มั่วชิงเฉินนึกไม่ถึงว่า สมบัติวิเศษเหินหาวของผู้เฒ่าซานอินจะเป็นแส้ขนหางจามรีขาวดุจหิมะอันหนึ่ง แม้ด้วยนิสัยของเขาใช้แส้ขนหางจามรีให้ความรู้สึกประหลาดมาก ทว่าจับคู่กับคิ้วยาวขาวสะอาดดุจหิมะของเขาแล้ว ก็ขับกันได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
“ทุกคนขึ้นมาเถอะ” นักพรตซานอินกวาดมองทุกคนอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ศิษย์ที่ออกเดินทางครั้งนี้นอกจากผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณสามท่าน ก็คือศิษย์ระดับสร้างรากฐานทั้งหมด ระดับสร้างรากฐานระยะต้นและกลางมีเกือบร้อยคน ระยะหลังกลับไม่ถึงสิบคน
มั่วชิงเฉินแอบนับๆ ดูแล้ว หากเป็นเช่นนี้ละก็ ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่เหยากวงส่งออกมาทั้งหมดมีสองร้อยกว่าคนแล้ว บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสิบเอ็ดท่าน ต่อให้เป็นสำนักขนาดกลางก็มีคนประมาณนี้เอง ก็ไม่รู้ว่าแดนสวรรค์มี่หลัวตูมีอะไรวิเศษ คุ้มค่าให้สำนักใหญ่เช่นเหยากวงลงทุนถึงเพียงนี้ คนตาดีล้วนรู้ว่าสี่สำนักแปดนิกายเป็นดังพี่น้องแต่กลับเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยอย่างทุ่มสุดตัวเช่นนี้ พูดถึงที่สุดแล้วก็ยังคงเพราะผลประโยชน์นั่นเอง
“ศิษย์หลานมั่ว เจ้ายังเซ่อทำอะไรอยู่ หรือว่าไม่เต็มใจไป?” เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน นักพรตซานอินถามเสียงเย็น
เยี่ยเทียนหยวนมองไปที่นักพรตซานอินว่า “ศิษย์พี่ซานอิน ให้ศิษย์หลานมั่วนั่งสมบัติวิเศษเหินหาวของข้าเถอะ” พูดพลางโยนใบไม้สีเขียวมรกตใบหนึ่งออกไปบนฟ้า ใบไม้ใบนั้นยิ่งโตยิ่งใหญ่ โตถึงขนาดเท่าห้องห้องหนึ่งเต็มๆ ถึงหยุดลง เส้นใยชัดเจน กระทั่งสามารถเห็นขนอ่อนสีเขียวที่นุ่มละเอียด
อาวุธเวทเหินหาวที่เยี่ยเทียนหยวนใช้ในระดับสร้างรากฐานก็เป็นรูปใบไม้เช่นกัน ยามที่เขาเตรียมตัวก่อแก่นปราณเสวียนหั่วเจินจวินก็เริ่มรวบรวมวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับหลอมสมบัติวิเศษเหินหาวแล้ว รอเขาก่อแก่นปราณสำเร็จก็มอบวัตถุดิบพวกนั้นแก่เขา คิดไม่ถึงว่าเขากลับมีนิสัยระลึกถึงสิ่งเก่าๆ สุดท้ายสมบัติวิเศษเหินหาวที่หลอมออกมา ยังคงหน้าตาเช่นนี้
“ขอบคุณอาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินหลังจากเอ่ยขอบคุณ ก็ลากต้วนชิงเกอกระโดดขึ้นไปท่ามกลางสายตาเผ็ดร้อนของทุกคน
เช่นนี้แม้กระพือไฟซุบซิบของคนไม่น้อยขึ้น อย่างไรเสียก็ดีกว่านั่งสมบัติวิเศษเหินหาวของนักพรตซานอินมาก เขาในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ หากระหว่างทางใช้แผนร้ายอะไรก็พอให้ตนเหลือทนแล้ว
คิดไม่ถึงว่าสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนนั่งขึ้นมานิ่มนวลกำลังดี ไม่คิดว่าจะยังสบายกว่าเตียงทั่วไปอีก มั่วชิงเฉินอดพิจารณาสมบัติวิเศษอย่างประหลาดใจปราดหนึ่งไม่ได้ ถึงพบว่าที่สบายเช่นนี้ก็เพราะความดีความชอบของขนอ่อนนุ่มละเอียดพวกนั้น
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านิสัยสันโดษเช่นเขาสามารถหลอมสมบัติวิเศษเช่นนี้ออกมาได้
เยี่ยเทียนหยวนรับรู้ได้ถึงสายตาของมั่วชิงเฉิน กลับหันหน้าไป ดูเหมือนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วอดเร่งความเร็วสมบัติวิเศษเหินหาวที่นั่งอยู่ขึ้นไม่ได้
พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว การเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว มั่วชิงเฉินแอบทอดถอนใจว่าความเร็วในการเดินทางของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต้องเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมากเลย นี่ขนาดพาพวกเขามามากถึงเพียงนี้ หากไม่เช่นนั้น เกรงว่ายามนี้คงถึงแล้ว
“ชิงเฉิน” จู่ๆ ต้วนชิงเกอก็เรียกออกเสียง
มั่วชิงเฉินมองข้ามมา
ต้วนชิงเกอตบๆ สมบัติวิเศษเหินหาวที่นั่งอยู่ ถอนใจว่า “สมบัติวิเศษเหินหาวที่สบายเช่นนี้ ข้าเพิ่งเคยนั่งเป็นครั้งแรก นั่งอยู่บนนี้จนไม่อยากคิดถึงจุดมุ่งหมายอะไรแล้ว รู้สึกเพียงว่าการตะลอนไปในฟ้าดินเช่นนี้ ช่างเป็นความสุขของชีวิตจริงๆ”
“ใช่” มั่วชิงเฉินรู้สึกเช่นเดียวกัน
ต้วนชิงเกอมองมั่วชิงเฉินอย่างซุกซนปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่าพวกเราถึงสำนักลั่วสยาเช่นนี้ ถูกหรวนหลิงซิ่งเห็นเข้า นางจะเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง ผู้หญิงเจ้าปัญหาคนนั้น ไยนางถึงลืมได้นะ เกรงว่าไปครั้งนี้ ต้องสับสนอลหม่านอีกเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้จึงอดกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งไม่ได้ แล้วถอนใจ
“ช่างนางเป็นเช่นไร หากนางไม่คำนึงถึงอะไรจริงๆ ข้าก็ไม่กลัวนาง” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็น
ในยามนี้เองจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรง มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นทันที
บนฟ้าที่อยู่ควันดำโขมงขึ้นมาทันที เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรลอยมารางๆ จากในกลุ่มควันเข้ม
มั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ ไม่คิดว่าจะไม่เห็นคนอื่นแล้ว หมอกควันสีดำคละคลุ้งห้อมล้อมอยู่รอบตัว ดูเหมือนโบกอย่างไรก็ไม่หายไป
ผิดปกติ ตนฝึกสายตามาตั้งแต่เล็ก ต่อมาก็หยดของเหลวในตาของอสูรปลาขั้นห้าอีก หมอกหนาธรรมดา ไม่มีเหตุผลที่จะมองไม่ชัดเจน
มั่วชิงเฉินแอบตกใจสงสัย หรือว่าหมอกหนานี้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็มองไม่ทะลุ หรือว่า นี่คือภาพลวงตาที่แยบยล?
คิดได้เช่นนี้ นางระแวดระวังไปพลางเดินหน้าอย่างหยั่งเชิงไปพลาง
สัมผัสที่ส่งผ่านมาจากใต้เท้าทำให้นางแน่ใจว่าไม่ใช่ความรู้สึกของการเหยียบอยู่บนสมบัติวิเศษเหินหาวของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกเขาถูกย้ายที่ในชั่วอึดใจ?
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินยิ่งกลัวคือ ยามเพิ่งเริ่มในหมอกหนายังมีเสียงร้องของผู้บำเพ็ญเพียรดังมารางๆ ทว่าบัดนี้ กลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ แล้ว
“ชิงเกอ…” มั่วชิงเฉินลองเรียกหยั่งเชิงดู
เสียงนี้ดูเหมือนถูกกักอยู่ในหมอกหนาส่งออกไปไม่ได้ เพียงแต่มีเสียงสะท้อนดังขึ้นเป็นระลอก
มั่วชิงเฉินหุบปากทันที ยกมือขึ้นส่งยันต์ส่งสารออกไปแผ่นหนึ่ง
ยันต์ส่งสารตกจากกลางอากาศกลับเข้ามือมั่วชิงเฉิน มืดมนไร้แสง
ยันต์ส่งสารก็ส่งไม่ได้!
ในยามนี้ มือใหญ่สีดำข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นออกมาจากในหมอกดำที่ควันหนาคละคลุ้ง จับไปที่ข้อเท้าของมั่วชิงเฉินอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นโดยพลัน หมุนตัวอยู่กลางอากาศหลายตลบ ชุดกระโปรงสีเขียวปลิวตาม สองมือถือกระบี่ชิงมู่แทงลงล่างไป กระบี่ยาวแทนถึงมือใหญ่สีดำ มือใหญ่นั่นสั่นไปมา กลายเป็นควันดำสลายเข้าไปในหมอกหนา
มั่วชิงเฉินขวางกระบี่ไว้ที่หน้าอกร่อนลงพื้นเงียบๆ พื้นที่เหยียบอยู่กลับจู่ๆ ก็ขยับ ร่างกายโคลงเคลงขึ้นมาทันที นางมือไวตาเร็วใช้กระบี่ยาวแตะพื้น จากนั้นเท้าสองข้างห่างจากพื้นลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองลงล่างไป ถึงได้พบว่าพื้นนั่นใช่พื้นดินอะไรที่ไหน นั่นเป็นหลังของคางคกยักษ์ตัวหนึ่งชัดๆ
คางคกตัวนั้นยกหัวขึ้นช้าๆ ท้องพองออก ตาจ้องมั่วชิงเฉินไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ ในตากลับฉายกลิ่นอายแห่งความตาย
มั่วชิงเฉินจ้องท้องที่พองกลมของคางคก ในใจรู้สึกหนาวจับใจ ทันใดนั้นไม่กล้าลงพื้นอีก ยืนอยู่กลางอากาศ
ในเวลานี้เองจู่ๆ เสียงแว้ดๆ ของอีกาไฟก็ดังขึ้น ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่คางคกโดยพลัน
“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินร้องด้วยความตกใจ อีกาไฟอยู่ในถุงอสูรวิญญาณตลอดเวลา ไม่คิดว่าจะพุ่งออกมาโดยตรงโดยที่ตนไม่ได้เรียก นี่ยังเป็นครั้งแรก
ฉากต่อจากนั้นยิ่งทำให้มั่วชิงเฉินตกตะลึง ก็เห็นอีกาไฟบินวนคางคกไปมา และจิกคางคกเป็นระยะเหมือนไก่ชน
ส่วนคางคกก็ยื่นลิ้นยาวๆ กวาดไปกวาดมา บนลิ้นเต็มไปด้วยหนามแหลม ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าหากถูกกวาดถูก ต้องถูกลอกหนังออกมาชั้นหนึ่งเป็นแน่
ในชั่วขณะหนึ่ง อีกาไฟและคางคกดำยิ่งสู้ยิ่งสะใจ กลับเมินมั่วชิงเฉินไว้ข้างๆ เสียแล้ว
มั่วชิงเฉินเป็นห่วงอีกาไฟ สายตาจ้องพื้นตลอดเวลา กลับไม่เต็มใจรอเป็นฝ่ายถูกกระทำ จึงบินขึ้นฟ้าไปช้าๆ
บินถึงที่ที่สูงไม่ถึงสองจั้ง ทันใดนั้นลมปีศาจที่รุนแรงสายหนึ่งพัดมาเหนือศีรษะ พลังวิญญาณทั้งตัวถูกพัดหายไปกว่าครึ่งทันที นางตกใจรีบร่อนลงไป
แหงนหน้ามองเมฆดำบดบังตะวันเหนือศีรษะ สายตามั่วชิงเฉินมองไปที่อีกาไฟใหม่อีกครั้ง
ในเวลานี้การสู้กันของอีกาไฟและคางคกดำพอเห็นแพ้ชนะแล้ว อีกาไฟที่อยู่บนฟ้าได้เปรียบ ฉวยโอกาสยามที่คางคกดำเพิ่งหดลิ้นกลับไปพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่งในบัดดล ระหว่างที่คางคกดำกำลังสกัดก็เห็นอีกาไฟกางปีกสีดำออกกว้าง ยื่นกรงเล็บออกตะปบไปที่หนังท้องคางคกดำเหมือนเทพแห่งความตาย
คางคกดำแลบลิ้นออกต้านทันที ตะแคงตัวบดบังหนังท้องไว้ กลับคาดไม่ถึงว่าอีกาไฟใช้แผนหลอก กรงเล็บตะปบหนังท้องเป็นท่าหลอก ปากจิกไปที่ตาคางคกดำถึงเป็นของจริง
แล้วก็ได้ยินเสียง ‘แกร๊บ’ อย่างอนาถเสียงหนึ่ง คางคกดำหงายหลังลงพื้นทันทีเจ็บจนชักกระตุกไม่หยุด ท่ามกลางความโกรธแค้นจึงม้วนลิ้นยาวๆ ขึ้นทันทีกวาดไปทางอีกาไฟอย่างดุดัน
อีกาไฟถูกกวาดขนสีดำร่วงลงมาหลายเส้น ตรงนั้นโล้นเลี่ยนทันที ไม่คิดว่ามันกลับไม่ร้องสักแอะ กรงเล็บสองข้างกดหนังท้องคางคกดำไว้แน่น ปากจิกตาคางคกดำไม่หยุด กินจนเสียงดังชู่ว์ๆ
มั่วชิงเฉินมองเงียบๆ ไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง อีกาไฟนับแต่ติดตามนาง เหนือใต้ออกตกเดินทางไปสถานที่ไม่น้อย กลับหาน้อยที่จะเห็นมันมีเวลาที่แข็งกร้าวเช่นนี้
ไม่ว่าใครก็เติบโตแทนกันไม่ได้ อสูรวิญญาณก็เช่นกัน
อย่างรวดเร็ว ตาสองข้างของคางคกดำก็ถูกกินจนเหลือหลุมดำสองหลุม อีกาไฟเช็ดปาก แล้วบินไปที่หัวไหล่ของมั่วชิงเฉินอย่างดีอกดีใจ
สายตามั่วชิงเฉินตกลงตรงที่อีกาไฟขนร่วง มันถึงได้ตกใจร้อง ‘แว้ด’ แล้วโวยวายว่า “ไม่คิดว่า ไม่คิดว่าจะทำขนอันสวยงามของข้าร่วง ช่างไม่รู้จักถนอมอิสตรีเสียเลย! ฮึ สบายมันไปแล้วจริงๆ! ถุย!”
เห็นอีกาไฟอ้าปากถ่มน้ำลายไปที่คางคกดำที่หนังท้องหงายขึ้นสี่ขาชี้ฟ้า มั่วชิงเฉินคิดอะไรขึ้นได้ เปิดปากว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าไปแหวกหนังท้องมันดูหน่อย”
“แว้ดๆ” อีกาไฟเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
“รีบไป” มั่วชิงเฉินเร่งเร้าว่า
อีกาไฟบินร่อนลงไปอย่างไม่เต็มใจ ยื่นกรงเล็บกรีดที่หนังท้องสีขาวของคางคกดำทีหนึ่ง
เสียงเนื้อหนังถูกกรีดออกลอยมา ชายเสื้อสีเขียวโผล่ออกมามุมหนึ่ง
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสี รีบร่อนลงไปทันที เท้าไม่แตะพื้น แล้วใช้กระบี่ยาวกรีดท้องคางคกดำออกจนหมด
ร่างคนที่สมบูรณ์ร่างหนึ่งกลิ้งออกมา เสื้อผ้าที่ใส่บนตัวเป็นชุดสำนักเหยากวงอย่างโดดเด่น
มั่วชิงเฉินไม่ต้องตรวจสอบ ก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา เกรงว่าจะตายไปนานแล้ว
นี่เป็นใบหน้าที่ดูแล้วยังหนุ่มมาก ชุดเขียวขอบดำแสดงให้เห็นถึงฐานะศิษย์ในสำนักของเขา
นางไม่รู้จักคนผู้นี้ กลับรู้สึกหน้าคุ้น อาจเพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังเรียกตนว่าศิษย์พี่มาก่อน เป็นคนหนุ่มธรรมดาที่พูดถึงศิษย์หญิงที่งดงามในสำนักอย่างกระชุ่มกระชวยเหมือนคนอื่น อยู่ในวัยกำลังสดใส อนาคตไร้ขอบเขต ทว่าบัดนี้กลับต้องฝังตัวในท้องคางคกตัวหนึ่ง
ยังไม่ได้ก้าวเข้าสนามรบ บทโหมโรงก็เปิดฉากขึ้นแล้ว ความโหดร้ายของมัน ก็อวดมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งต่อหน้าผู้คนทั้งเช่นนี้
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น หยิบถุงเก็บวัตถุบนศพมา จากนั้นเก็บศพเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ รอเรื่องจบแล้วค่อยมอบถุงเก็บวัตถุนี้ให้สำนักแล้วกัน
“เจ้านาย เราไปเถอะ” อีกาไฟกลับไม่มีความรู้สึกร่วมพวกนี้ เอ่ยอย่างคึกคักว่า
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “ที่นี่ปกคลุมไปด้วยควันดำรอบด้าน ไม่รู้แอบซ่อนอันตรายไว้เท่าไร ไม่สู้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวดีกว่า”
อีกาไฟกลับทำหน้ามุ่ย “เจ้านาย ข้ายังกินไม่อิ่มเลยนะ!”
มั่วชิงเฉินกวาดมองอีกาไฟปราดหนึ่งว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าชอบกินตาของคางคกดำนี่หรือ?”
อีกาไฟพยักหน้าแรงๆ
“เพราะอะไร?”
อีกาไฟคิดๆ ดู เผยให้เห็นสายตาสับสนว่า “ข้าก็ไม่รู้ แค่อยากกิน”
มั่วชิงเฉินคิดขึ้นได้ การกินอาหารโดยสัญชาตญาณของอสูรปีศาจสามารถทำให้มันเลื่อนขั้นหรือได้พลังบางอย่างจากอาหาร หรือว่าอีกาไฟก็เป็นเช่นนี้?
เมื่อคิดเช่นนี้ จึงพยักหน้าว่า “เช่นนั้นได้ พวกเราไป!”