มั่วชิงเฉินใจหล่นตุ๊บลงไป ยกตามองไป เห็นนักพรตซานอินล้มอยู่กับพื้น เสือดำเพลิงม่วงกระโดดตัวลอยตะครุบลงไปพอดี
นักพรตซานอินจะตายไม่ได้!
ในใจนางทันเพียงคิดเช่นนี้ มือแทบจะถอนเส้นผมออกเส้นหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เส้นผมทำสาย จิตเป็นธนู กระบี่ชิงมู่แทนศร ดังสวบเสียงหนึ่งก็ยิงออกไปแล้ว
เสียงวิ๊งเบาๆ สะท้อนอยู่ในอากาศ กระบี่ชิงมู่ไปถึงกลางอากาศทันใดนั้นสุกสกาวเจิดจ้า ร่ายรำขึ้นมาราวกับมีจิตวิญญาณ บุปผาวิญญาณนับหมื่นนับพันปรากฏขึ้นบนฟ้าเหมือนหมู่ดารา จากนั้นรวมกันเป็นลูกศรห้าสีดอกหนึ่ง พุ่งไปถึงหน้าเสือดำเพลิงม่วงอย่างปราดเปรียว
ศรบุปผาห้าสีที่บินมาผลิออกเสียงดังปึง กลายเป็นบุปผาวิญญาณมากมายอีกครั้งล้อมเสือดำเพลิงม่วงไว้ ในขณะเดียวกันเงาศรแทบจะโปร่งใสดอกหนึ่งบินออกจากปลายศรห้าสี หายตรงเข้าหว่างคิ้วของเสือดำเพลิงม่วง
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินดังขึ้น เสือดำเพลิงม่วงร้องโฮกๆ กลิ้งไปทั่ว ชนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าขนาดสองคนโอบต้นหนึ่งหักอย่างไม่คาดคิด
เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพียงในชั่วอึดใจเท่านั้น ขณะเดียวกับที่มั่วชิงเฉินยิงกระบี่ชิงมู่ออกมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสยดสยองสายหนึ่ง ตามมาติดๆ ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างนักพรตซานอิน นางโซซัดโซเซล้มลง แปลงเป็นนักยักษ์หางฟ้าตัวหนึ่ง เล็งช่วงท้องของนักพรตซานอินแล้วจิกลงไป
“เดรัจฉานเจ้ากล้า!” เสียงตะคอกดังแทบหูหนวกเสียงหนึ่งลอยมา
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าหูดังวิ๊งๆ ตามมาด้วยอาการปวดศีรษะ แม้แต่อสูรปีศาจพวกนั้นก็หยุดลงมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ หมียักษ์สีน้ำตาลที่กำลังโจมตีกำแพงเกล็ดปลาที่แปลงจากไหมเกล็ดน้ำแข็งอย่างบ้าคลั่งก็ตกใจเช่นกัน ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาแผ่วเบาอย่างคาดไม่ถึง
เงาคนอีกเงาหนึ่งมาถึง มั่วชิงเฉินถึงเห็นชัด ว่าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ใส่ชุดนักพรตพื้นขาวขลิบทอง
นกยักษ์หางฟ้าร้อง ‘ชู้บ’ เสียงหนึ่ง กางปีกออก แสงสีฟ้านับไม่ถ้วนยิงไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่รุดมา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโบกแขนเสื้อ แขนเสื้อก็พอขึ้นทั้งที่ไม่มีลม กลายเป็นถุงที่มองไม่เห็นก้นในพริบตาดูดแสงสีฟ้าพวกนั้นเข้าไปจนหมดสิ้น
นกยักษ์หางฟ้าร้องขึ้นอีกพักหนึ่ง แล้วก็เห็นแขนเสื้อสีขาวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพองขึ้นมา ราวกับซ่อนสัตว์ร้ายไว้ข้างในตัวหนึ่ง พร้อมจะแหกกรงออกมา แขนเสื้อทั้งข้างเผยให้เห็นสีฟ้าอย่างประหลาดรางๆ
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสีหน้าบึ้งตึง นิ้วมือจีบเคล็ดวิญญาณออกสายหนึ่งตีลงบนแขนเสื้อ แสงวิญญาณหายไป ขลิบทองที่ปลายแขนเสื้อเปล่งแสงทองเจิดจ้า ต่อจากนั้นกลายเป็นเชือกยาวสีทองมัดปลายแขนเสื้อไว้ แขนเสื้อสะบัดอีกสองที่ ในที่สุดก็สงบลง
ส่วนนกยักษ์หางฟ้าตัวนั้นกลับฉวยโอกาสนี้แปลงเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่ง บนขึ้นฟ้าไปเหมือนผีพุ่งไต้
“เดรัจฉาน!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสะบัดแขนเสื้อ ใต้เท้าปรากฏเมฆมงคงสีทองขึ้นก้อนหนึ่ง เท้าเหยียบเมฆมงคลลอยขึ้นช้าๆ ก้มหน้ากวาดนักพรตซานอินที่นอนอยู่บนพื้นปราดหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ ว่า “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เดือดร้อนเพราะข้า เช่นนั้นก็ตามข้าไปเถอะ”
