มุกปีศาจขาวสะอาดดุจหิมะเม็ดหนึ่งบินออกจากปากจิ้งจอกหิมะ เวียนว่ายอยู่ในคลื่นยักษ์ลูกมหึมา
หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษ ฟันกัดริมฝีปากล่างแน่น ชูมือกระพรวนทองคู่ปรากฏขึ้น
‘กรุ๊งกริ๊งๆ’ เสียงกระพรวนเสนาะหูสายหนึ่งดังทะลุชั้นเมฆ จากนั้นก็เห็นกระพรวนข้างหนึ่งดิ้นหลุดจากพันธนาการบินเข้าหาจิ้งจอกหิมะ กระพรวนข้างที่เหลืออยู่ในมือหลัวเตี๋ยจวิน ยิ่งสั่นยิ่งเร่งรีบ
กระพรวนทองที่บินไปถึงกลางอากาศใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ถึงขนาดเท่าระฆังถึงหยุดลง แล้วหมุนครอบไปที่หัวจิ้งจอกหิมะ
จิ้งจอกหิมะร้อง ‘อาอู๊’ เสียงหนึ่ง ว่ายน้ำหลบไปข้างๆ มุกปีศาจที่โบยบินอยู่ร้องครางเบาๆ ชนเข้าที่กระพรวนทองตรงๆ
“ไป!” มั่วชิงเฉินร้องเสียงกังวาน ผ้าไหมในมือสะบัดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ เห็นเพียงน้ำทะเลเต็มท้องฟ้าคำรามพลางม้วนทะยาน คลื่นยักษ์ก็ซัดจิ้งจอกหิมะขึ้น ดันไปถึงบนยอดคลื่น
จิ้งจอกหิมะกรีดร้องเสียงดัง แหลมและเศร้าจนคนสะท้าน มุกปีศาจเปล่งเสียงดังวิ้งๆ ส่องรัศมีพราวระยับประเดี๋ยวใหญ่ประเดี๋ยวเล็ก ประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด เพียงแค่มอง ก็รู้ว่าอาจระเบิดได้ตลอดเวลา
หลัวเตี๋ยจวินสั่นกระพรวนทองในมืออย่างเร่งรีบ กระพรวนทองกลางอากาศส่งเสียงไพเราะ เสียงกระพรวนเป็นสายๆ บินออกจากปากกระพรวนดุจรอยคลื่น ไปถึงที่มุกปีศาจวงเสียงหดจากใหญ่เล็กลง เหมือนจะทำให้มุกปีศาจให้สงบลงก็ไม่ปาน
เมื่อไรที่มุกปีศาจระเบิด ทั้งสองคนต้องถูกระเบิดจนไม่เหลือซากแน่นอน
สถานการณ์มาถึงยามคับขันอย่างที่สุด สมองของมั่วชิงเฉินกลับสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษ
เห็นเพียงนางเก็บกี่หยกขึ้น แล้วถอนเส้นผมออกเส้นหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน ใช้เส้นผมเป็นสาย แปลงคันธนูจากกลางอากาศ ยิงกระบี่ชิงมู่ที่ไม่สะดุดตาออกไปดังสวบ
หลัวเตี๋ยจวินตาเบิกกว้างทันที
เห็นเพียงในอากาศ กระบี่ชิงมู่ค่อยๆ แปลงเป็นกิ่งบุปผานับหมื่นพัน บานจากด้านในสู่ด้านนอกสะพรั่งออกรอบทิศ
มาถึงด้านล่างได้กลายเป็นน้ำตกทะเลบุปผา กลีบดอกร่วงพราว ล้อมจิ้งจอกหิมะไว้ภายใน
ลมบูรพาพัดบุปผาร่วงนับพันต้น ยิ่งพัดดวงดาราร่วงดุจสายฝน ที่พูดถึงก็คือวิวทิวทัศน์เช่นนี้
“อะอู๊…” จิ้งจอกหิมะแหงนหน้า ร้องขึ้นมาอย่างอนาถ จากนั้นกลิ้งเกลือกไม่หยุด ไม่คิดว่าไฟจะท่วมร่างแล้ว
มองดูจิ้งจอกหิมะที่ทุกข์ทรมานเหลือแสน กลิ้งเกลือกตบเปลวไฟบนร่างไม่หยุด หลัวเตี๋ยจวินลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าซีดเผือด เดินมายืนเคียงไหล่ข้างมั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
