พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 307 การซื้อขายที่ไม่ขาดทุน

 

 

สายตากระจ่างและสงบของมั่วชิงเฉินมองไป

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ท่าทางเหมือนคนหนุ่มเมื่อสัมผัสถูกสายตาของมั่วชิงเฉิน รู้ตัวว่าเสียกิริยาทันที จึงฝืนกดความรู้สึกตื่นเต้นลงไปว่า “ไม่ทราบสหายเต๋ามีนามว่าอันใด ใช่มาจากพรรคเหยากวงหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินสาดสายตาไป พบว่าผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างค่อนข้างเตี้ยที่อยู่ข้างผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มสีหน้าตื่นเต้นยิ่งกว่า แทบจะจ้องเขาพิชิตเซียนในมือนางตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นจึงยิ้มนิ่งเรียบว่า “ข้าแซ่มั่ว ขบวนของเรานี้ล้วนมาจากพรรคเหยากวง พรรคมาที่นี่เพื่อกวาดล้างอสูรปีศาจ ไม่ทราบทั้งสี่ท่านคือ?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มรับรู้ รีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยแซ่โจว” พูดพลางชี้ผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างเตี้ยข้างๆ ว่า “นี่คือศิษย์น้องข้า แซ่หยาง พวกเราสองคนล้วนมาจากนิกายเจิ้นโซ่ว”

 

 

“นิกายเจิ้นโซ่ว? มิใช่ว่านิกายเจิ้นโซ่วเปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้วหรือ?” ศิษย์เหยากวงผู้หนึ่งหลุดปากออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดมองนิ่งเรียบปราดหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นเงียบเสียงทันที

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวตกใจ ดูท่าเกียรติภูมิของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้สูงทีเดียว เสียงจึงนอบน้อมขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัวว่า “สำนักข้าเปิดค่ายกลใหญ่ผนึกภูเขาแล้วจริงๆ ทว่ามีศิษย์บางคนยามนั้นยังสู้ศัตรูอยู่ข้างนอก สถานการณ์วิกฤตกลับสำนักไม่ทัน ข้าและศิษย์น้องหยางก็เป็นเช่นนี้แหละ”

 

 

พูดพลางชี้ผู้บำเพ็ญเพียรชายอีกผู้หนึ่งว่า “ท่านนี้คือสหายเต๋าเนี่ย”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกเรียกว่าสหายเต๋าเนี่ยจึงยิ้มให้มั่วชิงเฉินนิ่งเรียบ ถือเป็นการทักทาย

 

 

นี่คือคนพูดน้อย ความคิดนี้แวบผ่านในใจมั่วชิงเฉิน ยิ้มให้เขาเช่นเดียวกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวชี้ไปที่คนสุดท้าย นั่นคือผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้หนึ่งว่า “นี่คือสหายเต๋าหลัว”

 

 

มั่วชิงเฉินอดมองผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวในสี่คนเพิ่มขึ้นปราดหนึ่งไม่ได้ สาเหตุไม่มีอื่นใด เป็นเพราะหญิงผู้นี้งดงามมากจริงๆ

 

 

ตลอดมาโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่ขาดหญิงสาวหน้าตาสะสวย คนเห็นมามากแล้ว ก็ชินชาเสียแล้ว คนที่สามารถทำให้คนตาเป็นประกายจริงๆ นั้นมีไม่มาก ส่วนหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ กลับสามารถนับได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว

 

 

นางเป็นเหมือนต้วนชิงเกอ ล้วนจัดเป็นสาวงามที่สะอาดหมดจดไร้ผู้เทียมทาน ทว่ายอดคิ้วหางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย เพิ่มความเย็นชาเย่อหยิ่งขึ้น

 

 

ไม่ผิดจากที่คาด ฟังผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวแนะนำแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นเพียงแต่เม้มปากเบาๆ ไม่พูดอะไรสักแอะ

 

 

กับคนพวกนี้เพียงแค่รู้จักผิวเผิน ต่อจากนี้แม้อาจต้องสู้กันเคียงบ่าเคียงไหล่ กลับเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ นับไม่ได้ว่าเป็นสหายจริงๆ มั่วชิงเฉินย่อมไม่ใส่ใจเป็นธรรมดา พยักหน้าเช่นเดียวกันถือเป็นการทักทาย สายตาตกลงบนวัตถุที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศกองนั้นใหม่