พูดพลางสะบัดแขนเสื้อ กลายเป็นผ้าขาวยาวยื่นไปถึงหน้านักพรตซานอิน ปลายด้านหนึ่งของผ้าขาวม้วนขึ้นผูกนักพรตซานอินไว้ จากนั้นดึงขึ้น ผ้าขาวหดกลับมาอย่างรวดเร็วกลายเป็นแขนเสื้อใหม่ นักพรตซานอินก็นอนหมอบอยู่บนเมฆมงคลสีทองไม่ขยับเขยื้อน
ทำสิ่งนี้เสร็จ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดยื่นมือ ดีดแสงวิญญาณสายหนึ่งร่วงลงล่างไป ต่อจากนั้นไม่มองผู้คนสักปราด พานักพรตซานอินไล่ตามไปตามทิศทางที่นกยักษ์หางฟ้าหนีไป
หมียักษ์สีน้ำตาลที่ถูกกักอยู่ในเขตกำแพงเกล็ดปลาดูเหมือนสัมผัสถึงอันตรายใหญ่หลวงได้ ในตามีเปลวไฟโหมกระหน่ำแวบผ่าน จากนั้นกระโดดขึ้นข้างบนแล้วร่างกายก็ตกลงมาอย่างแรงอีก พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที ราวกับแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน
มั่วชิงเฉินที่เดิมทีก็เสียสมาธิไปรับมือเสือดำเพลิงม่วงจู่ๆ ได้รับการกระทบกระเทือนเช่นนี้ รู้สึกถึงรสเค็มที่คอหอยกระอักเลือดออกมา ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลับบังคับไว้ไม่อยู่อีกแล้ว แปลงเป็นผ้าไหมตกลงในมืออีกครั้ง
หมียักษ์สีน้ำตาลที่ดิ้นหลุดจากการจองจำกลับไม่ได้ฉวยโอกาสจู่โจม แต่กลับกอดหัววิ่งหนีไป
ทุกคนถึงเห็นว่า แสงวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านนั้นดีดออกก่อนจากไปพุ่งตรงไปที่หมียักษ์สีน้ำตาลอย่างไม่คาดคิด
แสงวิญญาณไล่ตามหมียักษ์สีน้ำตาลไป เมื่อมันไปเช่นนี้ อสูรปีศาจที่เหลือก็กระเจิดกระเจิงทันที วิ่งจนไม่เหลือหลอในพริบตา
“ศิษย์พี่มั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ศิษย์เหยากวงข้างๆ พยุงมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินหันหน้ามองดู คือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนที่เป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อนคนนั้น
“ไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินพูดจบก็วิ่งไปที่เสือดำเพลิงม่วง มาถึงตรงหน้าโบกมือเก็บเสือดำเพลิงม่วงเข้าถุงเก็บวัตถุ ถึงได้ย้อนกลับมา
ทุกคนต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ เพิ่งถึงเขาหลางหยาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่เป็นผู้นำก็ถูกพาไปอย่างงงๆ เช่นนี้แล้ว ต่อให้เป็นใครก็ไม่ได้สติกลับมา
มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนนั่นเป็นคนเซ่อ ในสมองไม่สามารถคิดมากได้เช่นนี้ เขารู้เพียงว่ายามอยู่หุบเขาลั่วเยี่ยนมั่วชิงเฉินก็คือหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา ยามนี้นักพรตซานอินไม่อยู่แล้ว มีอะไรไม่รู้ก็ต้องถามนาง ทันใดนั้นจึงตะโกนเสียงดังว่า “หัวหน้ากลุ่ม ต่อไปควรทำเช่นไร?”
หัวหน้ากลุ่มเสียงนี้เรียกจนมั่วชิงเฉินชะงัก กลับเรียกจนศิษย์เหยากวงคนอื่นได้สติกลับมา
มั่วชิงเฉินเดิมทีก็เป็นคนที่ตบะสูงที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้อยู่แล้ว ยิ่งมีชื่อเสียงใหญ่โตในเหยากวงอย่างประหลาด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ยามอยู่ที่หุบเขาลั่วเยี่ยนก็มีห้าคนที่เป็นลูกกลุ่มของนาง
มังกรไร้หัวก็เปรียบได้กับเม็ดทรายกระจัดกระจาย แทบจะไม่ต้องคิด ทุกคนก็เอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “หัวหน้ากลุ่ม ต่อจากนี้ควรทำเช่นไร?”
