้านในราบเรียบ สี่มุมมีรูเล็กๆ พ่นเปลวไฟสีแดงออกมา
มั่วชิงเฉินตั้งค่ายกลป้องกันเสร็จ นั่งลงข้างในแล้วหยิบเทียบโอสถของการหลอมโอสถอายุวัฒนะออกมา
เทียบโอสถนี้ปีนั้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นบังคับให้ดู กระทั่งเคล็ดวิชานิ้วแต่ละแบบและการหลอมวัตถุดิบบางอย่างนางก็เคยฝึกฝนมาก่อน พูดได้ว่าการหลอมโอสถอายุวัฒนะ นางขาดก็แต่ทำความคุ้นเคยกับความพิเศษของผลอายุเท่านั้น ทว่าผลอายุกลับไม่อาจสิ้นเปลืองได้แม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินอ่านเทียบโอสถอย่างละเอียดอีกครั้ง อีกทั้งหลอมวัตถุดิบบางอย่างทีละอย่างเพื่อให้ชินมือ สุดท้ายเริ่มฝึกเคล็ดวิชานิ้ว
หลังจากรอทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หยิบผลอายุที่เก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุมาหลายปีออกมา เริ่มหลอมโอสถอายุวัฒนะ