จากที่นางเห็น จิ้งจอกหิมะตัวนั้นถูกกิ่งบุปผานับหมื่นพันที่สะพรั่งเต็มไปด้วยบุปผาสีสันสดใสดอกใหญ่ๆ ล้อมไว้ ดูแล้วแสงวสันต์งดงามเหลือจะกล่าว อยู่ดีๆ มันกลับไฟลุกท่วมตัว ช่างประหลาดเหลือเกิน
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นที่สามทะเลบุปผามายาที่ไม่รู้แจ้งเสียทีจะฝึกสำเร็จในยามนี้แล้ว
ในทะเลบุปผานั่นมายาเกิดจากใจ เผ่าจิ้งจอกหิมะน่าจะกลัวไฟ ทะเลเพลิงเป็นเพียงสิ่งที่ชีซีคิดไปเองเท่านั้น
ทะเลบุปผามายา ก็คือทำให้คนที่ตกอยู่ภายในพบเรื่องที่หวาดกลัวที่สุด
“เป็นภาพมายา” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา
หลัวเตี๋ยจวินเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” เพิ่งสิ้นเสียงก็ตัวเซ ล้มลงล่างไป
มั่วชิงเฉินรีบยื่นมือพยุงไว้ว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าเป็นอะไรไป?”
หลัวเตี๋ยจวินยื่นมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ส่ายหน้าหัวเราะนิ่งเรียบว่า “ไม่เป็นไร เพียงแต่สูญเสียโลหิตกระตุ้นพิณสามสายและกระพรวนทองคู่ ร่างกายอ่อนเพลียไปบ้างเท่านั้น”
ในยามนี้เองเสียงกรีดร้องที่ทำให้คนใจสะท้านเสียงหนึ่งลอยมา พวกมั่วชิงเฉินสองคนรีบมองไป ก็เห็นจิ้งจอกหิมะที่อยู่ในทะเลบุปผาฟุบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ครู่หนึ่งเปลี่ยนเป็นชีซี ครู่หนึ่งเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกอีก สลับกลับไปกลับมาสิบกว่าครั้ง ในที่สุดก็ไม่สลับอีก ปรากฏจิ้งจอกสีดำและขาวสลับกัน ถูกเผาจนขนหลุดร่วงตัวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินเดินเข้าไป ล้อมจิ้งจอกไว้สำรวจอย่างระมัดระวัง ตายสนิทแล้วจริงๆ จึงอดสบตากันปราดหนึ่งไม่ได้
หลัวเตี๋ยจวินส่ายศีรษะเบาๆ
“เป็นอันใดหรือ สหายเต๋าหลัว?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ
หลัวเตี๋ยจวินเผยสีหน้าเสียดายว่า “น่าเสียดายขนจิ้งจอกชั้นเลิศถูกเผาจนเป็นเช่นนี้ ใช้ไม่ได้เสียแล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะนิ่งเรียบแล้วไม่ได้พูดอะไร ฆ่าปีศาจจิ้งจอกชีซีที่รู้จักกันมาสิบปีตาย ก้อนหินยักษ์ที่ทับอยู่ในใจมาตลอดแม้ถูกย้ายไปแล้ว หากพูดว่าปิติสักเพียงใด กลับก็ไม่ แน่นอนหากให้เลือกอีกครั้ง นางยังคงจะทำเช่นนี้
เพราะอย่างไรเสียระหว่างพวกนางสองคนและปีศาจจิ้งจอกสองตัว เป็นความขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมได้แล้ว
หลัวเตี๋ยจวินเดินไปข้างหน้าจิ่วเย่ว์แล้วมองดู แล้วเบือนสายตามองมั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋ามั่ว จิ่วเย่ว์ตัวนี้จะจัดการเช่นไร? ฆ่าหรือไม่?”
“ฆ่าเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าสงบ
ชีซีก็ฆ่าไปแล้ว หากทำใจฆ่าจิ่วเย่ว์ไม่ได้ นั่นเป็นเพียงแค่ความใจอ่อนเหมือนสตรีเท่านั้น
หากตบะของจิ่วเย่ว์ต่ำกว่าพวกนางยังคุยกันได้ เฉพาะเจาะจงมันเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า หากเก็บไว้ แล้วเกิดมีวิธีอะไรหนีรอดไปได้ เช่นนั้นคนที่หาเรื่องใส่ตัวก็คือพวกนางแล้ว ยิ่งกว่านั้นพี่รองของจิ่วเย่ว์มาได้ทุกเมื่อ นางไม่อยากรับมืออสูรปีศาจขั้นห้าสองตัวพร้อมกันหรอกนะ
มีเสียงเสียงหนึ่งแอบถามนางอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นั้นอาจเป็นคนรักในอดีตของอาจารย์ชัดๆ ยังฆ่าสาวใช้คนสนิทของนางอีก ไม่กลัววันหลังจะอธิบายต่ออาจารย์ไม่ได้หรืออย่างไร?
มั่วชิงเฉินกลับกดเสียงนั้นลงไปอย่างไม่ลังเลว่า “หากอาจารย์โทษนางเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นท่านก็ไม่ใช่อาจารย์แล้ว
ถูกต้อง พวกเขาศิษย์อาจารย์อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี อย่างอื่นนางอาจดูไม่เข้าใจ อย่างน้อยมีสองอย่างสามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือการให้อภัยและความเชื่อใจ
หลัวเตี๋ยจวินฆ่าจิ่วเย่ว์แล้ว เอามุกปีศาจของจิ่วเย่ว์และชีซีออกมาแล้วย้อนกลับมาว่า “สหายเต๋ามั่ว มุกปีศาจสองเม็ด เราคนละเม็ดเถอะ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า รับเม็ดหนึ่งในนั้นมาเก็บขึ้น
เผ่าปีศาจไม่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถและอาวุธ วัตถุที่ระเบิดออกจากมิติเก็บวัตถุของจิ่วเย่ว์และชีซีหลังตาย ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับของสตรี พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่สนใจของเหล่านี้ เพียงแต่เอากระจกหลิงฮวาของจิ่วเย่ว์ เชือกห้าสีของชีซีอีกทั้งต่างหูปะการังสีแดงข้างนั้นขึ้นมาเท่านั้น
หลัวเตี๋ยจวินคิดๆ แล้ว ถลกหนังจิ้งจอกที่สมบูรณ์ออกอีก ถึงเอ่ยว่า “สหายเต๋ามั่ว ชีซีมีของสองสิ่ง จิ่วเย่ว์มีเพียงกระจกหลิงฮวา ทว่าหนังจิ้งจอกของมันสมบูรณ์ไร้ตำหนิ เราแบ่งคนละสองสิ่งเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ดี”
“สหายเต๋ามั่ว การตายของจิ่วเย่ว์ เป็นความดีความชอบของเจ้าทั้งหมด ก็ให้เจ้าเลือกก่อนแล้วกัน” หลัวเตี๋ยจวินเอ่ย
มั่วชิงเฉินก็ไม่บ่ายเบี่ยง กวาดมองวัตถุสี่ชิ้นปราดหนึ่ง แล้วหยิบกระจกหลิงฮวาและต่างหูปะการังสีแดงมา