เมื่อครู่มั่วชิงเฉินฝืนใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งขังอสูรปีศาจขั้นห้าไว้ อีกทั้งแนบจิตตระหนักไว้บนกระบี่ชิงมู่ยิงเสือดำเพลิงม่วงตาย สิ้นเปลืองพลังค่อนข้างมาก บัดนี้ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามา กลับรู้ว่าเวลาเช่นนี้ ตนในฐานะคนที่มีตบะสูงสุดไม่อาจปล่อยไก่ได้ จึงตีหน้าตาย สายตามองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนที่ถูกช่วยไว้นั้น
สี่คนนั้นหมดเรี่ยแรงตั้งนานแล้ว เห็นคนที่ตบะสูงที่สุดในผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้มองมา คนหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยว่า “ขึ้นไปยี่สิบจั้งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีถ้ำถ้ำหนึ่ง เหมาะกับการซ่อนตัว ก่อนหน้านี้เราก็อยู่ที่นั่นมาตลอด”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ส่งสายตาให้ทุกคนในเหยากวง ทุกคนรับรู้เก็บศพอสูรปีศาจบนพื้นขึ้นมา
“หัวหน้ากลุ่ม” มองศพศิษย์เหยากวงสองศพบนพื้น ศิษย์คนหนึ่งเรียกขึ้น
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป โบกมือ เก็บศพสองศพนั้นขึ้นว่า “ไป”
ปล่อยให้สี่คนนั้นนำทาง ทุกคนมาถึงหน้าถ้ำที่พวกเขาพูดถึง
ข้างหนึ่งของปากถ้ำหินเขียวก้อนหนึ่งยื่นออกมาตามธรรมชาติ ซ่อนปากถ้ำไว้ หากมองจากด้านตรง จะไม่พบทางเข้าถ้ำโดยสิ้นเชิง มีเพียงอ้อมไปข้างซ้าย ถึงพบว่ามีอีกจักรวาลหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการซ่อนตัวโดยแท้
เข้าถ้ำแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในสี่คนนั้นที่หน้าตาเหมือนคนหนุ่มเอ่ยปากว่า “ขอบังอาจถามทุกท่าน ใช่สหายร่วมทางแห่งเหยากวงหรือไม่?”
แม้พูดกับทุกคน สายตากลับตกลงบนหน้ามั่วชิงเฉิน
“สหายเต๋าขอให้รอสักครู่” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบเสร็จ ก็นั่งขัดสมาธิลง กลืนโอสถเติมวิญญาณลงไปเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ
เหยากวงทุกคนสงบเงียบไร้เสียง ล้วนทำตามกันทุกคน
สี่คนนั้นมองหน้ากันปราดหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณเช่นกัน
มั่วชิงเฉินหลังจากที่ดูดซับหน่อไม้หินที่แดนไร้วิญญาณ ความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณสูงขึ้นอย่างมาก ผ่านไปไม่นานก็ลืมตาขึ้น ส่วนทุกคนยังหลับตานั่งสมาธิกันอยู่
นางก็ไม่ได้ออกเสียง ปล่อยศพของเสือดำเพลิงม่วงออกมาสำรวจอย่างละเอียด
รอทุกคนตื่นมาตามกัน จึงล้อมเข้ามา
“หึๆๆ นี่คืออสูรปีศาจขั้นหกนะ หัวหน้ากลุ่ม เจ้าร้ายกาจจริงๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนหัวเราะอย่างเหลอหลา
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ตามหัวหน้ากลุ่มที่หุบเขาลั่วเยี่ยน ข้าก็ดูออกแล้ว” คนที่พูด คือหลิวต้าฝาน
มั่วชิงเฉินยังนับว่าจำคนคนนี้ได้ลึกซึ้ง คนผู้นี้หน้าตาฉลาดเฉลียว พูดจาฉะฉาน แม้อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง พลังความสามารถกลับไม่ด้อย
“ไม่ใช่ข้าร้ายกาจ หากแต่นักพรตซานอินทำมันบาดเจ็บหนักอยู่ก่อนแล้ว” มั่วชิงเฉินเหลือบมองสี่คนนั้นปราดหนึ่งอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย แล้วเอ่ยนิ่งเรียบ
ก่อนหน้านี้นางใช้กระบี่แทนศรโดยจิตใต้สำนึก อีกทั้งใช้เส้นผมเป็นสาย แนบจิตตระหนักโจมตี ก็คือผลลัพธ์ที่รู้แจ้งยามที่รำกระบี่อยู่ที่เทือกเขาหมิงสยา บวกกับคำพูดโดยไม่ตั้งใจของนักพรตปี้เหลยประโยคหนึ่ง ยิ่งทำให้นางเห็นทิศทางอย่างคลุมเครือแล้ว จนกระทั่งถึงวันนี้ ในที่สุดหนทางเบื้องหน้าก็กระจ่างขึ้นในสมองนางแล้ว
การโจมตีนี้ อานุภาพมหาศาลจริงๆ ทว่าจะบอกว่านางแสดงฝีมือได้ดีเกินปกติฆ่าอสูรปีศาจขั้นหกได้ตัวหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้สิ้นดี
เสือดำเพลิงม่วงบาดเจ็บนานแล้ว ถึงเสียท่านางในทีเดียว แน่นอน ต่อให้เป็นเช่นนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้วก็เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจแล้ว
“นักพรตซานอินถูกเสือดำเพลิงม่วงทำร้ายบาดเจ็บมิใช่หรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนเกาศีรษะ
ยามนั้นทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ จนกระทั่งการปรากฏตัวและจากไปอย่างกะทันหันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ยังมีคนเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าหัวเราะว่า “นักพรตซานอินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย จะถูกอสูรปีศาจขั้นหกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสได้เช่นไรกัน?”
