“ถูกกระต่ายกัด? เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินรู้สึกสมองของตนหมุนไม่ทันขึ้นมาเล็กน้อย ถามอย่างงงงันว่า
นักพรตจื่อซีหัวเราะฟู่ว่า “แน่นอนต้องเพราะกระต่ายตัวนั้นอยากกินเขาน่ะสิ!”
มั่วชิงเฉินยิ่งเหลอหลาแล้ว
อยากกินเขา อยากกินเขา นี่…ใช่ความหมายที่ตนเข้าใจหรือไม่?
คำพูดต่อมาของนักพรตจื่อซีทำให้มั่วชิงเฉินหน้าพุ่งแดงขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องเล็กก็ช่างโชคร้ายจริงๆ ได้ยินอาจารย์บอกว่าไม่รู้อย่างไรเขาก็ถูกกระต่ายตาฟ้ามรกตที่จำแลงกายแล้วลักตัวไป กระต่ายปีศาจตัวนั้นขังศิษย์น้องเล็กไว้ ทุกวันจะดูดเลือดจากคอของเขาชดเชยกำลังวังชาที่สูญเสียไป ศิษย์น้องเล็กใช้พละกำลังพอสมควรถึงหนีออกมาได้ กระต่ายบ้าตัวนั้นยังไล่ตามไม่เลิกรา หากไม่เพราะพบอาจารย์เข้า ไม่แน่ศิษย์น้องเล็กก็กลายเป็นอาหารในท้องของกระต่ายตาฟ้ามรกตนั่นแล้ว…”
ตนคิดนอกลู่นอกทางไปแล้วจริงด้วย!
เมื่อมองดูบาดแผลที่คอของกู้หลีอีกครั้ง ใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรงว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ กระต่ายตาฟ้ามรกตตัวนั้นล่ะ ท่านอาจารย์ปู่ได้ฆ่ามันหรือไม่เจ้าคะ?”
นักพรตจื่อซีค้อนควักเข้าให้ว่า “ฆ่าอะไร นางเด็กโง่คนนี้นี่ นั่นเป็นอสูรปีศาจขั้นแปดเชียวนะ เจ้านึกว่าไล่ไปได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ หากไม่คิดชีวิตขึ้นมา ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่เจ้าก็ต้องยำเกรงสามส่วน”
มั่วชิงเฉินเข้าใจความหมายของคำพูดนี้
ผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากก่อแก่นปราณ ก็เข้าสู่แถวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงแล้ว หากไม่ใช่มีศัตรูคู่อาฆาตที่ร้ายกาจอะไร ก็คือไปถึงไหนล้วนสามารถเดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ แสดงตัวอย่างสง่าผ่าเผย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ปฏิบัติต่อผู้นั้นก็ไม่ถือตนเหนือกว่าอีกต่อไป กลับมีมารยาทให้สามส่วน
สาเหตุหนึ่งในนี้ ก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหากสู้กับคนอื่นและระเบิดแก่นทองตนเองละก็ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ยากจะรับแรงระเบิดมหาศาลนั้นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่หลิวซางเจินจวินไม่ยอมพัวพันกับกระต่ายตาฟ้ามรกตที่เทียบได้กับระดับก่อกำเนิดระยะต้น ก็เป็นที่เข้าใจได้
“อาจารย์ท่าน เป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” มั่วชิงเฉินเพ่งพิศสีหน้าซีดเซียวของกู้หลี แล้วถามเสียงเบา
นักพรตจื่อซีตบไหล่นางว่า “อย่าเป็นห่วงส่งเดชเลย มีอาจารย์ปู่เจ้าอยู่ อาจารย์เจ้าไม่ตายหรอก ไปเถอะ อย่ารบกวนเขาพักผ่อนเลย เจ้ายังอยากพบศิษย์น้องลั่วหยางมิใช่หรือ ตามข้ามา”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า มองกู้หลีอีกปราดหนึ่งอย่างไม่วางใจ ก้มตัวลงปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาไปไว้หลังหูด้วยท่าทางนุ่มนวล ทัดมุมผ้าห่มให้ดี ถึงเดินไปอยู่ข้างกายนักพรตจื่อซี
