“น้องสิบหก ข้าเอง” เสียงเย็นๆ ใสๆ ลอยมา
มั่วชิงเฉินโบกมือ ประตูก็เปิดออกเองโดยไม่มีลม คนใส่ชุดขาวดุจหิมะหน้าตาไม่แปดเปื้อนโลกีย์แม้สักนิดคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู คือมั่วเฟยเยียนอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่เก้า รีบเข้ามา” มั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ขึ้นไปต้อนรับ
สายตาเย็นเยียบของมั่วเฟยเยียนมองไปที่มั่วชิงเฉิน เปลวไฟน้ำแข็งในดวงตาเป็นประกาย “น้องสิบหก เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองปี ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว”
เสียงใสเย็นสงบ เพียงแค่กำลังพูดเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ไม่เจือปนความรู้สึกอื่นใดแม้แต่น้อย
“บุญพาวาสนาส่ง พี่เก้า เจ้าเพิ่งกลับมาจากหุบเขาลั่วเยี่ยนหรือ?” ตั้งแต่มั่วชิงเฉินกลับมาถึงสำนักลั่วสยา ยังไม่ได้พบมั่วเฟยเยียนเลย นางไม่อยู่ในสำนักตลอด
มั่วเฟยเยียนพยักหน้าแผ่วเบาว่า “อืม เต๋ามารทั้งสองฝ่ายในหุบเขาลั่วเยี่ยนต่างแยกย้ายกันไปแล้ว”
“เช่นนั้นมุกเจ็ดสีล่ะ หาเจอหรือไม่?”
มั่วเฟยเยียนส่ายศีรษะว่า “น่าจะยัง อย่างน้องข้าไม่ได้ยิน รู้เพียงว่าศึกเต๋ามารหยุดลงชั่วคราว ก็เพื่อรับมือวิกฤตอสูร น้องสิบหก พรุ่งนี้เจ้าก็ออกเดินทางแล้วหรือ?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ใช่ พี่เก้าเจ้าล่ะ?”
วิกฤตอสูรเป็นวิกฤตของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งมวล สำนักลั่วสยาแม้ยังอยู่ห่างจากสถานที่ที่อสูรปีศาจทำลายล้าง กลับไม่สามารถทำตัวเหมือนไม่เกี่ยวข้องได้
“ข้าได้ยินอาจารย์พูดว่า กองทัพอสูรปีศาจแยกเป็นสามทาง แยกโจมตีนิกายเจิ้นโซ่ว นิกายเลี่ยนเป่า นิกายหมิงฝู บัดนี้นิกายเจิ้นโซ่วได้เปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้ว อสูรปีศาจพวกนั้นหาผู้บำเพ็ญเพียรไม่พบ ก็เริ่มเข่นฆ่าคนธรรมดา ในเวลาเพียงสั้นๆ ก็เลือดนองเป็นแม่น้ำ คนตายเป็นเบือ ที่ที่เราจะไปก็คือเขตแดนของนิกายเจิ้นโซ่ว น้องสิบหก เจ้าล่ะ?” มั่วเฟยเยียนเอ่ยอย่างสงบ ในตากลับเย็นเป็นน้ำแข็ง
มั่วชิงเฉินยิ้มระทมว่า “คืนนี้เสวียนหั่วเจินจวินของสำนักข้าเรียกศิษย์ในสำนักเป็นการด่วน เพียงแต่พูดว่าพรุ่งนี้ออกเดินทาง กลับไม่ได้ระบุว่าจะไปยังที่ใด”
มั่วเฟยเยียนหลุบตานิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ” พูดพลางหยิบยันต์สีขาวดุจหิมะยื่นให้ตั้งหนึ่ง “น้องสิบหก ยันต์พวกนี้เจ้าเก็บไว้ รักษาตัวด้วย”
กระแสความอุ่นสายหนึ่งไหลผ่านหัวใจอย่างช้าๆ มั่วชิงเฉินไม่ได้เกี่ยงงอน รับยันต์ใจผนึกน้ำแข็งที่มั่วเฟยเยียนคิดค้นขึ้นเองไป และยื่นถุงเล็กมาใบหนึ่งเช่นเดียวกันว่า “พี่เก้า ในนี้มีระเบิดสะท้านฟ้าสิบกว่าลูก ใช้พลังวิญญาณเพียงน้อยนิดก็สามารถจุดระเบิดได้ อานุภาพไม่น้อย เจ้าพกไว้ อาจใช้ในยามคับขันได้”
มั่วเฟยเยียนรับไปเงียบๆ จากนั้นยิ้มอย่างนิ่งเรียบว่า “เช่นนั้นข้าไปแล้ว”
พูดจบหันหลังจะจากไป ไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง เรียกว่า “พี่เก้า”
มั่วเฟยเยียนหยุดลง หันหน้ามา
มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยปากว่า “ที่หุบเขาลั่วเยี่ยน เจ้าเคยเจอพี่สิบหรือไม่?”
สีหน้ามั่วเฟยเยียนเย็นชาลงในพริบตา ราวกับกลิ่นอายรอบตัวถูกความเย็นที่แผ่ซ่านออกมากะทันหันสายนี้ทำให้แข็งเป็นน้ำแข็ง
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ มิน่าคนอื่นถึงตั้งฉายา ‘เซียนน้ำแข็ง’ ให้นาง ช่างสมชื่อจริงๆ
“น้องสิบหกไม่จำเป็นต้องพูดถึงนาง นางยอมตกต่ำกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารด้วยตนเอง ทำให้บรรพบุรุษตระกูลมั่วต้องมัวหมอง” เสียงเย็นเป็นน้ำแข็งของมั่วเฟยเยียนลอยมา
“พี่เก้า พี่สิบแม้หันไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร ทว่าในใจ น่าจะจำความแค้นของคนในตระกูลได้” มั่วชิงเฉินเอ่ย
บัดนี้ตระกูลมั่วก็เหลือเพียงไม่กี่คนนี้แล้ว หากยังเหมือนน้ำกับน้ำมัน คิดว่าคนในตระกูลที่ตายไปก็ไม่อาจไปสู่สุคติได้
มั่วเฟยเยียนกลับเม้มมุมปากแผ่วเบาว่า “แล้วเป็นเช่นไรล่ะ คนอยู่ในโลกนี้ ย่อมมีเรื่องควรทำและเรื่องที่ไม่ควรทำ!”
คำพูดแต่ละคำ ร่วงลงเหมือนมุกน้ำแข็งก็ไม่ปาน จากนั้นหันหลังออกไป ลำแสงสีเขากลืนไปในยามค่ำคืน
มั่วชิงเฉินถอนใจแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน จากนั้นพลิกตัวขึ้นเตียง ไม่มีความเคลื่อนไหวอีก
นางจะไม่ต่อว่ามั่วเฟยเยียนว่าเถรตรงเที่ยงธรรมเกินไป ก็เหมือนกับไม่ต่อว่ามั่วหร่านอีที่หันไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน
การกระทำการใดๆ ของผู้บำเพ็ญเพียร ที่จริงก็คือการสะท้อนถึงความเข้าใจและการไล่ตามที่มีต่อเต๋าในใจของเขา เช่นนั้นคนอื่น จะมีจุดยืนอะไรไปชี้โบ๊ชี้เบ๊อีกล่ะ
แน่นอน หากมีวันหนึ่งมั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอีเกิดเข่นฆ่ากันเองขึ้นมาจริงๆ นางก็จะไม่มีทางไม่สนใจเด็ดขาด นางก็มีความมุ่งมั่นของนางเช่นกัน
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น ศิษย์เหยากวงทั้งหลายก็ก้าวขึ้นหนทางแห่งการต่อสู้อีกครั้ง ภายใต้การนำของเสวียนหั่วเจินจวิน
มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ถึงจุดตัดของนิกายเลี่ยนเป่าและนิกายหมิงฝู แสงวิญญาณสายหนึ่งแหวกฟ้าออกมา ร่วงลงในมือเสวียนหั่วเจินจวิน เสวียนหั่วเจินจวินหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นพาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณห้าท่านและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเกือบร้อยเร่งรุดไปตามทางที่นิกายหมิงฝูตั้งอยู่
