“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” กลับถึงเขาป่าไผ่ เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสาวใช้สองคนเข้ามาต้อนรับ เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินหนักหน่วง จึงออกเสียงถามว่า
มั่วชิงเฉินมองดูสาวใช้สองคน แยกจากกันทีหนึ่งห้าปี บัดนี้พวกนางก็มีตบะระดับหลอมลมปราณขั้นแปดแล้ว ดูแล้วหลายปีมานี้ไม่ได้แอบอู้ เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าตน ระมัดระวังตัวกว่าแต่ก่อนสักหน่อย คิดว่าคงเป็นเพราะแยกจากกันนานเกินไป
“ไม่มีอะไร พวกเจ้าลงไปก่อนเถอะ” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่กลับเขาป่าไผ่ก็เจอกับเรื่องเยี่ยเทียนหยวนก่อแก่นปราณ จากนั้นก็ไปที่นักพรตจื่อซีนั่นอีก จนถึงยามนี้นายบ่าวสามคนถึงนับว่าได้คุยกัน ทว่านางไม่มีอารมณ์พูดมากจริงๆ
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสบตากันปราดหนึ่ง ย่อตัวอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าค่ะ หากคุณหนูมีอะไรก็เรียกบ่าวนะเจ้าคะ”
ทั้งสองคนหันหลังเดินไปสองสามก้าว เหลียงเฉินกลับทนไม่ไหวหันหน้ากลับมา เอ่ยอย่างซุกซนว่า “คุณหนู ห้าปีมานี้ข้าและเหม่ยจิ่งไม่ได้อยู่เฉยๆ นะเจ้าคะ เรื่องมากมายในสำนักต่างสืบมาอย่างชัดเจน ก็รอวันท่านกลับมาเล่าให้ท่านฟัง ไม่ใช่สภาพเช่นแต่ก่อนที่หาไม่เจอแม้กระทั่งประตูใหญ่ของเขารั่วสุ่ยแล้วนะเจ้าคะ”
ฟังถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินเกิดใจหวั่นไหวขึ้นมา กวักมือว่า “เช่นนั้นรอก่อน ข้าถามพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“คุณหนูเชิญพูด” เหลียงเฉินเอ่ยได้ได้ใจ
“พวกเจ้าสองคนตามข้ามาหลายปีแล้ว น่าจะรู้ว่าข้ามีสหายสนิทอยู่เขาต้วนจิน ชื่อเสี่ยวซย่า ปีนั้นเขาออกจากสำนักไปท่องเที่ยวฝึกตน หลายปีมานี้มีข่าวคราวหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามว่า แต่กลับไม่คาดหวังอะไร
ไม่คิดว่าเหลียงเฉินกลับหัวเราะฟู่ว่า “คุณหนู แม้เราไม่เคยพบพี่เสี่ยวซย่าของท่านมาก่อน ทว่าข่าวคราวของเขากลับรู้มาเล็กน้อยจริงๆ”
“รีบพูด อย่าอิดออด” มั่วชิงเฉินค้อนนางทีหนึ่ง
เหม่ยจิ่งเอ่ยว่า “คุณหนู เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ สามปีก่อนเขาต้วนจินมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชื่อเฉินเจียวซิ่งท่านหนึ่งสร้างรากฐานสำเร็จ ไม่นานก็ทิ้งจดหมายแล้วลงเขาไป ว่ากันว่าเพื่อไปตามหาศิษย์พี่ร่วมสำนักชื่อเสี่ยวซย่า เรื่องนี้จึงกลายเป็นหัวข้อคุยเล่นของคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่น้อยในสำนัก”
“ก็นั่นน่ะสิ โดยเฉพาะศิษย์ชายบางส่วนน่ะ พูดขึ้นมาแล้วน้ำเสียงมีแต่ความอิจฉา อิจฉาที่เสี่ยวซย่าดวงนารีไม่เบาเลย” เหลียงเฉินหัวเราะว่า
“เอ่อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นพวกเจ้าลงไปเถอะ” มั่วชิงเฉินให้สาวใช้สองคนไปแล้ว ในใจรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
ในที่สุดเฉินเจียวซิ่งก็สร้างรากฐานแล้ว นางและตนอายุพอๆ กัน อายุสร้างรากฐานแม้ไม่นับว่าเร็วในบรรดาศิษย์ภายในของเหยากวง ทว่าก็ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดี นางมีรากวิญญาณคู่ สร้างรากฐานล้มเหลวหลายครั้งตลอดหลายปีมานี้ก็ถือเป็นการขัดเกลานิสัย สภาพจิตใจชนิดหนึ่ง บัดนี้น้ำมาคลองเกิดได้สร้างรากฐาน ด้วยคุณสมบัติของนางก็ไม่เห็นว่าอนาคตจะล้าหลังคนอื่น