 

 

ของปนกันวุ่นวายไปหมดกองนี้ มีขวดหยก มีหินผลึกแก้ว ยังมีก้อนหินที่ดูวัสดุไม่ออกและของจิปาถะที่พิลึกกึกกือ ที่สะดุดตาที่สุดก็คือของสามสิ่งนี้

 

 

ชิ้นหนึ่งในนั้นทำจากหยก กลับเคลือบไปด้วยสีเหลืองเก่าโบราณ แหลมทั้งสองด้าน ตรงกลางมีรูอยู่รูหนึ่ง เหมือนกี่ที่ใช้ทอผ้า อีกชิ้นหนึ่งคือกระพรวนติดกันคู่หนึ่ง ด้านล่างยังผูกไหมแดงไว้

 

 

ทั้งสองชิ้นนี้ล้วนเป็นอาวุธเวท ส่วนชิ้นที่สาม คือสมบัติวิเศษที่รูปร่างเหมือนเขาวัวชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคือเขาพิชิตเซียนที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวผู้นั้นพูดถึงแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นนิ้วมือเรียวยาวออก ไล้เบาๆ ผ่านของพวกนี้ จากนั้นมองไปที่ผู้คนพรรคเหยากวงว่า “เสือดำเพลิงม่วงนี้หลังจากถูกนักพรตซานอินทำร้ายบาดเจ็บแล้ว ได้ข้าเป็นผู้ฆ่า มุกปีศาจของเสือดำเพลิงม่วงเป็นของข้า อาวุธเวทสามชิ้นนี้ข้าเลือกชิ้นหนึ่ง พวกเจ้ามีความเห็นหรือไม่?”

 

 

ศิษย์เหยากวงส่ายศีรษะพร้อมกันว่า “ไม่มีความเห็นอยู่แล้ว”

 

 

หลิวต้าฝานเอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่มั่ว เจ้าเป็นคนฆ่าเสือดำเพลิงม่วง เจ้าเอาไปหมดพวกเราก็ไม่มีความเห็น”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มไม่พูด สายตาตกลงบนอาวุธเวทสามชิ้นนี้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนภายใต้สถานการณ์เช่นนางนี้ อาจเม้มเสือดำเพลิงม่วงไว้หมด คนอื่นแม้ไม่ว่าอะไร แต่ยากจะรับรองได้ว่าในใจไม่คิดอะไร เพราะอย่างไรเสียเสือดำเพลิงม่วงบาดเจ็บอยู่ก่อน หากนักพรตซานอินอยู่ เช่นนั้นควรให้ทั้งสองคนแบ่งกัน

 

 

มั่วชิงเฉินไม่เต็มใจเอาเปรียบเช่นนี้ นักพรตซานอินไม่อยู่ นอกจากมุกปีศาจที่นางเห็นความสำคัญที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แบ่งให้ทุกคนเพื่อหลีกเลี่ยงคำตำหนิ แน่นอน ของที่นางควรได้นางก็ไม่มืออ่อนเช่นกัน ประเภทเป็นคนดีส่งเดชนางทำไม่ได้เช่นกัน

 

 

กี่ที่ทำจากหยกนั่น เห็นชัดว่าเป็นอาวุธเวทโจมตีชิ้นหนึ่ง มั่วชิงเฉินจิตตระหนักแม้สัมผัสชั่วครู่สั้นๆ กลับสามารถสัมผัสได้ว่าอานุภาพของกี่หยกแข็งแกร่งทีเดียว ในใจอดหวั่นไหวไม่ได้

 

 

ตามหลักแล้ว ทุกครั้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรเลื่อนขึ้นหนึ่งเขตแดน ก็ควรดูว่าอาวุธเวทต่างๆ ที่ใช้อยู่ว่ายังเหมาะสมอยู่หรือไม่ นางกลับเพราะความบังเอิญต่างๆ ถูกบังคับเลื่อนขั้นจนถึงระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาวุธเวทที่ยังเหมาะจะใช้อยู่เหลือเพียงไม่กี่ชิ้น

 

 

ชามใหญ่ดอกเขียวที่ใช้สำหรับเหินหาวปริจนไม่สามารถซ่อมได้นานแล้ว เพราะเป็นของที่กู้หลีมอบให้เมื่อนานมาแล้วจึงทำใจทิ้งไม่ได้ จึงเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุผนึกขึ้นมา บัดนี้ที่ใช้บ่อยก็คือเรือเมฆาลำนั้นแล้ว

 

 

ความเร็วเรือเมฆาในบรรดาอาวุธเวทเหินหาวอย่างมากจัดอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง ปกติใช้ในการเร่งเดินทางก็ถือว่าเพียงพอ ดังนั้นมั่วชิงเฉินจึงไม่รีบเปลี่ยน อย่างไรเสียรอถึงก่อแก่นปราณก็สามารถปลดปล่อยอานุภาพของไหมเกล็ดน้ำแข็งได้เต็มที่แล้ว

 

 

ในด้านการป้องกัน กลับมีเพียงเสื้อวิเศษที่เลี่ยมหัวใจผลึกแก้วที่กู้หลีไหว้วานคนหลอมให้ชิ้นนั้น เพราะใส่ไว้แนบกาย ปกติไม่สามารถใช้ในการป้องกันศัตรูได้ หากศัตรูปรากฏตัวออกมา จะให้นางกางมือปุ๊บขว้างตู้โตวออกไปคงไม่ได้หรอกกระมัง

 

 

นี่ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตี ทว่าในด้านการโจมตี นางก็ไม่มีอาวุธเวทที่เหมาะมือเช่นกัน

 

 

ก้อนอิฐได้แต่ใช้มารับมือผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบะต่ำกว่าตนเพื่อระบายอารมณ์ ระเบิดสะท้านฟ้าเป็นของที่ใช้แล้วหมดไป เถาวัลย์กลับได้แต่ใช้ในยามเผลอ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่ใช้รับมือศัตรูอย่างแท้จริงเพราะการรู้แจ้งครั้งนั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนการคลำทางปรับให้เข้ากัน นับไปนับมา ไม่มีอาวุธเวทที่ใช้ได้เลยสักชิ้นอย่างคาดไม่ถึง

 

 

การปรากฏตัวขึ้นของกี่หยก เป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ส่วนกระพรวนคู่ทำจากทองอีกชิ้นหนึ่ง ดูก็รู้ว่าเป็นอาวุธเวทประเภทใช้เสียงโจมตี สำหรับด้านนี้นางศึกษาไม่มาก และก็ไม่สนใจสักเท่าไร จึงเฉยเสีย

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกหยิบเขาพิชิตเซียนอาวุธเวทชิ้นสุดท้ายขึ้นมา

 

 

ใครจะรู้ว่าเพิ่งหยิบขึ้นมา ก็ได้ยินคนเอ่ยว่า “ช้าก่อน นั่น นั่นเป็นสมบัติวิเศษของอาจารย์อาหลานเฉิงพรรคข้า!”

 

 

มั่วชิงเฉินสายตาเย็นชาเล็กน้อย มองไปที่หน้าคนผู้นั้น ไม่พูดสักคำ ในใจกลับรู้สึกน่าขันรางๆ

 

 

“ศิษย์น้องหยาง” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวกระตุกผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยาง มองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว นักพรตหลานเฉิงนิกายเจิ้นโซ่วข้าดับสูญ เพราะเสือดำเพลิงม่วงตัวนี้ สมบัติวิเศษของเขาพิชิตเซียนใช้ควบคู่กับวิชาลับเฉพาะของนิกายข้า สามารถควบคุมอสูรปีศาจได้ ตกไปอยู่ในมือผู้อื่นกลับประโยชน์ไม่มาก…”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวพลางพูดพลางพิจารณาสีหน้ามั่วชิงเฉินอย่างไม่ให้เห็นร่องรอย กลับเห็นนางมีแต่ความสงบ ยิ้มหวานอ่อนๆ ถามว่า “ความหมายของสหายโจวคือ?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวใจกระตุกทีหนึ่ง เมื่อครู่เขาพูดเช่นนั้นตั้งใจค้างไว้ ก็เพื่อดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้มีปฏิกิริยาเช่นไร หากนางโมโหโกรธา เช่นนั้นก็เป็นเพียงศิษย์สำนักใหญ่ที่มีเพียงตบะสูงส่ง เย่อหยิ่งไม่เห็นคนในสายตาเท่านั้น ทว่านางดันไม่อุ่นไม่ร้อน เพียงแต่ถามเจตนาของเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน ยิ่งกลับทำให้คนมองไม่ทะลุปรุโปร่งขึ้นมา

 

 

“เขาพิชิตเซียนของอาจารย์อาหลานเฉิงเป็นสมบัติวิเศษที่มีชื่อของพรรคข้า ย่อมควรกลับคืนสู่พรรคข้า” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางที่อยู่นิกายเจิ้นโซ่วเช่นเดียวกันพูดแทรกอย่างร้อนรนเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินหุบยิ้ม สายตากลับมองไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวว่า “สหายเต๋าโจวก็คิดเช่นนี้หรือ?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางปราดหนึ่ง จากนั้นคารวะครึ่งระดับต่อมั่วชิงเฉินถือเป็นการขอขมาว่า “ศิษย์น้องหยางใจตรงปากไว ขอสหายเต๋ามั่วอย่างได้ถือโทษ เพียงแต่มีจุดหนึ่งศิษย์น้องหยางพูดได้ไม่ผิด เขาพิชิตเซียนนี้ข้าน้อยอยากนำกลับนิกายเจิ้นโซ่วจริงๆ เพื่อเซ่นดวงวิญญาณอาจารย์หลานเฉิงบนสวรรค์ แน่นอน เขาพิชิตเซียนเอาออกมาจากท้องเสือดำเพลิงม่วง อีกทั้งเสือดำเพลิงม่วงสหายเต๋ามั่วก็เป็นผู้ฆ่า เขาพิชิตเซียนนี้ย่อมต้องตกเป็นของสหายเต๋ามั่ว ข้าน้อยเพียงแต่อยากซื้อมา ขอให้สหายเต๋ามั่วสงสารนิกายเจิ้นโซ่วข้าต้องสู้ศัตรูอย่างยากลำบาก สูญเสียบุคคลที่มีความสามารถ จะสามารถตัดใจได้”

 

 

คำพูดนี้มีเหตุผล มีผลประโยชน์ มีมารยาท ยังชี้ให้เห็นว่าเขาพิชิตเซียนตกอยู่ในมือผู้อื่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก มั่วชิงเฉินจึงมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวเพิ่มอีกปราดหนึ่ง คนผู้นี้ไม่ธรรมดา

 

 

เมื่อครู่นางแอบสำรวจแล้ว เขาพิชิตเซียนน่าจะเป็นสมบัติวิเศษประเภทค่อนข้างนอกลู่นอกทาง สมบัติวิเศษเช่นประเภทนี้ ก็เป็นดังที่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวว่ามา หากไม่ได้ศึกษาทางนี้มาโดยเฉพาะ ก็ไม่มีประโยชน์กับผู้อื่นโดยสิ้นเชิง หากนางดื้อรั้นเก็บไว้ ก็เพียงแค่ล่วงเกินคนโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น ยังไม่สู้แลกเป็นของที่ใช้ได้จริงเสียหน่อยดีกว่า

 

 

นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบาว่า “ไหนๆ สหายเต๋าโจวก็พูดเช่นนี้แล้ว เขาพิชิตเซียนนี่ข้าย่อมไม่เก็บไว้ เพียงแต่ไม่ทราบว่า…สหายเต๋าโจวคิดจะใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวครุ่นคิดชั่วครู่ โบกมือตรงหน้าก็ปรากฏถุงขึ้นใบหนึ่ง บวกกับขวดอีกมากมาย และกล่องไม้ประดู่อีกใบหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดจิตตระหนัก ก็รู้ว่าที่อยู่ในถุงคือหินวิญญาณ ในขวดคือโอสถต่างๆ ส่วนกล่องไม้ประดู่นั่น กลับผนึกคาถาห้ามเทพไว้ ตรวจสอบไม่ได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวยิ้มเบาๆ ยื่นมือเปิดกล่องไม้ประดู่ออกว่า “สหายเต๋ามั่วเชิญดู นี่คือเหอโส่วอูวิญญาณดินพันปีที่ข้าน้อยเก็บมาหลายสิบปี ในขวดพวกนี้คือโอสถหลายชนิด ไม่ทราบพวกนี้ สามารถแลกเปลี่ยนเขาพิชิตเซียนหรือไม่?”

 

 

แม้พูดเช่นนี้ ในใจผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวกลับรู้สึกเสียใจขึ้นแวบหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเช่นเขา ไม่มีโอสถมากมายถึงเพียงนี้โดยสิ้นเชิง พวกนี้ ล้วนรวบรวมมาจากตัวศิษย์ร่วมสำนักที่ดับสูญพวกนั้นทั้งนั้น

 

 

สายตามั่วชิงเฉินตกไปอยู่บนเหอโส่วอูวิญญาณดินพันปี นางรู้เรื่องสมุนไพรทิพย์โอสถวิญญาณค่อนข้างมาก ได้ยินมานานแล้วว่าในบรรดาเหอโส่วอูมีชนิดหนึ่งล้ำค่าที่สุด ก็คือเหอโส่วอูวิญญาณดิน เหอโส่วอูชนิดนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ผมขาวกลับดำ ยังมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง พูดตามตรง เหมาะกับการบำรุงร่างกายนางที่ถูกอูเย่ว์ทรมานจนเกือบตายพอดี

 

 

ยิ่งกว่านั้นเหอโส่วอูวิญญาณดินต้นนี้รากยังอยู่ครบ หากนางปลูกไว้ในสวนสมุนไพรใช้สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนรด ไม่เกินสามสิบปี ก็สามารถได้เหอโส่วอูวิญญาณดินอายุหมื่นปีได้ต้นหนึ่งแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออก ถุงที่ใส่หินวิญญาณและเหอโส่วอูวิญญาณดินพันปีก็ร่วงลงในมือ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ ดันขวดพวกนั้นกลับไป

 

 

“สหายเต๋ามั่วนี่คือ?” ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวก็สีหน้าเปลี่ยน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างไม่มีอารมณ์โกรธสักสายว่า “สหายเต๋าโจว พวกเราเฝ้าอยู่ที่เขาหลางหยา วันหลังยังไม่รู้ว่าต้องสู้ศึกร้ายอีกเท่าไร เจ้าเอาโอสถออกมาหมด ตนเองจะทำเช่นไร?”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวชะงักว่า “ทว่าข้าน้อยไม่มีของอย่างอื่นอีกแล้ว” พูดพลางมองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางปราดหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หยางเอ่ยเสียงดังทันทีว่า “ศิษย์พี่โจว เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ คนเขาไม่เห็นโอสถพวกนี้ในสายตา คิดจะให้เราเอาของมากกว่านี้ออกมาน่ะ!”

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่โกรธ ยกมือขึ้นคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งบินไปหน้าผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวว่า “สหายเต๋าโจว ในเมื่อเจ้าเอาของอย่างอื่นออกมาไม่ได้ โอสถพวกนั้นเจ้ายังคงเก็บกลับไปดีกว่า แล้วเขียนหินวิญญาณที่ติดไว้บนม้วนคัมภีร์หยกนี่ก็พอแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจวชะงักงัน ใบหน้าฉายแววซาบซึ้งว่า “ขอบคุณสหายเต๋ามั่ว” พูดถึงตรงนี้ลังเลทีหนึ่งว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าก็ไม่กลัว…”

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วหัวเราะขึ้นมาว่า “มีม้วนคัมภีร์หยกนี้อยู่ ย่อมไม่กลัวสหายเต๋าโจวเบี้ยอยู่แล้ว” ในใจกลับเสริมประโยคหนึ่ง หากพวกเจ้าโชคร้ายดับสูญ เขาพิชิตเซียนก็กลับมาอีกแล้ว จะคำนวณเช่นไรก็ไม่ขาดทุน

 

 

มอบเขาพิชิตเซียนให้ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่โจว มั่วชิงเฉินหยิบกระพรวนคู่ขึ้นมา กลับได้ยินเสียงหญิงสาวเย็นกระจ่างขึ้นว่า “ช้าก่อน”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset