“รายงาน?” มองดูยามที่วิ่งทะยานเข้าไปอย่างร้อนรน มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
เพียงชั่วครู่ ยามก็พุ่งกลับมา ในมือถือยันต์ส่งสารใบหนึ่งว่า “ท่านอาจารย์อามั่ว หลิวซางเจินจวินเชิญท่านตรงไปที่ท่านนั่นขอรับ”
“ท่านอาจารย์ปู่?” มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดยิ่งขึ้น แม้ว่าหลิวซางเจินจวินเป็นอาจารย์ปู่สายตรงของนาง ทว่าเพิ่งกลับมา ก็ได้รับการเรียกตัวเข้าพบจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ความเคลื่อนไหวเช่นนี้จะใหญ่โตเกินไปเสียหน่อย
“ท่านเจินจวินอยู่ไหน?” เมื่อเรียบเรียงความคิดแล้ว มั่วชิงเฉินถามขึ้นว่า
ยามชะงักงัน รีบเอ่ยว่า “ท่านเจินจวินกำลังรอท่านอยู่ที่โถงข้างที่จัดให้เหยากวงน่ะขอรับ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า รีบรุดไปที่โถงข้าง
ตลอดทางพบผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อย ตั้งแต่ที่หายสาบสูญไป มั่วชิงเฉินสามคำนี้กลับดังก้องหูเหมือนเสียงฟ้าร้องขึ้นมาในสำนักลั่วสยา เพียงแต่คนที่จำหน้าตาของนางได้หรือเคยพบเจ้าตัวมาก่อนมีไม่มาก เดินไปตลอดทางยังดีที่ไม่ได้เป็นที่สนใจ
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “ท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์มั่วชิงเฉินขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ประตูโถงเปิดเองโดยไร้ลม “เข้ามา”
มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง แล้วเดินเข้าไป
และที่คาดไม่ถึงคือ ภายในโถงข้างไม่เพียงแต่หลิวซางเจินจวินนั่งอยู่ ยังมีเสวียนหั่วเจินจวินอยู่ด้วย ด้านล่างยังมีนักพรตจื่อซียืนอยู่อีก
มาดเช่นนี้จะใหญ่โตเกินไปสักหน่อยหรือไม่? มั่วชิงเฉินในใจสงสัยเล็กน้อย บนใบหน้ากลับไม่แสดงออก เดินไปถึงกลางโถงอย่างไม่รีบร้อนแล้วกราบไหว้ลงช้าๆ “ศิษย์มั่วชิงเฉินขอกราบคารวะท่านอาจารย์ปู่ ขอกราบคารวะท่านเสวียนหั่วเจินจวิน ท่านอาจารย์ลุงใหญ่”
“รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น” หลิวซางเจินจวินยังไม่พูดอะไร เสวียนหั่วเจินจวินก็ตะโกนขึ้นมาอย่างแทบรอไม่ไหวแล้ว ดูท่าทางเช่นนั้น แทบอยากจะถลาเข้ามาพยุงมั่วชิงเฉินขึ้นมาโดยตรงเสียให้ได้
“แค่กๆ” หลิวซางเจินจวินกระแอมสองที เสวียนหั่วเจินจวินถึงนั่งตัวตรงขึ้น
มั่วชิงเฉินแอบกวาดมองนักพรตจื่อซี นักพรตจื่อซีกลับก้มหน้าต่ำ ราวกับไม่เห็นนางเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
ที่นี้มั่วชิงเฉินใจไม่ดีแล้ว การกระทำของนักพรตจื่อซีเช่นนี้ ไม่เหมือนลักษณะของนางจริงๆ เลยนี่นา
มองดูใบหน้าที่สงบของนางหนูน้อยในที่สุดก็เผยให้เห็นความกระวนกระวายใจ ใบหน้าที่น่าเกรงขามของหลิวซางเจินจวินแย้มยิ้มขึ้นอย่างหายากว่า “นางหนูชิงเฉิน ลุกขึ้นมาเถอะ”
มั่วชิงเฉินถึงลุกขึ้นมา ยืนวางมือไว้ข้างตัวอย่างว่าง่าย
“นางหนูชิงเฉิน” หลิวซางเจินจวินเรียก
“ศิษย์อยู่นี่เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินยืดตัวขึ้น
“ไหนลองเล่าให้ข้าฟังสิ ระยะนี้เจ้าไปอยู่ไหนมา ผ่านอะไรมาบ้าง แล้วกลับมาได้อย่างไรอีก” หลิวซางเจินจวินเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
มั่วชิงเฉินจึงเล่าเรื่องที่ประสบที่แดนไท่ไป๋ออกมาไม่หยุด เมื่อเล่าถึงยามที่ฮวาเชียนซู่ศิษย์นิกายมารแดงบังคับแต่งนางเป็นภรรยา เสวียนหั่วเจินจวินตบโต๊ะว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี คิดไม่ถึงว่าจะบังอาจแย่งภรรยาของเทียนหยวนเรา!”
“แค่กๆ ศิษย์น้องเสวียนหั่ว” หลิวซางเจินจวินเตือนสติอย่างจำใจว่า
เสวียนหั่วเจินจวินถึงได้สติกลับมาว่า “นางหนูชิงเฉิน เจ้าเล่าต่อ เล่าต่อ”
มั่วชิงเฉนค่อนข้างเข้าใจความไม่เอาจริงเอาจังของเจินจวินระดับก่อกำเนิดท่านนี้ทีเดียว ได้ยินดังนั้นแม้สีหน้าแดงเรื่อ กลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก เล่าต่อขึ้นมา
ทว่าเมื่อนางเล่าอีกถึงยามที่โกนศีรษะฮวาเชียนซู่จนล้าน เสวียนหั่วเจินจวินลุกพรวดขึ้นมา เอ่ยอย่างไม่หายแค้นว่า “นี่ไม่สบายเจ้าเด็กสารเลวนั่นไปหน่อยหรือ ข้าว่านะ ควรตอนให้หมดเรื่องหมดราวไป!”
ทีนี้มั่วชิงเฉินหน้าแดงก่ำจริงๆ แล้ว ไม่รู้ควรเอ่ยปากเช่นไรแล้ว
เสวียนหั่วเจินจวินส่ายศีรษะ พึมพำว่า “อย่างไรเสียก็เป็นเด็กผู้หญิง หน้าบาง”
ในที่สุดนักพรตจื่อซีก็ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อาเสวียนหั่ว ตอนแล้วอย่างไรก็งอกขึ้นมาใหม่ได้มิใช่หรือเจ้าคะ”
มั่วชิงเฉินตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ แล้ว สวรรค์ ที่แท้นางประมาณความใจกล้าของอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ต่ำไปมาตลอด คำพูดอะไรนางก็กล้าพูดออกมาได้จริงๆ เลยนะ
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ แล้วเกาศีรษะล้านของตนว่า “ก็จริงนะ”
เห็นศิษย์น้องและศิษย์คนโตของตนถกหัวข้อนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ในที่สุดหลิวซางเจินจวินก็ทนจนทนไม่ไหว โบกแขนเสื้อกว้างว่า “นางหนูชิงเฉิน กลับมาก็ดีแล้ว ระยะนี้เจ้าลำบากแล้ว กลับไปพักผ่อนดีๆ เถอะ”
พูดจบมองไปที่นักพรตจื่อซีว่า “จื่อซี ผ่านไปสักระยะค่อยจัดแจงเรื่องเข้าร่วมศึกให้นางหนูชิงเฉิน”
“เจ้าค่ะ อาจารย์” นักพรตจื่อซีพยักหน้า
มั่วชิงเฉินคารวะอีกครั้งหนึ่งว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่เจ้าค่ะ”
หลิวซางเจินจวินกึ่งหลับตา เดิมนึกว่ามั่วชิงเฉินจะกลับออกไปเอง กลับไม่คิดว่านางยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จึงอดลืมตามองข้ามไปไม่ได้
มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้น ขวดน้ำเต้าสีทองสองใบปรากฏขึ้นในมือ แล้วยกขึ้นอย่างนอบน้อมว่า “ท่านอาจารย์ปู่ นี่คือสุราเลิศรสที่ชิงเฉินบังเอิญได้มายามที่อยู่หุบเขาลั่วเยี่ยน เดิมคิดว่ากลับถึงสำนักลั่วสยาก็จะมอบให้ท่านอาจารย์ปู่และอาจารย์ลิ้มลอง กลับไม่คิดว่าวันนี้ถึงกลับมาได้ หวังว่าท่านอาจารย์ปู่จะรับไว้เจ้าค่ะ”
สมบัติวิเศษติดตัวของหลิวซางเจินจวินก็คือขวดน้ำเต้าม่วงทองใบหนึ่ง ปกติไม่มีความชอบอะไรอย่างอื่น ก็ชอบกรึ๊บสักจอกนั่นแหละ ศิษย์เหยากวงล้วนพูดว่า คนที่ชอบดื่มสุราล้วนหนีไปเขาชิงมู่หมดแล้ว นี่ก็คือหัวส่าย หางกระดิกตามแบบฉบับ ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก
หลิวซางเจินจวินเดิมเป็นคนรักสุรา อีกทั้งรู้ว่าศิษย์คนนี้ของเหอกวงไม่ธรรมดา เห็นนางมอบสุราอย่างจริงจัง อย่างไรเสียในใจก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพียงโบกมือขวดน้ำเต้าสีทองสองใบก็บินเข้ามา ปากเอ่ยว่า “นางหนูชิงเฉินช่างมีน้ำใจ รู้จักกตัญญูต่ออาจารย์ปู่แล้ว”
ลักษณะการพูดเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
ในความเป็นจริง สำหรับหลิวซางเจินจวินที่มีชีวิตอยู่มาร่วมพันปีแล้ว มั่วชิงเฉินที่เพิ่งจะสี่สิบกว่าปี ก็เป็นเด็กคนหนึ่งมิใช่หรือ
เสวียนหั่วเจินจวินที่อยู่ข้างๆ โกรธจนออกเสียงฮึๆ ไม่หยุด ตาเหล่ขวดน้ำเต้าสีทองสองใบนั้น
หลิวซางเจินจวินเปิดขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งออก แล้วหรี่ตาด้วยความเคยชิน จู่ๆ สีหน้ากลับเปลี่ยนไป
เสวียนหั่วเจินจวินและนักพรตจื่อซีอดชะงักไม่ได้
“อาจารย์?” นักพรตจื่อซีเรียก
หลิวซางเจินจวินกลับเหมือนไม่ได้ยิน หยิบขวดน้ำเต้าขึ้นดื่มอึกหนึ่ง หลับตาใคร่ครวญพักใหญ่ ถึงลืมตาขึ้นทันใด ถอนใจว่า “สุราวานร คือสุราวานรจริงๆ หรือนี่!”
“อะไรนะ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสุราวานร?” เสวียนหั่วเจินจวินทนไม่ไหวเขยิบเข้ามาใกล้
แล้วก็เห็นหลิวซางเจินจวินเก็บขวดน้ำเต้าสุราสองใบเข้าถุงเก็บวัตถุไวปานสายฟ้าแลบ ถึงพยักหน้าว่า “ถูกต้อง ในอดีตข้าเคยร่วมงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง เคยดื่มมาก่อน รสชาติของสุรานี้ในวันนี้เทียบกับสุราในปีนั้นแล้วยังเข้มข้นกว่าอีก”
ในตาเสวียนหั่วเจินจวินเต็มไปด้วยความร้อนแรงว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง…”
หลิวซางเจินจวินที่น่าเกรงขามสุขุมเสมอมายามนี้กลับเหมือนเด็กที่ไม่มีเหตุผลคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เมินเฉยต่อการอ้อนวอนของเสวียนหั่วเจินจวินโดยตรง สายตามองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “นางหนูชิงเฉิน สุราวานรนี้เจ้าได้แต่ใดมา?”
มั่วชิงเฉินเล่าอย่างง่ายๆ รอบหนึ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวว่า “ท่านอาจารย์ปู่ ชิงเฉินละอายใจนัก ไม่ทราบบัดนี้อาจารย์และอาจารย์อาเยี่ยกลับสำนักหรือยัง ไม่ทราบว่าสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?” พูดถึงตรงนี้ก็คุกเข่าลงมา
แม้ก้าวเข้าโถงข้าง ดูจากคำพูดและการกระทำของสามคนนี้นางสันนิษฐานได้คร่าวๆ ว่าอาจารย์และเยี่ยเทียนหยวนน่าจะไม่เป็นไร หรืออย่างน้อยก็ไม่มีข่าวร้าย ทว่าไม่ลองถามเสียหน่อยอย่างไรเสียในใจก็ยากสงบได้
เพียงแต่สองคนนั้นล้วนเกิดเรื่องเพราะนางเป็นเหตุ นางรู้สึกละอายที่ถามออกมาทั้งเช่นนี้จริงๆ ถึงอาศัยการมอบสุราผ่อนคลายความตึงเครียดเสียหน่อย
“เหอกวงน่ะหรือ… เขากลับมาแล้ว” หลิวซางเจินจวินเอ่ยพลาง สีหน้ากลับประหลาดเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ มองไปที่เสวียนหั่วเจินจวินว่า “ท่ายเจินจวิน ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าอาจารย์อาเยี่ยเขา…”
เสวียนหั่วเจินจวินยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าหนูเทียนหยวนก็กลับมาแล้ว ว่าไปแล้วก็บังเอิญ ก็กลับมาเร็วกว่าเจ้าเพียงวันเดียวเท่านั้น นางหนูชิงเฉิน แค่กๆ เจ้าว่า สุราวานรนั่น…”
มั่วชิงเฉินรีบหยิบขวดน้ำเต้าสีทองออกมาอีกสองใบว่า “วันนั้นชิงเฉินได้มาเพียงหกน้ำเต้า สองน้ำเต้านี้ก็ขอมอบให้ท่านเจินจวินแล้ว ขอให้ท่านเจินจวินอย่าได้รังเกียจเจ้าค่ะ”
สองน้ำเต้าสุดท้าย ย่อมเก็บไว้ให้กู้หลีเป็นธรรมดา
เสวียนหั่วเจินจวินยิ้มจนหน้าย่นเข้าหากันหมดแล้วว่า “ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ”
“ท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์อยากไปดูอาจารย์และอาจารย์อาเยี่ย…” มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสเอ่ย นางไม่ได้ละเลยสีหน้าประหลาดของหลิวซางเจินจวินยามที่พูดถึงอาจารย์กลับมาหรอกนะ
หลิวซางเจินจวินชะงักทีหนึ่ง หันไปหานักพรตจื่อซีว่า “จื่อซี นางหนูชิงเฉินเป็นห่วงเหอกวงและลั่วหยาง เจ้าก็พานางไปดูสักหน่อยเถอะ”
“เจ้าค่ะ อาจารย์ ชิงเฉิน เจ้าตามข้ามาเถอะ” นักพรตจื่อซีเอ่ยอย่างรวบรัด
เมื่อออกจากประตูโถง ก็ได้ยินนักพรตจื่อซีหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ว่า “นางหนูชิงเฉิน ข้าพบว่าเรื่องที่เจ้าก่อรุนแรงขึ้นทุกครั้งเลยนะ มนุษย์น้ำแข็งเช่นศิษย์น้องลั่วหยางนั่น ไม่คิดว่าเพื่อเจ้าแล้วถึงกับไปแย่งตัวเจ้าสาว”
“เอ่อ?” มั่วชิงเฉินใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย กะพริบตา แม้นางเดาได้รางๆ ว่าหลังจากที่นางหนีไปคนที่ฆ่าบุกเข้าไปคือเยี่ยเทียนหยวนและอู๋เย่ว์ เรื่องแย่งตัวเจ้าสาวกลับไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่
นักพรตจื่อซีกลับเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติว่า “อีกาที่รักของเจ้าตัวนั้นเป็นคนพูดนะ เมื่อวานมันลากศิษย์น้องลั่วหยางกลับมา แล้วดื่มสุราที่ข้านั่นไปไม่น้อยเชียว”
อู๋เย่ว์? เจ้าปากพล่อยนี่ ไปช่วยคนชัดๆ ดันพูดอะไรแย่งตัวเจ้าสาว เจ้านี่กลัวนางยังยุ่งยากไม่พอหรือไร?
เห็นมั่วชิงเฉินเงียบลง นักพรตจื่อซีกลับไม่ปล่อยนางไป โยนสายฟ้าฟาดออกมาอีกสายหนึ่งว่า “ว่าไปแล้วศิษย์น้องเหอกวงและศิษย์น้องลั่วหยาง ต่างมีวาสนากับอสูรปีศาจนะ คนหนึ่งถูกอีกาลากกลับมา อีกคนหนึ่งถูกกระต่ายไล่กลับมา”
“อะไรนะเจ้าคะ?” ชั่วขณะหนึ่งมั่วชิงเฉินฟังไม่เข้าใจ
นักพรตจื่อซีกลับไม่พูดอีก พานางเดินๆ อ้อมๆ หยุดลงที่ลานบ้านแห่งหนึ่ง
“คารวะท่านนักพรตเจ้าค่ะ” สาวใช้สองคนหยุดงานในมือลงแล้วคารวะอย่างช้าๆ
นักพรตจื่อซีโบกมืออย่างรำคาญ แล้วเดินตรงเข้าไป
มั่วชิงเฉินเดินตาม เมื่อเข้าห้องก็พบคนคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ซูบผอมสงบ สองตาปิดเล็กน้อย จะเป็นใครไปได้นอกจากกู้หลี
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งเข้าไปในไม่กี่ก้าวว่า “อาจารย์”
กู้หลีกลับไม่มีความเคลื่อนไหว
มั่วชิงเฉินดวงตาชื้นขึ้นมาทันที จับมือของกู้หลีขึ้นสะอึกสะอื้นว่า “อาจารย์ เพราะชิงเฉินไม่ดี ทำให้ท่านต้องเดือดร้อน…”
ความรักของหญิงสาวครั้งนั้นไม่ว่าตัดใจได้แล้วหรือไม่ เห็นเขาสภาพเช่นนี้ความปวดใจและความทรมานในใจกลับเป็นของจริง
ในยามนี้มั่วชิงเฉินถึงพบว่า เขาสำหรับนาง ไม่เพียงแต่เป็นท่านพี่กู้คนนั้นในปีนั้น ที่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นอาจารย์ที่นางเคารพรัก มายี่สิบกว่าปี
นักพรตจื่อซีที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้เพราะเหตุ ก็เพียงถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินลูบมือของกู้หลี ทันใดนั้นสายตาตกไปอยู่ที่คอของเขา ตรงนั้น มีรอยกัดรอยหนึ่ง
ตามหลักแล้ว อาการบาดเจ็บภายนอกทั้งหมดล้วนต้องถูกลบไปภายใต้ฤทธิ์ของโอสถ นี่คืออะไร?
มั่วชิงเฉินยกตามองไปที่นักพรตจื่อซีว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ อาจารย์ท่าน นี่ท่านเป็นอะไรไปน่ะ?”
สีหน้าของนักพรตจื่อซีก็พิศวงขึ้นมา ไม่ส่งเสียงไปครึ่งค่อนวัน
มั่วชิงเฉินเมื่ออยู่ต่อหน้านักพรตจื่อซีไม่ได้อดกลั้นถึงป่านนั้น จึงเร่งว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ท่านรีบพูดสิ”
นักพรตจื่อซีมุมปากกระตุกทีหนึ่งว่า “ชิงเฉินเอ๋ยเมื่อครู่ข้าบอกว่าอาจารย์เจ้าถูกกระต่ายตัวหนึ่งไล่กลับมามิใช่หรือ บาดแผลนี้ ก็เพราะถูกกระต่ายตัวนั้นกัดอย่างไรล่ะ”