ส่วนพี่เสี่ยวซย่า ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางอยู่ข้างนอกส่วนใหญ่ล้วนอยู่ระดับหลอมลมปราณ ด้วยตบะระดับสร้างรากฐานของเขา อีกทั้งนิสัยเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ เจอเรื่องอะไรน่าจะเปลี่ยนร้ายให้เป็นดีได้ อีกอย่าง ผู้บำเพ็ญเพียรลงเขาท่องเที่ยวฝึกตนเป็นวิชาภาคบังคับ หากนางกังวลเพราะเรื่องนี้ไม่หยุดก็คือยึดติดเกินไปแล้ว คนต่างมีชะตา คำพูดนี้พูดแล้วไร้น้ำใจ แต่กลับพูดไม่ผิด
ได้รู้ข่าวคราวไม่น้อยจากที่นักพรตจื่อซีนั่น มั่วชิงเฉินถึงตกใจตื่นว่าที่แท้ศึกเต๋ามารได้ดุเดือดถึงระดับนี้แล้ว
นักพรตรั่วซีที่ส่งหรวนหลิงซิ่วกลับสำนักลั่วสยาในปีนั้นไม่ได้กลับตลอดมา นางเป็นคนส่งข่าวสำนักลั่วสยาและสำนักมารฟ้าเกิดข้อพิพาทด้วยเหตุอันใดกลับสำนักในเวลาแรก
เมื่อเริ่มแรกในสำนักส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งนำพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานจำนวนหนึ่งรุดไป ตามสภาพการรบที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดสำนักก็ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหรูอวี้เจินจวินรุดไปสำนักลั่วสยา
หลายเดือนก่อนทางด้านสำนักลั่วสยาส่งข่าวมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารที่เข้าร่วมศึกใหญ่นับวันยิ่งมากขึ้น ทางด้านผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าคนไม่พอจึงขอกำลังสนับสนุน
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่านของเหยากวง โส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้สิ้นยากจะออกเดินทางได้ หรูอวี้เจินจวินไปสำนักลั่วสยาแล้ว เจินจวินสามท่านที่เหลือกลับลงจากเขาง่ายๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นเมื่อใดที่ในสำนักเกิดเรื่องก็น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้แล้ว
ดังนั้นในสำนักนอกจากเขารั่วสุ่ยแล้วสี่ยอดเขาที่เหลือต่างส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งนำศิษย์รุดไป ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ออกศึกของเขาชิงมู่ก็คือนักพรตเหอกวง ส่วนทางด้านเขารั่วสุ่ยเนื่องจากเจ้าเขาหลักและศิษย์เอกนักพรตรั่วซีล้วนอยู่สำนักลั่วสยา ครั้งนี้จึงส่งไปเพียงศิษย์ระดับสร้างรากฐานจำนวนหนึ่ง ในนั้นก็มีมั่วหลีลั่ว
ส่วนต้วนชิงเกอ กลับเพราะก่อนนี้ไม่นานเลื่อนขั้นขึ้นระดับสร้างรากฐานระยะกลางกำลังกักตนทำตบะให้มั่นคง ไม่ได้อยู่ในขบวนศิษย์ที่ส่งไป
รู้ที่ไปของทุกคนแล้ว ในใจมั่วชิงเฉินมีความรู้สึกเร่งร้อน นางเดาได้รางๆ ว่าศึกเต๋ามารครั้งนี้ไม่จบลงง่ายๆ เช่นนั้นแน่ ไม่แน่เวลาไหนนางก็ต้องถูกส่งไปสนับสนุนการรบ หากเป็นเช่นนี้ละก็ ก็ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แล้ว
มั่วชิงเฉินเรียบเรียงวิธีรับศึกของตนเองดู
ก่อนอื่นยังคงเป็นเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ นี่เป็นวิธีจู่โจมที่ดั้งเดิมที่สุดของนาง แม้ไม่อัศจรรย์เหมือนวิธีอื่น กลับชนะที่พลังแฝงไร้ขอบเขต เพียงแต่น่าเสียดายบัดนี้ยังหยุดอยู่ที่ขั้นที่สอง เคล็ดวิชากระบี่ขั้นที่สามทะเลบุปผามายาไม่อาจรู้แจ้งได้เสียที
ช่วงนี้ที่นางต้องทำก็คือรับรู้จิตกระบี่ต่อ มีเพียงควบคุมจิตกระบี่ได้อย่างแท้จริง เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ถึงนับว่ามีอานุภาพ ไม่ใช่มีเพียงรูป
ส่วนอาวุธเวทก้อนอิฐที่ตนใช้เป็นประจำ ตั้งแต่เข้าระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ใช้จัดการลูกกะจ๊อกนับว่าดีมาก ทว่าหากเผชิญหน้ากับตบะระดับเดียวกัน กลับไม่ถนัดมือแล้ว
ต่อจากนั้นอีกก็คือระเบิดสะท้านฟ้า นี่กลับเป็นของดีที่ใช้ได้จริง หากจำนวนมาก โยนออกไปในทีเดียวต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ต้องมือไม้พัลวันสักครา เพียงแต่ระเบิดสะท้านฟ้าในสวนสมุนไพรพกพาร้อยปีถึงจะสุกชุดหนึ่ง ชุดหนึ่งไม่เกินสิบลูก วางไว้ในความเป็นจริง ก็คือสามเดือนกว่าตนถึงจะได้ระเบิดสะท้านฟ้าหลายสิบลูก
ปกติยามบำเพ็ญเพียรสะสมนานวันเข้าปริมาณก็ยังนับว่าน่าดูชม ทว่าหากอยู่ในสนามรบจริงๆ แล้ว ไม่พอใช้เอาเสียเลย
สิ่งอื่นเช่นผงเปลี่ยนร่าง ดอกตะกละประเภทนี้เพียงแต่อาศัยจังหวะ เจอยอดฝีมือเข้าจริงๆ กลับยากจะใช้ประโยชน์ได้
พูดไปพูดมา เถาวัลย์แม้เป็นวิธีเสริม กลับยังคงต้องพึ่งพา
นอกจากพวกนี้ มั่วชิงเฉินยังมีไม้ตายอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา การจู่โจมจิตตระหนักสามารถพูดได้ว่าเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายที่สุดอีกทั้งพลังทำลายล้างมหาศาล
จัดแจงพวกนี้เสร็จ มั่วชิงเฉินตัดสินใจเน้นฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาเป็นหลัก
เพียงแต่น่าเสียดายยามที่ฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาถึงพบว่าความเร็วและผลของการฝึกเทียบกับในหุบเขาไร้วิญญาณแล้วช่างต่างกันราวฟ้าดิน เกรงว่าหากนางฝึกอยู่ข้างนอกตลอด คิดจะกว่าจะมีความสำเร็จเช่นยามนี้อย่างน้อยต้องฝึกสักหลายสิบปี
ก็เป็นเช่นนี้ นอกจากสิบวันให้หลังพิธีฉลองก่อแก่นปราณที่จัดให้เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินแทบจะไม่ออกจากเขาป่าไผ่แม้สักก้าวเดียว กลางคืนฝึกเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ กลางวันก็ฝึกเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เวลาสองปีผ่านไปในพริบตา
ในวันนี้ นางเพิ่งสิ้นสุดการฝึกเคล็ดวิชากระบี่ กำลังเช็ดกระบี่ชิงมู่เบาๆ จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ส่งมาจากนอกป่าไผ่ จากนั้นสารวิญญาณสายหนึ่งส่งมา ที่แท้ศิษย์ผู้ดูแลมีเรื่องแจ้ง
มั่วชิงเฉินปลดเขตอาคมออกปล่อยศิษย์ผู้ดูแลเข้ามา
ศิษย์พี่มั่ว” ศิษย์ผู้ดูแลเห็นมั่วชิงเฉิน แล้วคารวะอย่างนอบน้อม
“ไม่ทราบศิษย์น้องผู้ดูแลมีเรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินถามเสียงใส จนกระทั่งยามนี้นางถึงพบว่าท่าทีของศิษย์ในสำนักที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายต่างจากระยะต้น กลางอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ก่อนศิษย์ที่รับหน้าที่ผู้ดูแลพวกนี้พบนาง ต่อให้นางเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็จะไม่เกรงใจเช่นนี้ พูดถึงที่สุด โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรยังคงเป็นโลกที่นับถือพลังความสามารถเป็นใหญ่
“ศิษย์พี่มั่ว ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักเรียกท่านไปสักครา” ศิษย์ผู้ดูแลเอ่ย
มั่วชิงเฉินใจเต้น หรือว่าในสำนักจะส่งศิษย์ไปสนามรบด้านตะวันตกอีกแล้ว?
นึกถึงตรงนี้จึงพูดกับเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งว่า “พวกเจ้าสองคนดูแลเขาป่าไผ่ให้ดี ข้าตามศิษย์น้องผู้นี้ไปเขาโฮ่วเต๋อแล้ว”
ถึงตำหนักใหญ่เขาโฮ่วเต๋อ ในตำหนักมีผู้บำเพ็ญเพียรยืนอยู่ไม่น้อยแล้วจริงๆ ต้วนชิงเกอก็อยู่ในนั้นอย่างสะดุดตา
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าดูท่าที่คาดไว้ไม่ผิดแล้ว ที่เรียกทุกคนมาครั้งนี้ ต้องไปสำนักลั่วสยาอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
“ศิษย์หลานชิงเฉินเอ๋ยเจ้ามาแล้ว” นักพรตฟางเหยาเห็นมั่วชิงเฉินเพิ่งก้าวเข้ามา ก็อมยิ้มทักทาย
ก็ไม่ต้องตำหนิที่นักพรตฟางเหยามีท่าทีเช่นนี้ ด้วยอายุของมั่วชิงเฉินได้เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย เทียบกับเยี่ยเทียนหยวนในปีนั้นยังเร็วกว่าสักหน่อย เมื่อเวลาผ่านไป เหยากวงจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“คารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก อาจารย์ลุงอาจารย์อาทุกท่าน” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างนอบน้อม
แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ศิษย์หลานชิงเฉินมาดใหญ่โตจริงๆ มาเป็นคนสุดท้าย ให้อาจารย์ลุงอาจารย์อาอย่างพวกเรานี้ยืนจนขาชาหมดแล้ว”
ไม่ต้องเงยหน้า มั่วชิงเฉินก็จำได้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร จึงขี้เกียจเงยหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป ก้มหน้าลงต่ำโดยตรงว่า “ที่อาจารย์ลุงซานอินกล่าวมาทำให้ศิษย์ยำเกรงยิ่งนัก หากอาจารย์ลุงขาชาแล้ว ศิษย์กลับเตรียมยาแปะสำหรับรักษาขาชาโดยเฉพาะ ไม่ทราบอาจารย์ลุงจะแปะสักหน่อยหรือไม่”
“ฮึ!” นักพรตซานอินฮึเสียงเย็นว่า แล้วสะบัดแขนเสื้อไม่เปิดปากอีก
นักพรตฟางเหยาแอบส่ายศีรษะ เอ่ยออกเสียงว่า “วันนี้ที่เรียกทุกท่านมา ยังคงเพราะศึกเต๋ามารทางด้านตะวันตก บัดนี้ทางนั้นส่งข่าวมาอีก สถานการณ์นับวันยิ่งรุนแรง ในสำนักตัดสินใจส่งศิษย์ไปอีกกลุ่มหนึ่ง หลายปีมานี้พวกเราเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแปดท่านเข้าร่วมศึกที่สำนักลั่วสยาติดๆ กัน ดังนั้นครั้งนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจึงส่งไปสองคน” พูดถึงตรงนี้กวาดมองทุกคน เอ่ยต่อว่า “ท่านผู้เฒ่าซานอินและท่านผู้เฒ่าหานจางก็คือผู้นำทีมเอกและรองของครั้งนี้ ศิษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้เฒ่าทั้งสองท่าน ไปถึงสำนักลั่วสยาอย่างราบรื่น”
ฟังถือตรงนี้ มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง แล้วอดยิ้มระทมไม่ได้ นี่ช่างเป็นปีที่ดวงตกจริงๆ ทั่วทั้งพรรคเหยากวงก็ล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน ก็คือสองท่านนี้แหละ!
ต้วนชิงเกอกระอักกระอ่วนเช่นกัน ทายาทของนักพรตซานอินเถียนหยวน แม้ไม่ได้ถูกนางฆ่า แต่กลับเพราะตื้อนางจึงพบเข้ากับมั่วชิงเฉิน หลายปีมานี้ทุกครั้งที่นักพรตซานอินพบนางแม้ไม่ได้พูดมาก นางกลับสังเกตได้อย่างเฉียบไวถึงความไม่พอใจของท่านผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณท่านนี้ที่มีต่อนาง
ส่วนอีกท่านหนึ่งท่านผู้เฒ่าหานจาง ก็ยิ่งทำให้นางกระอักกระอ่วนแล้ว คนผู้นี้ก็คือคนที่ลักพาตัวนางไปที่พำนักคิดจะให้นางเป็นหรูติ่งในปีนั้น
พี่น้องคู่ทุกข์คู่ยากนะ! มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอนึกถึงอย่างใจตรงกัน
“น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์อา (ลุง) เจ้าสำนัก” ศิษย์ทุกคนรับอย่างนอบน้อม คนไม่น้อยกลับอารมณ์พลุ่งพล่าน ต้องรู้ว่าศึกเต๋ามารแม้โหดร้าย กลับเป็นที่ที่ดีในการเพิ่มความรู้ ขัดเกลาตนเอง
ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นพวกเขา โดยเฉพาะศิษย์หัวกะทิ ตั้งแต่เด็กก็ไม่ขาดโอสถหินวิญญาณ สิ่งที่ขาดกลับเป็นโอกาสวาสนาต่างๆ ในการฝึกฝน
ในยามนี้เอง คนคนหนึ่งเดินเข้ามา
เมื่อนักพรตฟางเหยาเงยหน้าดู ก็อดชะงักไม่ได้ ออกเสียงถามว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง เจ้านี่คือ…”
แล้วก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างสงบว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ลั่วหยางอยากเข้าร่วมศึกครั้งนี้”