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเกือบร้อยที่เหลือเดินหน้าต่อไปภายใต้การนำพาของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกห้าท่าน
มั่วชิงเฉินก็อยู่ในขบวนนี้
ขบวนไม่ได้เหินหาว หากแต่เดินหน้าเลียบแม่น้ำสายหนึ่ง ตามที่ยิ่งเดินยิ่งลึกเข้าไป ทุกคนพบด้วยความตกใจ สีของน้ำในแม่น้ำแดงขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนหลังกลายเป็นสีเลือด ในนั้นมีศพนับไม่ถ้วนลอยกระเพื่อมขึ้นลงตามกระแสน้ำ
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดต่างอดใจสั่นสะท้านไม่ได้ สีหน้าเผยให้เห็นความโกรธอย่างยิ่งยวด
เข้าร่วมศึกเต๋ามารหลายปี คนที่อยู่ที่นี่ล้วนผ่านศึกมาอย่าโชกโชน หน้าไม่เปลี่ยนสีได้ท่ามกลางเลือดเป็นสายฝนกลิ่นคาวคละคลุ้ง ทว่าฉากเหตุการณ์ตรงหน้า ยังคงทำให้ทั้งตกใจทั้งโกรธ
เพียงเพราะในแม่น้ำเลือดดั่งนรกบนดินสายนี้ ศพที่ลอยขึ้นมาแทบจะเป็นคนธรรมดาทั้งหมด ตั้งแต่ผู้เฒ่าผมขาวโพลนจนถึงเด็กทารกในผ้าอ้อม ไม่ละเว้นแม้คนเดียว!
คนธรรมดา คือรากฐาน คือสายเลือดสดใหม่ที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร โทษไม่ถึงคนธรรมดา คือสิ่งที่เข้าใจตรงกันในยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรต่อสู้กัน
ทว่าสำหรับอสูรปีศาจกลับไม่เหมือนกัน ในสายตาพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหรือคนธรรมดา ล้วนเป็นอาหาร เพียงแค่รสชาติดีหรือแย่เท่านั้น!
ไฟโกรธที่ลุกไหม้เอ่อออกจากตาของทุกคน ยังไม่ถึงสนามรบ เจตจำนงการต่อสู้ก็ถูกจุดติดแล้ว!
ไม่รู้ใช่เพราะได้รับการกำชับมาตั้งแต่แรกหรือไม่ ถึงเขตแดนของนิกายเจิ้นโซ่ว ตามการเดินหน้าของขบวน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็นำพาศิษย์ระดับสร้างรากฐานคนละยี่สิบกว่าคนต่างคนต่างแยกจากไปตามๆ กัน
โชคไม่ดี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในขบวนของมั่วชิงเฉิน คือนักพรตซานอินพอดี
“พวกเจ้าฟังให้ดี บัดนี้อสูรปีศาจแยกเป็นฝูง ทำลายล้างไปทั่ว ที่ขบวนของเรานี้ต้องทำ ก็คือกำจัดอสูรปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นในเขาหลางหยา หากปล่อยให้อสูรปีศาจพวกนั้นบุกข้ามเขาหลางหยา ด้านล่างก็คือเมืองหลางหยา ในนั้นมีคนธรรมดาอยู่นับหมื่น และยังมีคนธรรมดานับไม่ถ้วนกำลังลี้ภัยไปที่นั่น!” นักพรตซานอินกวาดมองทุกคนปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ขอรับ / เจ้าค่ะ” ทุกคนรับคำเสียงดัง
นักพรตซานอินโบกมือว่า “ไป!”
ขบวนคนยี่สิบกว่าคน ต่างเหยียบอาวุธเวทเหินหาวแบบต่างๆ เดินขึ้นเขาไป
เขาหลางหยาสูงหลายร้อยจั้ง ยามที่เดินขึ้นเขาไปถึงครึ่งทาง ก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันรางๆ
ทุกคนเร่งความเร็วทันที ไม่นานนักก็รุดมาถึงสถานที่ที่มีการต่อสู้กันอยู่
เห็นเพียงบนทางภูเขา ผู้บำเพ็ญเพียรสี่ห้าคนได้แต่ถอยหลัง สีหน้าซีดเผือด บนเสื้อผ้าเปื้อนเต็มไปด้วยรอยเลือด ด้านล่าง อสูรปีศาจหลายสิบตัวล้อมเข้ามา หัวหน้าคืออสูรปีศาจขั้นหกที่หน้าตาเหมือนเสือตัวหนึ่ง
อสูรเสือตัวนี้สีดำทั้งตัว มีเพียงหน้าผากมีขนแดงเพลิงกระจุกหนึ่ง
“เสือดำเพลิงม่วง!” นักพรตซานอินเลิกคิ้วขาว
อสูรปีศาจขั้นหก ปัญญาวิญญาณเปิดแล้ว ตามที่ผู้คนของเหยากวงเข้าใกล้ หมุนตัวมาอย่างรวดเร็ว
เสือดำเพลิงม่วงเมื่อเห็นผู้นำมนุษย์คนใหม่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย จึงคำรามอย่างดุดัน แล้วก็เห็นอสูรปีศาจฝูงนั้นกระเจิดกระเจิง หันหลังหนีทันที
“เจ้าเดรัจฉาน จะหนีไปไหน!” นักพรตซานอินสะบัดแส้ขนหางจามรีในมือ กลายเป็นไหนเงินนับหมื่นเส้นทันที ทอเป็นแหยักษ์แสงวิญญาณวิบวับกลางอากาศครอบไปที่เสือดำเพลิงม่วง
เสือดำเพลิงม่วงแม้เห็นหน้าก็หนี ยามนี้กลับไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย อ้าปากเสือออกเปลวไฟสีม่วงพุ่มหนึ่งก็พ่นออกมา
เปลวไฟสีม่วงพุ่มนี้ถึงกลางอากาศเจอลมแล้วเปลี่ยนรูปร่างอย่างไม่คาดคิด กลายเป็นเสือเพลิงที่แสงสีม่วงลุกท่วมทั้งตัว
เสือเพลิงกลางอากาศคำรามเสียงดัง กรงเล็บคมกริบตะปบแหยักษ์ที่ครอบมาบนฟ้า จากนั้นฉีกทึ้งขึ้นมา
กระแสไฟสีม่วงหลายสายกระจายไปตามไหมเงิน เพียงพริบตาแหยักษ์ทั้งปากก็ลุกไหม้ขึ้น ปราณสีม่วงสุกใส ส่องจนกลางอากาศเป็นสีแดงม่วงไปหมด
ศิษย์เหยากวงที่เหลือโรมรันพันตูเข้าด้วยกันกับอสูรปีศาจ
ศิษย์เหยากวงขบวนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน และมั่วชิงเฉินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียว อสูรปีศาจขั้นห้าในอสูรปีศาจฝูงนี้ ย่อมต้องตกเป็นของนางอย่างไม่ต้องพูดถึง
อสูรปีศาจขั้นห้า เทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น
เพราะว่าอสูรปีศาจเทียบไม่ได้ผู้บำเพ็ญเพียร ที่สามารถอาศัยสมบัติวิเศษ ยันต์หรือกระทั่งโอสถ สิ่งที่พวกมันอาศัยก็คือร่างกายที่แข็งแกร่งตามธรรมชาติและพรสวรรค์ด้านคาถาบางอย่าง ดังนั้นว่ากันด้วยพลังความสามารถที่แท้จริงแล้ว จะอ่อนหัดกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันสักหน่อย
หากบอกว่าเมื่อประจันหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมั่วชิงเฉินได้แต่หนี การเผชิญหน้ากับอสูรปีศาจขั้นห้านี่ กลับสามารถแข็งใจสู้สักตั้ง
รูปการณ์เช่นนี้ จะปล่อยให้นางหลบเลี่ยงก็ไม่ได้อยู่ดี หากนางหันหลัง ก็เท่ากับส่งศิษย์พี่น้องพวกนี้ไปตายโดยตรง
ดีที่เสือดำเพลิงม่วงที่สู้กับนักพรตซานอินเป็นอสูรปีศาจขั้นหก ขอเพียงถ่วงเวลาไว้ รอนักพรตซานอินจัดการอสูรปีศาจตัวนั้นแล้ว นางก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายถอนตัวได้แล้ว
“เด็กน้อย ช่างละอ่อนจริงๆ ไว้ข้าจับเป็นมาจิ้มน้ำผึ้งกิน ต้องอร่อยอย่าบอกใครอย่างแน่นอน” อสูรปีศาจขั้นห้าตัวนี้เป็นหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่ง มองดูมั่วชิงเฉินแล้ว น้ำลายที่มุมปากก็ไหลลงมา
“อยากกินข้า เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาหรือไม่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะ ยกมือขึ้นไหมเกล็ดน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้น
ไหมเกล็ดน้ำแข็งไม่เพียงแต่เป็นสมบัติวิเศษเหินหาว ยังถนัดการป้องกัน เพียงแต่นางตบะไม่เพียงพอ น้อยมากที่จะใช้มันในการป้องกัน
สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด ที่สามารถสู้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณเป็นพิเศษ ที่สู้ไม่ได้ยิ่งไม่ต้องเอามาป้องกัน วิ่งหนีโดยตรงจะฉลาดกว่า
สู้ไม่ได้เห็นๆ ดันยังหนีไม่ได้อีกเหมือนยามนี้ ยังเป็นครั้งแรก
หมียักษ์สีน้ำตาลเห็นได้ชัดว่าตรงไปตรงมา เพิ่งสิ้นเสียงมั่วชิงเฉิน มันก็เงื้ออุ้งมือตะปบลงมา เกิดเสียงลมพัดหวิวขึ้น ปราณวิญญาณรอบๆ ปั่นป่วนอย่างรุนแรง ห้วงมิติดูเหมือนบิดเบี้ยวไปหมด ส่งเสียงปริดังเปรี๊ยะๆ
การตะปบครั้งนี้ อานุภาพน่าสะพรึงอย่างแน่นอน
มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย โยนไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันนิ้วมือตีเคล็ดวิญญาณออกมาสิบกว่าอันอย่างรวดเร็ว ปากตะโกนเบาๆ ว่า “ไป!”
แสงวิญญาณหายเข้าไปในไหมเกล็ดน้ำแข็ง แล้วก็เห็นไหมเกล็ดน้ำแข็งใหญ่ขึ้นโดยพลัน จากนั้นกลายเป็นหมอกบางๆ ที่เหมือนผ้าไหมบางๆ ผืนหนึ่ง ห่ออุ้งหมีที่ซัดมาตรงหน้าและลมแรงไว้ภายใน
ลมแรงที่ไร้รูปร่างนับไม่หวาดไหวมลายหายไปกลางหมอกบาง หมียักษ์สีน้ำตาลเบิกตากว้าง คำรามเสียงดังทีหนึ่ง อุ้งเท้าหมีตะปบไปทั่วทุกสารทิศ
ก่อให้เกิดลมแรงอานุภาพมหาศาลนับไม่ถ้วน กรีดหมอกบางจากทุกทิศทุกทางดังคมดาบ
แล้วก็เห็นหมอกบางผืนนั้นสั่นอยู่พักหนึ่ง แล้วแตกจากด้านในออกมาเหมือนคลื่นลายน้ำ
มั่วชิงเฉินหน้าซีด มือข้างหนึ่งตีเคล็ดวิญญาณที่ซับซ้อนหายเข้าไปในไหมเกล็ดน้ำแข็ง อีกมือหนึ่งกางออก เถาวัลย์ดำ เหลือง เขียวสามสีสลับกันทอเป็นแหใหญ่ปากหนึ่ง ครอบไปที่หมียักษ์สีน้ำตาล
หมียักษ์สีน้ำตายื่นขาหน้าออกมาข้างหนึ่งโบกสะบัดอย่างรุนแรง แหใหญ่ที่เข้ามาตรงหน้าก็ถูกทึ้งขาด ทว่าฉวยโอกาสนี้ ไหมเกล็ดน้ำแข็งจู่ๆ กลับสว่างจ้าขึ้น หมอกบางในตอนแรกกลายเป็นกำแพงล้อมที่เรียงขึ้นจากเกล็ดปลาเป็นชั้นๆ ล้อมหมียักษ์ไว้
มั่วชิงเฉินโล่งอกเล็กน้อย ตาข่ายฟ้าแหดินของนางเมื่อครู่ก็คือตัวหลอก เพื่อให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งแสดงประโยชน์นี้ออกมา มีกำแพงเกล็ดนี้ หมียักษ์สีน้ำตาลคิดจะดิ้นให้หลุดอย่างไรเสียก็ต้องเสียเวลาสักพัก พอที่จะประคองไปถึงนักพรตซานอินสู้เสร็จแล้ว
ทว่าในยามนี้เอง กลับได้ยินเสียงร้องอย่างอนาถเสียงหนึ่ง เป็นเสียงของนักพรตซานอิน!