มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที เสียงนี้นางจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือยายแก่ประหลาดที่เจอระหว่างทางไปสำนักลั่วสยาคนนั้นชัดๆ
ทีนี้แย่แล้ว ยายแก่คนนั้นมีตบะระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์เชียวนะ นักพรตชิวโฉวกลับอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางไม่มีค่าควรแก่การพูดถึงเลย
มาตามเสียงหัวเราะแสบแก้วหู พลานุภาพกล้าแกร่งสายหนึ่งกดมาที่ทุกคน
นักพรตชิวโฉวหน้าถอดสี ตะโกนเรียกว่า “ทุกคนต่างคนต่างหนี!” พูดพลางก้าวขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวหนีอย่างสุดกำลัง
ผู้บำเพ็ญเพียรบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณนั้นไม่ง่าย นักพรตชิวโฉวหนีเอาตัวรอดเช่นนี้กลับไม่นับว่าขายหน้า ยิ่งไม่มีทางถูกคนตำหนิ
พวกเขาคนมากถึงเพียงนี้ ต่อหน้าพลังเบ็ดเสร็จต่างคนต่างหนีเป็นวิธีที่ดีที่สุด มีเพียงวิธีนี้ จำนวนคนหนีรอดชีวิตถึงมากหน่อย หากดื้อด้านถึงที่สุด เช่นนั้นก็มีแต่ต้องตายหมด
ยิ่งกว่านั้นตามสิ่งที่ปฏิบัติกันมาตลอด ภายใต้สถานการณ์การหนีกระจัดกระจาย ฝ่ายศัตรูหากไล่ตามก็ต้องไล่ตามคนที่มีตบะสูงที่สุดของฝ่ายตน ดังนั้นการวิ่งหนีของนักพรตชิงโฉวในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ชิงเฉิน ไปกับข้า!” ต้วนชิงเกอรู้ว่ามั่วชิงเฉินร่างกายไม่ค่อยสบาย จึงรีบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวของตนแล้วลากมั่วชิงเฉินขึ้นไปหนีอย่างเต็มกำลัง
ใครจะรู้ว่าเรื่องน่าตกใจเกินขึ้นแล้ว ยายแก่นั่งแมงป่องที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนาทึบสีดำคนนั้นไล่ตรงมาตามทิศทางที่ต้วนชิงเกอหนีอย่างไม่คาดคิด ปากตะคอกว่า “ยัยเด็กบ้า เจ้ายังกล้าหนีอีก!”
มั่วชิงเฉินหน้าซีดเผือด เข้าใจทันทีว่าเรื่องอะไรแล้ว รีบว่า “ชิงเกอ เจ้ารีบปล่อยข้าลงมา!” ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้นางเดือดร้อนไปด้วยได้
ต้วนชิงเกอแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับเอ่ยเสียงเข้มว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าเหลวไหล จะหนีเราก็หนีด้วยกัน จะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน!”
เพิ่งสิ้นเสียงร่างก็ถูกมั่วชิงเฉินผลักจนเซทีหนึ่ง จากนั้นก็เห็นมั่วชิงเฉินกระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาวของนาง
“ชิงเฉิน…” ต้วนชิงเกอร้องเรียกเสียงแหลม กลับเห็นมั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นอาวุธเวทเหินหาวเหมือนไหมสีหิมะผืนหนึ่งหายไปไกลแล้ว ความเร็วที่น่าตกใจนั่นนางเทียบไม่ติดเลย
ต้วนชิงเกอโล่งอกเบาๆ ทว่าจากนั้นก็หน้าถอดสี ยายแก่ที่ไล่ตามนางมาในทีแรกเลี้ยวกะทันหันบนฟ้าอย่างคาดไม่ถึง ปรับทิศทางไล่ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินหนีไปแล้ว
“นาง เป้าหมายของนางคือชิงเฉิน!” ต้วนชิงเกอสีหน้าซีดเผือด ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดมั่วชิงเฉินถึงยืนกรานจะจากไปคนเดียวแล้ว
กัดริมฝีปากอย่างแรงทีหนึ่ง ต้วนชิงเกอเร่งอาวุธเวทเหินหาวรุดไปตามทิศทางที่สำนักลั่วหยาตั้งอยู่อย่างเต็มกำลัง
มีเพียงไปส่งข่าวในสำนักขอความช่วยเหลือ ชิงเฉินถึงมีโอกาสรอด!
ในสำนักลั่วสยา เยี่ยเทียนหยวนนั่งอยู่ในห้องหลับตาบำเพ็ญเพียร ใจกลับเต้นอย่างแรงทีหนึ่ง เหมือนมีค้อนทุบลงอย่างหนักทีหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เขาลืมตาลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าหนักหน่วง
หลังจากกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง บางทีก็จะเกิดสัมผัสประหลาดต่อภยันตรายบางอย่างหรือว่าคนที่สัมพันธ์ใกล้ชิดประสบเคราะห์กรรม
แน่นอนไม่ใช่จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ความรู้สึกเช่นนี้อัศจรรย์นัก ยากจะอธิบายได้ชัดเจน เพียงแต่สำหรับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรก
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วคิดๆ ดู สีหน้ากลับดูไม่ได้ขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ เป็นวันที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่หุบเขาลั่วเยี่ยนกลับมาจัดทัพที่สำนักลั่วสยาพอดี คงไม่ใช่…คงไม่ใช่นางพบอันตรายอะไรเข้าแล้ว!
นึกถึงตรงนี้เยี่ยเทียนหยวนรีบอัญเชิญสมบัติวิเศษเหินหาวออกแล้วกระโดดขึ้นไป บินไปที่ทิศทางของหุบเขาลั่วเยี่ยดุจดาวตก
เห็นนักพรตชิงโฉวที่พุ่งทะยานเข้ามาตรงหน้า เยี่ยเทียนหยวนใจตกไปอยู่ตาตุ่ม รีบถามว่า “สหายเต๋าชิงโฉว เกิดอะไรขึ้น?”
“สหายเต๋าลั่วหยาง ระหว่างทางพวกเราพบผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง ข้าสั่งให้ทุกคนต่างคนต่างหนีแล้ว” นักพรตชิงโฉวเอ่ยอย่าเหนื่อยหอบ
ระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์?
สีหน้าเยี่ยเทียนหยวนซีดขาวทันที สายตาดุจน้ำแข็งกวาดมองนักพรตชิงโฉวปราดหนึ่งแล้วก็หายไปข้างหน้าแล้ว
“สหายเต๋าลั่วหยาง สหายเต๋าลั่วหยาง…” นักพรตชิงโฉวเรียกหลายเสียง กลับเห็นลำแสงสีแดงสายหนึ่งไกลออกไปเรื่อยๆ จึงอดถอนใจไม่ได้ว่า “เขาคงไม่ใช่บ้าแล้วนะ นี่ไม่ใช่ไปรนหาที่ตายหรือ?” พูดถึงตรงนี้รีบบินไปที่สำนักลั่วสยา
“อาจารย์อาลั่วหยาง…” ต้วนชิงเกอรู้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่เคยวิ่งเร็วปานนี้มาก่อน ใจเต้นราวกับจะกระโดดออกจากทรวงอกได้ตลอดเวลา เห็นเงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งควบมาทางนี้จากไกลๆ เพ่งสายตาดูไม่คิดว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหยวน จึงรีบเรียกเสียงดังว่า
“ศิษย์หลานต้วน ชิงเฉินล่ะ?” เป็นห่วงจนรน เขาไม่มีเวลาสนใจคำเรียกฉากหน้าพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ชิงเฉิน ชิงเฉินไปตามทิศนั้นแล้ว ที่ไล่ตามนางคือ…คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์…” ยังพูดไม่จบ ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนบินไปตามทิศทางที่นางชี้เหมือนผีพุ่งไต้แล้ว
ต้วนชิงเกอยืนอยู่ตรงนั้นงงๆ จู่ๆ รู้สึกแก้มเย็น ยื่นมือลูบดู ที่แท้ก็น้ำตานองหน้านานแล้ว
“แย่แล้ว อาจารย์อาลั่วหยางเพียงระดับก่อแก่นปราณระยะต้น!” ต้วนชิงเกอได้สติมาทันที กระทืบเท้าแล้วบินไปที่สำนักลั่วสยาอย่างเร็ว
“ยัยเด็กบ้า เจ้ายังคิดหนี?” แมงป่องสีแดงเพลิงสูงขนาดครึ่งตัวคนขวางอยู่หน้ามั่วชิงเฉิน ยายแกที่นั่งคร่อมอยู่บนนั้นเสียงดั่งมีดกรีดผ่านกระดาษพูดอย่างเจ้าเล่ห์
มั่วชิงเฉินไม่อาจบังคับไหมเกล็ดน้ำแข็งได้ตั้งนานแล้ว แปลงเป็นผ้าบางผืนหนึ่งบินเข้าไปในร่างนาง
มองดูยายแก่ที่อัปลักษณ์ไม่มีใครเทียบได้อย่างเย็นชา มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความสิ้นหวังเป็นครั้งแรก ร่างกายที่บาดเจ็บเพราะปราณวิญญาณมาร อีกทั้งฝืนเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็ง ยามนี้นางแม้แต่แรงขัดขืนสักนิดก็ไม่มีแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ไม่ทำให้ต้วนชิงเกอเดือดร้อนไปด้วยก็นับว่าไม่เสียดายแล้ว นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินยิ้มออกมา
“ยัยเด็กบ้า เจ้าหัวเราะอะไร?” เห็นมั่วชิงเฉินมองนางแล้วยิ้ม ยายแก่นึกว่าหัวเราะเยาะที่นางอัปลักษณ์ทันที ทันใดนั้นอับอายจนโกรธ โบกมือทีหนึ่ง ฝ่ามือที่เกิดจากการรวมตัวของปราณสีดำตบลงบนตัวมั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉินกระอักเลือดออกมาทันที
ยายแก่เดินหน้าไปไม่กี่ก้าว ยื่นมือปัดผมข้างหน้ามั่วชิงเฉินออก สายตาเคลิบเคลิ้มว่า “เจ้าวางใจ หน้างามถึงเพียงนี้ ข้าทำใจทำร้ายไม่ได้หรอกนะ ยัยเด็กบ้า ตามข้าไปเถอะ”
“ปล่อยนาง” เสียงเย็นเป็นน้ำแข็งเสียงหนึ่งลอยมา
ยายแก่มองไปตามเสียง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งคิ้วตรงดุจกระบี่ดวงตาแวววาวดุจดาราหล่อเหลายากจะหาใครเทียมรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่หน้านาง มือถือห่วงสีแดงทอง ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งกำลังมองนางอยู่
“ไอ้เด็กบ้า ที่แท้เจ้าเอง” ยายแก่กัดฟันว่า เจ้าเด็กระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนนี้ วันนั้นฉวยโอกาสที่นางบาดเจ็บลอบโจมตี ทำให้ตนต้องหนีไปไกล วันนี้จะได้คิดบัญชีกับเขาพอดี ช่างย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา[1]เลยจริงๆ!
เยี่ยเทียนหยวนกลัวยายแก่บ้าประหลาดตรงหน้านี้จะทำร้ายมั่วชิงเฉิน มือถือห่วงทองไม่ขยับเขยื้อน มองดูรอยเลือดที่มุมปากของมั่วชิงเฉินแล้วกลับเอ็นเขียวปูดขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “หาเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานให้ได้อะไร เจ้ากล้าสู้กับข้าสักตั้งหรือไม่?”
“อาจารย์อาเยี่ย ท่านรีบหนีไป” มั่วชิงเฉินฝืนกดความปั่นป่วนของกระแสความร้อนภายในลง แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า
สายตาที่เยี่ยเทียนหยวนมองไปที่มั่วชิงเฉินกลับเย็นชาอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ว่า “ศิษย์หลานมั่ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสู้กัน เจ้าอย่าพูดแทรก” พูดพลางมองไปที่ยายแก่ ห่วงสีแดงทองในมือยกขึ้นสูง แสงวิญญาณเจิดจ้า พูดเย็นเหมือนน้ำแข็งว่า “มาเถอะ”
“เจ้าเด็กบ้า วันนี้ข้าก็จะขอส่งเจ้าเดินทางสักครั้ง!” ยายแก่พูดพลางกางมือสวยประณีตออก แมงป่องสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากกลางฝ่ามือนางบินไปหาเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชา เห็นแมงป่องพุ่งมาทางเขาอย่างมืดฟ้ามัวดินเต็มไปหมดคิ้วก็ไม่ขมวดสักที ห่วงสีแดงทองหลุดมือออกไป พร้อมด้วยเปลวไฟสีแดงโลดเต้นอยู่กลางอากาศหมุนวนเดินหน้าไป
แล้วก็ได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมาจากบนฟ้า แมงป่องที่แตะถูกเปลวไฟสีแดงร่างระบาดตายจนหมด
“ฮึ!” ยายแก่ฮึเย็นเยือกเสียงหนึ่ง ในปากบ่นอุบอิบ อักษรยันต์สีดำตัวมหึมาก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า จากนั้นมือชี้ว่า “ไป!”
อักษรยันต์นั่นส่องแสงสีดำโจมตีไปยังเยี่ยเทียนหยวน เยี่ยเทียนหยวนสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาทันที ทันใดนั้นเรียกห่วงสีแดงทองกลับมาพุ่งชนไปที่อักษรยันต์
ห่วงทองและอักษรยันต์สีดำชนกัน แสงสีดำแดงสว่างวาบขึ้นในทันใด เยี่ยเทียนหยวนรีบถอยหลังหลายก้าวทันที เลือดซึมออกจากมุมปาก
ความแตกต่างระหว่างระดับก่อแก่นปราณระยะต้นและระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ ไม่ต่างจากแสงหิ่งห้อยปะทะแสงจันทร์สว่าง
“ชิงเฉิน เจ้ารีบหนีไป” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน จากนั้นสองมือตีเคล็ดวิชาตีไปที่ห่วงทอง ห่วงทองแยกจากหนึ่งเป็นเก้าทันทีแล้วบุกไปที่อักษรยันต์สีดำตัวเขื่อง
มั่วชิงเฉินที่ชมอย่างตื่นต้นอยู่ตลอดสีหน้าซีดเผือด ดวงตาดอกท้อจ้องเยี่ยเทียนหยวนไม่กะพริบ จากนั้นกัดฟัน โยนระเบิดสะท้านฟ้าออกมาหลายสิบลูกแล้วหันหลังหนีไป
หากเยี่ยเทียนหยวนต้องตายเพราะช่วยตน เช่นนั้นหนี้ที่ติดเขาไว้ ชาตินี้ก็อย่าคิดจะคืนได้เลย ในเมื่อยายแก่นั่นมาเพื่อตนเอง เช่นนั้นหากตนหนีละก็ ไม่แน่ยังล่อนางมาได้
“ยัยเด็กโง่ เจ้านึกว่าหนีพ้นหรือ?” แสงวิญญาณคุ้มกายยายแก่วาบขึ้น สมบัติวิเศษป้องกันวาบแสงขึ้นพร้อมกันขวางพลังโจมตีมหาศาลไว้ แล้วขี่แมงป่องสีแดงเพลิงปรับทิศทางกำลังจะไล่ตามมั่วชิงเฉินไป ตรงหน้ากลับปรากฏคนขึ้นคนหนึ่ง
“ได้ ข้าจัดการเจ้าก่อนก็เหมือนกัน” ยายแก่มองเยี่ยเทียนหยวนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า จากนั้นปากขยับทีหนึ่ง แสงสีดำสายหนึ่งหายเข้าไปในอักษรยันต์สีดำทันที อักษรยันต์ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวทันที กลิ่นอายวังเวง แสงมารเป็นระลอก กลืนห่วงสีแดงทองเก้าอันที่ตามไล่มันอยู่หายไปในพริบตา
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าซีดขาว นิ้วมือพลิ้วไหวตีแสงวิญญาณออกสายหนึ่งเช่นกัน ห่วงทองเก้าอันที่ถูกอักษรยันต์กลืนหายไปพุ่งชนซ้ายขวาหมายแหกวงล้อมออกมา
ยายแก่หน้าบึ้งขึ้นมา คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนหนึ่งจะรับมือยากเช่นนี้ หากจัดการเขาไม่ได้ ตนในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณโดยสมบูรณ์ก็ไม่ต้องก่อกำเนิดอะไรแล้ว ชนให้ตายไปเลยตรงๆ ก็แล้วกัน!
ยายแก่พ่นแสงสีดำสายหนึ่งออกจากปากไปไว้บนอักษรยันต์ ไม่คิดว่าอักษรยันต์นั่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก กลายเป็นนกแร้งมหึมาตัวหนึ่งในพริบตา นกแร้งนั่นกางปีกออก แล้วบินจู่โจมใส่เยี่ยเทียนหยวนอย่างอำมหิต
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าตึงเครียด รู้ว่านี่ต้องเป็นการจู่โจมที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินแน่นอน ตนจะถ่วงเวลาเพื่อนางได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่านี้แล้ว
ท่ามกลางการหัวเราะอย่างร้ายกาจของยายแก่ เห็นเพียงชายชุดเขียวที่อยู่ตรงข้ามหลบตาเล็กน้อย จากนั้นลืมตาขึ้นทันที แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ห่วงตะวันย้อยดารา…”
ห่วงสีแดงทองเก้าอันดิ้นหลุดออกมาในพริบตาพุ่งขึ้นชั้นเมฆ มาถึงบนฟ้าสูงแล้วกระจายออก ยิ่งนานยิ่งแดงยิ่งนานยิ่งสว่าง บนฟ้าเหมือนปรากฏพระอาทิตย์ขึ้นเก้าดวง
หลังจากนั้นก็เห็นพระอาทิตย์เก้าดวงยิงลำแสงที่เจิดจ้าออกสายหนึ่งโดยพลัน ต่อจากนั้นดวงดาวที่ลุกเป็นไฟลื่นตกลงมาตามลำแสงทีละดวงๆ
ติ๊งๆ ติ๊งๆ ลำแสงเก้าสายเหมือนม่านดาราที่แขวนอยู่ เปล่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา ต่อจากนั้นดวงดาวพวกนั้นก็เหมือนไข่มุกที่เชือกร้อยขาดล่วงลงมาตามๆ กัน
ดวงตกดุจสายฝน ตกลงบนนกแร้งสีดำที่อยู่บนฟ้า
——
[1] ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา หมายถึง พยายามหาแทบตายไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น