นักพรตจื่อซีพิจารณามั่วชิงเฉินอย่างใช้ความคิด กลับเห็นนางสีหน้าสงบ ไม่มีสีหน้าเคอะเขินอย่างวันวาน
นักพรตจื่อซีใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง
นางก็เป็นสตรี ต่อให้เมื่อก่อนมั่วชิงเฉินไม่เคยพูดอะไรกับนางมาก่อน บัดนี้ยิ่งไม่ได้พูดอะไร กลับรับรู้ได้รางๆ ว่าท่าทีที่นางหนูตรงหน้ามีต่อศิษย์น้องเล็กแตกต่างออกไปแล้ว
ความแตกต่างเช่นนี้ ทำให้นางสบายใจเล็กน้อย มองศิษย์น้องเล็กอีกที กลับมีความรู้สึกสงสารที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีก
ศิษย์น้องเล็ก…ลำเค็ญเกินไปแล้ว…
การถอนใจที่นุ่มเบาดั่งขนห่านปลิวผ่านหัวใจ เบาจนแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่แน่ใจว่าได้ถอนใจหรือไม่ มั่วชิงเฉินก็ยิ่งไม่รู้เป็นธรรมดา เพียงแค่มองดูนักพรตจื่อซีที่เหม่อเล็กน้อยแล้วเรียกว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่?”
เพ่งพิศหญิงสาวตรงหน้า รูปร่างของนางเป็นดั่งต้นหลิ่วบอบบางกลางลมฤดูใบไม้ผลิยืดขึ้นช่วงหนึ่ง บุคลิกสงบดีงาม หากไม่เพราะลักยิ้มที่ข้างปากเผยให้เห็นความซุกซนเล็กน้อย มุมปากที่กระดกขึ้นและเม้มไว้แน่นทำให้ดูดื้อรั้น คนอื่นต้องนึกว่าเป็นกุลสตรีที่อ่อนโยนคนหนึ่งแล้วเป็นแน่
นางหนูคนนี้ ตกลงมีใจหรือว่าไร้ใจนะ นางที่คิดว่าตนสามารถมองใจคนทะลุปรุโปร่งมาตลอดถึงวันนี้ไยไม่แน่ใจแล้วนะ?
ความนิ่งเงียบที่หาได้ยากของนักพรตจื่อซีทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกเล็กน้อย ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นผู้อาวุโส จึงไม่สะดวกซักถาม เพียงแต่เดินตามนางไปยังลานบ้านอีกแห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ
เพิ่งถึงหน้าประตูลานบ้าน ก็เห็นประตูลานบ้านเปิดออกโดยพลัน ของดําปิ๊ดปี๋ก้อนหนึ่งพุ่งออกมา โถมเข้าอ้อมกอดนางในทันใด
“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินเรียกด้วยความดีใจ อยู่เป็นเพื่อนกับอีกาชั่วร้ายตัวนี้มานานถึงเพียงนี้ ยามที่แยกจากกันจริงๆ ถึงเข้าใจความห่วงหาอาทรนั้นได้อย่างชัดเจน
“เจ้านาย ที่แท้เจ้าไม่ตายหรือนี่ แกว๊กๆ อู๋เย่ว์เป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว รู้แต่แรกว่าเจ้าปลอดภัยกลับมาได้ ข้าก็ไม่ไปแย่งตัวเจ้าสาวกับเจ้าก้อนน้ำแข็งนั่นแล้ว บลาๆๆ…” ชั่วขณะหนึ่ง อีกาไฟฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดมั่วชิงเฉินน้ำหูน้ำตากระเด็นไปทั่ว
มั่วชิงเฉินมือแข็งทื่อ อดทนอยู่ชั่วครู่ ท่ามกลางสายตาอมยิ้มของนักพรตจื่อซี ในที่สุดก็ทนไม่ไหวลากเจ้าอีกาพูดมากนี่ออกมา
“ใจจืดเกินไปแล้ว ใจจืดเกินไปแล้ว” อีกาไฟยืนอยู่บนหัวไหล่มั่วชิงเฉินพลางพึมพำ
“อาจารย์อาเยี่ยล่ะ?” มั่วชิงเฉินเมินการคัดค้านของมันโดยตรง ถามว่า
“เขากำลังนั่งกรรมฐานรักษาอาการบาดเจ็บ” อีกาไฟว่า
มั่วชิงเฉินจึงมองนักพรตจื่อซีปราดหนึ่งว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ เช่นนั้นเรากลับไปก่อนเถอะ ชิงเฉินรู้จักทางที่นี่แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
เพิ่งสิ้นเสียง กลับเห็นคนเดินออกจากห้อง ยืนอยู่กลางลานบ้านมองมาที่มั่วชิงเฉิน
สีหน้าเย็นเยียบดุจหิมะ ตาเป็นประกายดังดาราในคืนอันหนาวเหน็บ ชุดเขียวพลิ้วไหวยามต้องลม ซูบผอมไปไม่น้อย คือเยี่ยเทียนหยวนนั่นเอง
“ศิษย์พี่จื่อซี” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าแผ่วเบา ถือว่าเป็นการทักทาย
นักพรตจื่อซีไม่ได้ใส่ใจ ศิษย์น้องลั่วหยางผู้นี้ไม่ไว้หน้าหญิงสาวเสมอมา เห็นนางแล้วไม่ได้หลบไปเก้าสิบลี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
“ศิษย์น้องลั่วหยาง นางหนูชิงเฉินวันนี้เพิ่งกลับเข้าสำนัก ได้ยินว่าเจ้าก็กลับมาแล้ว อย่างไรก็จะมาดูให้ได้ อ้าว พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้าขอตัวก่อนแล้ว” นักพรตจื่อซีพูดจบอัญเชิญดอกบัวสีขาวออกมา แล้วบินไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ทันใดนั้น ก็เหลือเพียงมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน บวกอีกาที่ดำจนสะท้อนแสงตัวหนึ่ง
“แกว๊ก ข้านึกขึ้นได้แล้ว ข้าฝังสุราไว้ไหหนึ่งใต้ต้นท้อในลานบ้านที่เราอยู่ ข้าจะไปขุดเดี๋ยวนี้แหละ พวกเจ้าคุยกันไปก่อน อีกสักครู่พวกเราสามคนมาดื่มกันสักจอก” อีกาไฟพูดจบก็หนีไปอย่างรีบร้อน
พริบตาเดียวก็เหลือเพียงคนสองคนยืนอยู่ในลานบ้าน
มั่วชิงเฉินมีหมื่นพันคำพูดอยากถาม อยากถามเขาว่าหนีรอดเงื้อมมือของอูเย่ว์มาได้เช่นไร แล้วไปแดนลี้ลับเช่นไรอีก ว่ากันว่าพวกเขาฆ่าคนวางเพลิงก่อกรรมทำชั่วทุกอย่างในตระกูลฮวา มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่
ทว่าเมื่อยามสบตากับเยี่ยเทียนหยวน คำพูดเหล่านี้ก็ล้วนจุกอยู่ในลำคอ
พวกเขา…ดูเหมือนก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นพูดเปิดอกได้อย่างเต็มที่ ทว่า เพื่อช่วยตนเองแล้วเขาดันสามารถไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย
นี่ทำให้ชั่วขณะหนึ่งนางไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเช่นไรกันแน่
ไม่คิดว่ายังเป็นเยี่ยเทียนหยวนที่พูดน้อยเสมอมาเอ่ยปากก่อนว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้ากลับมาแล้ว”
มองดวงตาสงบบริสุทธิ์ของเขา จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
นี่ตนเป็นอะไรไป ต่อหน้าผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ไม่เพียงไม่เอ่ยขอบคุณ ยังคิดโน่นคิดนี่ ห่วงว่าตนพูดมากแล้วจะทำให้เขาคิดไปเอง ห่วงว่าไม่พูดอะไรเลยจะทำให้ดูใจจืดใจดำ ห่วงไปห่วงมา กลับลืมที่จะปฏิบัติตามใจจริง แสดงออกอย่างจริงใจ
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็กราบไหว้ลงไปว่า “อาจารย์อาเยี่ย ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต”
บรรยากาศบอกไม่ถูกเช่นนั้นระหว่างทั้งสองคนกระจ่างขึ้นในบัดดล
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณศิษย์หลานมั่วที่ช่วยเหลือเช่นกัน” เยี่ยเทียนหยวนไม่บ่ายเบี่ยง กลับเอ่ยความรู้สึกขอบคุณของตนออกมาอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นสายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉินว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้าผ่ายผอมแล้ว”
สงบมาก กระทั่งพูดได้ว่าเป็นคำพูดเย็นชาประโยคหนึ่ง มั่วชิงเฉินกลับสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เกิดจากใจของอีกฝ่าย
เสวียนหั่วเจินจวินที่ใช้จิตตระหนักแอบครอบลานบ้านเล็กๆ นี้ไว้ประหลาดใจจนกระโดดโลดเต้น ลื่อของเขาคนนี้ เคยสนใจว่าหญิงสาวคนไหนอ้วนหรือผอมตั้งแต่เมื่อไร ปากบ่นไม่หยุดว่า “เจ้าเด็กหัวตอนี่ ในที่สุดก็ตาสว่างแล้ว ในที่สุดก็ตาสว่างแล้ว”
หลิวซางเจินจวินที่อยู่ข้างๆ สีหน้าจำใจว่า “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”
ใช้จิตตระหนักแอบดูผู้ด้อยอาวุโสคุยกัน ลือออกไปไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวดอะไรหรอกนะ
“เหตุใดไม่เหมาะล่ะ ข้าใส่ใจเรื่องสำคัญในชีวิตของลื่อตนเองผิดหรือ? ท่านไม่เห็นเจ้าเด็กนั่นรู้จักร้อนหนาวแล้วหรือ?” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกพลาง พูดอย่างมีสง่าผ่าเผย
“ก็จริง เทียนหยวนเป็นเช่นนี้ได้ ไม่ง่ายจริงๆ” หลิวซางเจินจวินไม่ยอมรับไม่ได้ เด็กที่เห็นโตมากับตา เห็นหญิงสาวก็วิ่งหนีมาตลอดคนนี้ ปฏิบัติต่อศิษย์หลานตัวน้อยของเขา แตกต่างออกไปจริงๆ
เสวียนหั่วเจินจวินพยักหน้าอย่างมีความรู้สึกร่วม กลับจู่ๆ ก็ชะงักว่า “ช้าก่อน ศิษย์พี่หลิวซาง หากท่านไม่ได้ใช้จิตตระหนักแอบดู ไยถึงรู้ว่าเทียนหยวนพูดอะไรด้วยล่ะ?”
หลิวซางเจินจวินกระแอมสองที เบนหัวข้ออย่างใจเย็นว่า “ก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่โส่วเต๋อเป็นเช่นไรบ้างแล้ว ศิษย์น้องหรูอวี้กลับสำนัก ไยไม่ส่งข่าวคราวมานะ”
สีหน้าเสวียนหั่วเจินจวินแฝงความกังวลอย่างหายาก เสียงเบาลงว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง ใครๆ ก็ว่ารักษาโรคยากรักษาชีวิต ศิษย์พี่โส่วเต๋ออายุขัยใกล้สิ้นแล้ว ลิขิตสวรรค์ยากจะขัดนะ”
หลิวซางเจินจวินสีหน้าหนักหน่วงเช่นกันว่า “ถึงจะพูดเช่นนี้ ทว่าบัดนี้การแย่งชิงระหว่างเต๋ามารยังไม่เห็นผลแพ้ชนะ ต่อให้มุกเจ็ดสีเม็ดสุดท้ายตกลงในฝ่ายพวกเรานี่ ต่อไปแดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร หากเหยากวงข้ามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายดับสูญ นั่นต้องเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงโดยแท้”
เสวียนหั่วเจินจวินเก็บสีหน้าทะเล้นขึ้นอย่างหาได้ยากว่า “ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง เหยากวงข้าแม้รุ่นเด็กมีอัจฉริยะมากมาย ทว่าคิดอยากได้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มสักคนหนึ่ง กลับไม่ใช่เรื่องภายในปีสองปีนี้ เมื่อไม่มีการปกปักจากศิษย์พี่โส่วเต๋อ ศิษย์ที่พรสวรรค์โดดเด่นพวกนั้นคิดจะเติบโตอย่างราบรื่น ก็ต้องมีอุปสรรคเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน”
ทั้งสองคนนิ่งเงียบขึ้นมา ผ่านไปพักใหญ่ หลิวซางเจินจวินถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องหรูอวี้ศึกษาทางผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาค่อนข้างกว้างขวาง หวังว่าจะสามารถช่วยศิษย์พี่โส่วเต๋อผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้”
พูดจบ ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบขึ้นมาอีก
พวกเขาต่างรู้อยู่แก่ใจ อายุขัยของคนคนหนึ่ง จะเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยายืดให้ยาวนานขึ้นได้อย่างไร นอกจาก…
“อาจารย์อาเยี่ยก็ซูบผอมไปไม่น้อย นี่ล้วนเกิดจากชิงเฉินเป็นเหตุ ชิงเฉินละอายใจจริงๆ” มั่วชิงเฉินคารวะอีกครั้ง
“ศิษย์หลานมั่ว…”
มั่วชิงเฉินมองไป
เยี่ยเทียนหยวนซ่อนประกายแสงในดวงตาอย่างช้าๆ “ศิษย์หลานมั่วเกรงใจเกินไปแล้ว”
“สุรามาแล้ว…” อีกาไฟอุ้มไหสุราไหหนึ่ง บุกพรวดพราดเข้ามา
แล้วก็เห็นมันไม่รู้เสกโต๊ะหินออกมาจากไหนตัวหนึ่ง จากนั้นเก้าอี้สองตัวปรากฏขึ้นอีกตามมา วางไหสุราไว้บนโต๊ะหินแล้วโบกปีกใส่สองคนที่ตกตะลึงพรึงเพริดว่า “มาสิ”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ในดวงตาล้วนมีแววยิ้มแผ่วเบา แล้วถือโอกาสนั่งลง
อีกาไฟอุ้มไหสุรารินจอกสุราสามใบจนเต็ม จากนั้นใช้ปีกจับขึ้นมาใบหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว ยกใส่ทั้งสองคนว่า “หมดจอก!”
ไม่รอทั้งสองคนรับคำ ก็ดื่มสุราจอกหนึ่งหมด จากนั้นก็เห็นมันส่ายหัวไปมา พูดจาไม่ชัดว่า “เอ๊ะ สุรานี่ ไยสุรานี่ถึงเข้มข้นขึ้นมากมาย…” ยังไม่สิ้นเสียง ก็หัวทิ่มลงบนโต๊ะ ส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมา
เยี่ยเทียนหยวนตะลึงในบัดดล มองไปที่มั่วชิงเฉินอย่างประหลาด
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากทีหนึ่งว่า “มันขวดเดียวล้มน่ะ ท่านชินแล้วก็ดีเอง อาจารย์อาเยี่ย ขอคารวะท่าน”
เยี่ยเทียนหยวน ‘อืม’ เสียงหนึ่ง ทันใดนั้นระบายยิ้มขึ้นที่มุมปากดุจหิมะละลาย จากนั้นดื่มสุราหมดจอกในรวดเดียว
เมื่อเขายิ้มมั่วชิงเฉินก็รู้สึกตื่นกลัวอย่างไร้สาเหตุ แหงนหน้าดื่มสุราหมดแล้วรีบลากอีกาที่สลบไสลร่ำลาจากไป
เยี่ยเทียนหยวนมองเงาหลังของมั่วชิงเฉินเงียบๆ จนกระทั่งไม่เห็นร่องรอยแล้วถึงปิดประตูลานบ้านขึ้น ยามที่หมุนตัวไปจู่ๆ ก็หยุดลง ไอขึ้นมา