“หา เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่งว่า “น่าจะเป็นเพราะนักพรตซานอินทำร้ายเสือดำเพลิงม่วงแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ฆ่า กลับถูกนกยักษ์หางฟ้าที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาทำร้าย นกยักษ์หางฟ้านั่นสามารถจำแลงกายได้ อย่างน้อยเป็นอสูรปีศาจขั้นแปด หากคาดไม่ผิด มันถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิที่ไล่โจมตีมาข้างหลังทำร้ายบาดเจ็บเช่นกัน ถึงประคองไม่ไหวแปลงกลับร่างเดิม คิดจะดูดกินเลือดเนื้อแก่นทองของนักพรตซานอินเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ทว่าไม่คาดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจะตามมาเร็วปานนั้น ถึงได้หนีไป”
“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นไยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถึงพานักพรตซานอินไปล่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้น
“ผู้บำเพ็ญเพียรใหญ่เหล่านั้น ทำสิ่งใดไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถคาดเดาได้ ทว่าสาเหตุที่เป็นไปได้ที่สุด น่าจะเพราะไม่ยอมติดค้างผลกรรมกระมัง” มั่วชิงเฉินพูดพลางแสงวิญญาณที่ปลายนิ้วสว่างแวววับ เริ่มจัดการศพของเสือดำเพลิงม่วง
ต้องรู้ว่าเสือดำเพลิงม่วงเป็นอสูรปีศาจขั้นหกเชียวนะ พูดได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานพวกนี้แล้ว ยิ่งเป็นสมบัติมหาศาลก้อนหนึ่ง
หนังเสือ กระดูกเสือ มุกปีศาจ มั่วชิงเฉินเฉือนแยกออกมาอย่างคล่องแคล่ว ที่ส่วนอกและท้องของเสือดำเพลิงม่วง พบแสงสีม่วงก้อนหนึ่ง
“นี่คืออะไร?” มีคนถามด้วยความแปลกใจ กลับไม่กล้าเสียงดัง กลัวรบกวนมั่วชิงเฉิน
บอกตามตรง การเห็นการจัดการอสูรปีศาจขั้นหกตัวหนึ่งเป็นของรางวัลกับตา ช่างตื้นตันใจจริงๆ
มั่วชิงเฉินเพ่งพิศแสงสีม่วงก้อนนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นชักกริชออกมาฟันลงไปอย่างแรง
เสียงฉับเบาๆ ดังขึ้น จากนั้นก็เห็นแสงสีม่วงแบ่งเป็นสอง สว่างจ้าขึ้นโดยพลัน อย่างรวดเร็วแสงม่วงก็มืดมิดอับแสงอีก ของมากมายหล่นพรวดพราดลงจากฟ้า
มั่วชิงเฉินเข้าใจทันที ที่แท้นี่เป็นมิติเก็บของของอสูรปีศาจ!
พอของพวกนี้ปรากฏขึ้น แสงวิญญาณระยิบระยับขึ้นในถ้ำทันที สว่างไสวไปทั่ว
ที่สว่างขึ้นตาม ยังมีตาของผู้บำเพ็ญเพียรทุกคน สายตาของพวกเขา ราวกับถูกทากาวไว้ ตกลงตรงๆ บนของที่ปรากฏขึ้น
“เขาพิชิตเซียน เขาพิชิตเซียนของอาจารย์อาหลานเฉิง!” ในสี่คน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ท่าทางเหมือนคนหนุ่มสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา