“แหม หรวนหลิงซิ่วจะหาเรื่องศิษย์พี่ (ศิษย์น้อง) มั่วอีกแล้ว ช่างไม่ลดละจริงๆ เลย!” ศิษย์เหยากวงทั้งหมดต่างคิดเงียบๆ
“เอ๊ะ ศิษย์หญิงของพรรคเหยากวงคนนี้คือใครน่ะ ไยถึงล่วงเกินคุณหนูใหญ่ได้ล่ะ จิ๊ๆ น่าสงสารจัง” ศิษย์ผู้ดูแลของสำนักลั่วสยาที่ยังไม่จากไปคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่ว่าฝ่ายไหน ล้วนหยุดเดินทั้งอย่างนั้น แล้วกลั้นใจมองดูฉากนี้
“หลิงซิ่ว เจ้าโวยวายจะไปหุบเขาลั่วสยา ยังไม่รีบไปบอกกล่าวเจ้าสำนักหรวนอีก หากเจ้าสำนักหรวนไม่เห็นด้วย ข้าก็ไม่มีวิธี” เสียงของนักพรตรั่วซีลอยมา
หรวนหลิงซิวถึงหยุดเดินอย่างโกรธเคือง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างดุดันแล้วบิดตัวเดินออกข้างนอกไป
“เฮ้อ” ศิษย์ไม่น้อยเปล่งเสียงทอดถอนใจอย่างผิดหวัง แล้วหมุนตัวเดินออกไป
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นเดินออกข้างนอกด้วยสีหน้าสงบ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ต้วนชิงเกอรีบตามขึ้นมา
“ชิงเฉิน ดูท่าทางวันหลังหรวนหลิงซิ่วต้องหาเรื่องเจ้าแน่นอน เจ้าต้องระวังตัวหน่อย” ต้วนชิงเกอเอ่ยเสียงต่ำ
มั่วชิงเฉินเม้มปาก เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ใครๆ ก็บอกว่าเป็นบุญไม่ใช่เคราะห์ เป็นเคราะห์หลบไม่พ้น หากนางจะหาเรื่องจริง เช่นนั้นข้าคอยรับก็แล้วกัน”
ไหนๆ พูดถึงพลังความสามารถที่แท้จริงแล้ว หรวนหลิงซิ่วสู้นางไม่ได้แน่นอน แม้ที่นี่เป็นถิ่นของหรวนหลิงซิ่ว ทว่าตนก็ไม่ใช่นางหนูน้อยที่เหมือนจอกแหนในยามนั้นอีกแล้ว
ทั้งสองคนเดินเตร็ดเตร่ในตลาดสำนักลั่วสยารอบใหญ่ ที่นี่ครึกครื้นไม่เป็นสองรองใครจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรเดินกันขวักไขว่ ของที่ขายก็ประหลาดหลากหลาย เพียงแต่เสียดายที่ไม่พบร่องรอยของไม้สะกดวิญญาณ มั่วชิงเฉินจึงได้แต่ซื้อยันต์ติดมือมาบ้าง
ในสนามรบ ยันต์ที่ต้องการพลังวิญญาณเพียงน้อยนิดก็กำราบศัตรูได้นั้นเป็นสินค้าขายดี
“ท่านเซียน ท่านดูสิยันต์นี้เป็นเช่นไรบ้าง?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่วางแผงขายยันต์เห็นมั่วชิงเฉินมือเติบ จึงหยิบยันต์สองใบออกมาจากถุงใบหนึ่งอย่างระมัดระวัง กอบไว้ให้มั่วชิงเฉินดูอย่างเห็นค่า
มั่วชิงเฉินกวาดมองปราดหนึ่ง นี่คือยันต์ขาวดุจหิมะสองใบ บนนั้นมีลายยันต์รูปเกล็ดหิมะสีเขียวอ่อน จึงถามอย่างสงสัยเล็กน้อยว่า “นี่คือ…ยันต์กระสุนน้ำแข็ง?”
คนถนัดกันคนละด้าน ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรคิดจะช่ำชองวิชาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากมาก หลอมโอสถ หลอมอาวุธ วาดยันต์ ค่ายกล ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งหากมีวิชาที่อวดสายตาได้สักวิชาหนึ่งก็พอให้ภาคภูมิใจแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนมีความรู้แค่ผิวเผินต่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น
ความเข้าใจต่อยันต์ของมั่วชิงเฉินก็นับว่าไม่มาก จู่ๆ เห็นยันต์นี้แล้วก็รู้สึกว่าคล้ายยันต์กระสุนน้ำแข็งมาก ทว่าบนยันต์กระสุนน้ำแข็งกลับไม่มีเกล็ดหิมะสีเขียวอ่อน ถึงได้สงสัยขึ้นมา
“ท่านเซียนสายตาดี…” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์ชมว่า จากนั้นกลับเปลี่ยนน้ำเสียงทันทีว่า “ทว่ายันต์นี้กลับไม่ใช่ยันต์กระสุนน้ำแข็ง”
เห็นท่าทางแสร้งปล่อยเพื่อจับของผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ ต้วนชิงเกอขมวดคิ้วว่า “สหายเต๋า เรายังต้องเร่งเวลา วันหลังค่อยมาซื้อยันต์ที่เจ้านี่” พูดพลางลากมั่วชิงเฉินก็จะจากไป
นางและมั่วชิงเฉินล้วนไม่ใช่คนถนัดใช้ยันต์โจมตี เห็นท่าทีเช่นนี้ของคนคนนี้ คิดจะหลอกกันเพราะเห็นพวกนางใช้จ่ายมือเติบชัดๆ
มั่วชิงเฉินกลับเกิดสนใจยันต์นี้ขึ้นมา นางก้าวเข้าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมาหลายปีถึงเพียงนี้ ยันต์ที่ใช้ไม่นับว่ามากทว่าที่เคยเห็นกลับไม่น้อย ยันต์หน้าตาเช่นนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน
บางเวลาเข้าใจเรื่องที่ไม่รู้มากขึ้นส่วนหนึ่งก็มีทุนในการรักษาชีวิตเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ยันต์นี้ขอเพียงราคาไม่แพงจนผิดปกติ นางตัดสินใจซื้อไว้
แน่นอนแม้นางตัดสินใจซื้อไว้ กลับไม่เต็มใจถูกคนเห็นเป็นหมูหาม จึงยิ้มร่าทันทีว่า “สหายเต๋า พวกเราเร่งเวลาจริงๆ ทว่านะ ข้ารู้สึกแปลกใจต่อยันต์ของเจ้านี่ทีเดียว เจ้าเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่ หากรู้สึกว่าจำเป็น ไม่แน่ข้าก็จะซื้อไว้”
เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มหวานดุจบุปผา ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ก็แย้มยิ้มออกมา “ท่านเซียนต้องรุดไปเข้าร่วมศึกแน่นอนเลยกระมัง เช่นนั้นท่านก็ยิ่งต้องการยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่แล้ว”
“ยันต์ใจผนึกน้ำแข็ง?” พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ยันต์นี้พวกนางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ยิ้มอย่างได้ใจว่า “ท่านเซียนทั้งสองคงต้องมาสำนักลั่วสยาของเราเป็นครั้งแรกสินะ ยังไม่รู้ว่ายันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่เป็นยันต์เฉพาะตัวของท่านเซียนน้ำแข็งแห่งสำนักลั่วสยาเรา”
มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมา ไม่รู้เพราะเหตุใดก็นึกถึงมั่วเฟยเยียนขึ้นมา
ตั้งแต่ที่รู้ว่าจะมาสำนักลั่วสยา นางก็แอบเดาอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้พบพี่เก้ามั่วเฟยเยียนหรือไม่ เมื่อสองคนพบหน้ากันจะเป็นฉากเช่นไรอีก ทว่าเมื่อคืนสามคนคุยกัน ยามที่ฟังมั่วหลีลั่วแนะนำเหตุการณ์ทางนี้ได้ลองถามดูทีหนึ่ง ไม่คิดว่ามั่วหลีลั่วกลับบอกว่าไม่เคยได้ยินว่าสำนักลั่วสยามีผู้บำเพ็ญเพียรที่ชื่อมั่วเฟยเยียน
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายมั่วชิงเฉินมาก สันนิษฐานตามเหตุผลทั่วไปแล้ว มั่วเฟยเยียนมีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน แม้พรสวรรค์สู้รากวิญญาณฟ้าไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันสักเท่าไร อยู่ในสำนักลั่วสยาอย่างไรก็ไม่ควรเป็นบทบาทที่เงียบไม่มีใครพูดถึงนี่นา
ถ้ามั่วหลีลั่วมาตั้งหลายปีแล้วยังไม่เคยได้ยิน หรือว่าหลายปีมานี้นางไม่อยู่ในสำนักลั่วสยา กระทั่งไม่ได้เติบใหญ่อย่างราบรื่น?
การคาดเดานี้ทำให้มั่วชิงเฉินใส่ใจขึ้นมา ยามนี้ได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์พูดถึง ‘เซียนน้ำแข็ง’ ก็นึกถึงมั่วเฟยเยียนขึ้นทันที จึงรีบถามว่า “เซียนน้ำแข็งคือผู้ใด?”
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์เผยสีหน้าภูมิใจ อ้าปากว่า “ท่านเซียนน้ำแข็งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าเฮ่าเย่ว์ บัดนี้เพียงสี่สิบหกปีก็มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว นี่อย่าว่าแต่ในสำนักลั่วสยาของเราเลย ต่อให้มองหาทั่วดินแดนเทียนหยวน คนที่พอสูสีเกรงว่าก็มีไม่กี่คน”
มั่วชิงเฉินได้ยินว่าเซียนน้ำแข็งอายุสี่สิบหกปีก็ยิ่งแน่ใจว่าคือมั่วเฟยเยียนอย่างไม่ต้องสงสัย มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีอายุเท่ากัน มากกว่าตนสี่ปีพอดี จึงรีบถามว่า “เซียนน้ำแข็งคนนั้นชื่ออะไรน่ะ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์กวาดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างแปลกใจว่า “ชื่ออะไรข้าก็ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าบัดนี้ทุกคนต่างเรียกนางว่าเซียนน้ำแข็ง เพียงเพราะเซียนน้ำแข็งมีรากวิญญาณน้ำแข็งแปรผัน ยิ่งคิดค้นยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี้แต่ผู้เดียว ท่านเซียน ท่านอย่าเห็นว่ายันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี่เป็นเพียงยันต์ระดับกลางชั้นสูง ข้างในกลับผนึกพลังวิญญาณน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเซียนน้ำแข็งไว้ อานุภาพมหาศาล ครั้งนี้ท่านออกศึกซื้อไว้ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เอ่อ เท่าไร?” มั่วชิงเฉินรู้ว่ามั่วเฟยเยียนสบายดี จึงโล่งอก แล้วติดปากถามว่า
“ยันต์หนึ่งใบหินวิญญาณร้อยก้อน” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ขายยันต์ยิ้มตาหยีแล้วยื่นนิ้วมือออกมานิ้วหนึ่ง
“อะไรนะ?” ต้วนชิงเกอหน้าเปลี่ยนสี ลากมั่วชิงเฉินก็จะจากไป
ยันต์ธรรมดาก็แค่หินวิญญาณไม่เกินสองสามก้อน ยันต์นี้ต่อให้แตกหน่อมาจากยันต์กระสุนน้ำแข็ง ราคาก็ไม่ควรสูงผิดปกติเช่นนี้ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธเวทระดับล่างได้ชิ้นหนึ่งแล้ว
ต้องรู้ว่าอาวุธเวทชิ้นนี้สามารถให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งใช้ได้หลายสิบปี ทว่ายันต์ใบหนึ่งโยนออกไปก็หมดแล้ว คนคนนี้เห็นมั่วชิงเฉินแสดงท่าทางสนใจ ถึงได้โก่งราคาชัดๆ
“ชิงเกอ เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า จากนั้นพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์ว่า “สหายเต๋า หินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนหนึ่งใบ อย่าบอกนะว่าเจ้าขายยันต์เป็นอาวุธเวทน่ะ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรขายยันต์รีบเอ่ยว่า “ท่านเซียน ข้าไม่ได้โก่งราคาจริงๆ ยันต์ใจผนึกน้ำแข็งนี้ท่านลองใช้สักครั้งก็จะรู้ถึงอานุภาพแล้ว ไม่เสียดายหินวิญญาณร้อยก้อนนี้แม้แต่น้อย ต้องรู้ว่าตั้งแต่ศึกเต๋ามารเป็นต้นมา หาน้อยมากที่เซียนน้ำแข็งจะมาขายยันต์ใจผนึกน้ำแข็งที่ตลาดนี่อีกแล้ว นี่ยังเป็นของที่ข้าแย่งมาได้เมื่อนานมากมาแล้ว หากไม่เพราะสามวันให้หลังถูกส่งไปเข้าร่วมศึก จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณ จะไม่ยอมขายออกไปเด็ดขาด”
จริงก็ดีปลอมก็ดี หินวิญญาณสองร้อยก้อนซื้อยันต์พิเศษนี่ไว้ ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่คนคนนี้นำข่าวมั่วเฟยเยียนมาให้แล้วกัน มั่วชิงเฉินขี้เกียจต่อรองราคาอีก จึงซื้อขึ้นมาอย่างไม่เงียบๆ แล้วลากต้วนชิงเกอหันหลังจากไป
“ชิงเฉิน เจ้าใช้หินวิญญาณมากมายปานนั้นซื้อยันต์จริงหรือนี่” ต้วนชิงเกอต่อว่าว่า
ศิษย์ก้นกุฏิเช่นพวกนางนี้หินวิญญาณที่ได้รับแจกทุกปีแม้มากกว่าศิษย์ทั่วไปมาก ทว่าเอามาใช้ในการบำเพ็ญเพียรกลับยังไม่พอ ต่อให้มีอาจารย์คอยสนับสนุนก็จำเป็นต้องมีรายได้ทางอื่นเพื่อดำรงการบำเพ็ญเพียร แหล่งที่มาของรายได้ของผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนมาจากการเข้าร่วมภารกิจ เช่นต้วนชิงเกอ แน่นอนเมื่อการรักษาของนางพอประสบความสำเร็จ นานๆ ทีก็รักษาให้ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนเพื่อแลกหินวิญญาณ
หินวิญญาณสองร้อยก้อนแม้ไม่นับว่ามาก ทว่าเพียงแค่ซื้อยันต์สองใบ กลับฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว
“ชิงเฉิน บัดนี้ข้าได้รับรู้ถึงความร่ำรวยของนักหลอมโอสถแล้ว รู้แต่แรกข้าก็จะไปฝึกหลอมโอสถด้วย” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินยิ้มอ่อนไม่พูดไม่จาตลอดเวลา ถอนใจว่า
มั่วชิงเฉินตั้งแต่ถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย แม้ออกไปข้างนอกน้อยมาก กลับปล่อยข่าวที่หลอมโอสถเป็นออกไปทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ นานๆ ทียังใช้ให้เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งไปขายโอสถบางส่วนที่ตลาดของสำนัก บัดนี้ศิษย์ไม่น้อยของเหยากวงต่างรู้ว่านางเหมือนอาจารย์ของนาง ไม่เพียงแต่พรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์แห่งการหลอมโอสถ เรียกได้ว่าอาจารย์เลื่องชื่อศิษย์เก่งกาจ
นี่กลับเป็นเรื่องที่มั่วชิงเฉินเจตนาให้เป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียนางก็ต้องหาวิธีหาหินวิญญาณที่สมเหตุผล ถึงไม่ถึงกับทำให้คนสงสัย บัดนี้ไม่เหมือนกับปีนั้นที่ยังต้องปิดบังว่าหลอมโอสถเป็น อย่างไรเสียต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรไหว้วานนางหลอมโอสถ นางในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายปฏิเสธไม่ให้คนมุงดูก็ไม่แปลกอะไร
มั่วชิงเฉินมองต้วนชิงเกอนิ่งปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ชิงเกอ ที่ข้าซื้อยันต์นี้แม้บอกว่าเพราะไม่เคยเห็นยันต์นี้มาก่อน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ที่สำคัญยิ่งกว่ากลับเป็นเพราะเซียนน้ำแข็ง”
“เซียนน้ำแข็ง?” ต้วนชิงเกอขมวดคิ้ว เมื่อครู่นางก็ดูออกว่ามั่วชิงเฉินสนใจเซียนน้ำแข็งที่คนคนนั้นพูดถึงทีเดียว ทว่าจากที่นางมองมา เซียนน้ำแข็งคนนั้นแม้พรสวรรค์โดดเด่น วางไว้ในเหยากวงกลับก็ไม่ใช่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่พูดถึงห่างไกล แม้แต่มั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงหน้าอายุในการเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายยังเร็วกว่านางหลายปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอายุในการก่อแก่นปราณของอาจารย์อาเหอกวงและอาจารย์อาลั่วหยางเลย
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “ชิงเกอ หากข้าเดาไม่ผิด เซียนน้ำแข็งคนนั้น…คือพี่เก้าข้า!”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าปิดบัง ยิ่งกว่านั้นขอเพียงมั่วเฟยเยียนอยู่ที่นี่ การที่ทั้งสองคนพบกันเป็นเรื่องช้าเร็ว ต้วนชิงเกอในฐานะสหายสนิทของตนช้าเร็วก็ต้องรู้
ต้วนชิงเกอกลับตกตะลึง ดวงตากระจ่างดุจผลซิ่งน้ำเบิกโพลงในทันใด “อะไรนะ เซียนน้ำแข็งคือพี่เก้าเจ้า?” นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
มั่วชิงเฉินเดินหน้าไปเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงเอ่ยว่า “ชิงเกอ ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดถึงกับเจ้ามาก่อน ที่จริงข้าก็มาจากตระกูลบำเพ็ญเพียรเล็กๆ เช่นกัน ในรุ่นของเรามีสิบหกคน เซียนน้ำแข็งน่าจะเป็นพี่เก้าของข้ามั่วเฟยเยียน ปีนั้นนางอายุสิบกว่าปีถูกเซียนเฮ่าเย่ว์แห่งสำนักลั่วสยารับไว้เป็นศิษย์แล้วพาไป”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ชิงเฉิน ในตระกูลเจ้าช่างมีอัจฉริยะมากมายจริงๆ” ต้วนชิงเกอถอนใจว่า กลับไม่ได้ถามมั่วชิงเฉินว่าต่อมาไยถึงเข้ามาเป็นศิษย์จิปาถะพรรคเหอกวง
ต้องรู้ว่าตระกูลบำเพ็ญเพียรทั่วไปแม้ใฝ่ฝันสำนักใหญ่ กลับไม่มีใครเต็มใจเข้าสำนักเพื่อเป็นศิษย์จิปาถะ ส่วนมั่วชิงเฉินปีนั้นเพียงแค่สิบสามปี เบื้องหลังจะไม่มีเรื่องอดีตที่ขมขื่นได้อย่างไร
ทั้งสองคนออกจากตลาดกำลังจะกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวจากไป จู่ๆ ในตลาดก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา จากนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยตะโกนว่า “เซียนน้ำแข็งมาแล้ว เซียนน้ำแข็งมาแล้ว”