เชือกห้าสีแม้ไม่เลว ทว่านางมีเถาวัลย์ กี่หยกก็สามารถปล่อยเส้นไหมหมื่นเส้นอีก ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างกับเชือกห้าสี กลับเป็นกระจกหลิงฮวาที่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร อย่างน้อยเป็นสิ่งที่ไม่มีในอาวุธเวทของนางในยามนี้ ถูกใจนางยิ่งกว่า
ส่วนหนังจิ้งจอกของจิ่วเย่ว์ แม้บอกว่าฆ่ามันอย่างไม่ลังเล ทว่าถลกหนังของมันใส่ไว้บนตัว กลับทำไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่หยิบต่างหูข้างนั้นติดมือมา
หลัวเตี๋ยจวินก็พอใจมากเช่นกัน เก็บเชือกห้าสีและหนังจิ้งจอกขาวดุจหิมะขึ้น ไม่คิดว่าที่มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋ามั่ว ต่อจากนี้พวกเราจะทำเช่นไร รอพี่รองของจิ่วเย่ว์มาหรือ?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ไม่ว่าจะทำเช่นไร เรากลับสระหมื่นเหมันต์พักผ่อนดีๆ คืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ทั้งสองมองวังกว่างหานปราดหนึ่ง แล้วหันหลังไปทางสระหมื่นเหมันต์
ไม่มีอะไรน่าพูดทั้งคืน
เช้าตรู่ ทั้งสองคนใช้ร่มไผ่เหมันต์บังแดดให้บัวหิมะจันทราตามปกติ หนึ่งชั่วยามให้หลังถึงนั่งลงปรึกษาเรื่องราว
“สหายเต๋าหลัว ข้าจำได้ว่ายามที่จิ่วเย่ว์และชีซีคุยเล่นกันเคยพูดถึง ว่าหลายปีก่อนคุณหนูของพวกนางไปเล่นในทะเลสาบเล็กๆ นั่นที่ข้าตกลงไปยามที่เพิ่งมาถึง กระตุ้นให้เกิดกระแสอากาศวนใต้ทะเลสาบโดยไม่ตั้งใจ จึงถูกเคลื่อนย้ายออกไปข้างนอก” มั่วชิงเฉินเอ่ย
หลัวเตี๋ยจวินตาเป็นประกายว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าหมายถึง?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “วันนี้เราไปดูหน่อย หากโชคดีสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้เช่นกันก็ดีที่สุด ทว่าเรื่องประเภทนี้มีเพียงหนึ่งในหมื่น อย่างไรเราก็ควรใส่ใจพี่รองของจิ่วเย่ว์จะดีกว่า”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “แม้จะพูดเช่นนี้ทว่าอย่างไรก็ลองพยายามให้ถึงที่สุดดีกว่า อย่างไรเสียพี่รองของจิ่วเย่ว์ก็เป็นอสูรปีศาจยอดขั้นห้า เทียบกับชีซีแล้วรับมือยากกว่ามาก อีกอย่าง หากถึงเวลาเขาไม่ได้มาคนเดียว เช่นนั้นพวกเราก็ลำบากแล้ว”
“ถูกต้อง” มั่วชิงเฉินพูดจบลุกขึ้นรุดไปที่ทะเลสาบเล็กพร้อมหลัวเตี๋ยจวิน จิตตะหนักกลับแอบติดต่อกับอีกาไฟในถุงอสูรวิญญาณเงียบๆ
ตั้งแต่ที่อีกาไฟได้มุกปีศาจสองเม็ดในคืนก่อนออกจากสำนักลั่วสยา หลังจากกินลงไปแล้วก็เข้าสู่นิทราไม่ตื่นสักที
ต่อมาถึงเขาหลางหยาสามปีเต็มๆ ก็ไม่ได้ตื่นมา พวกหลัวเตี๋ยจวินไม่รู้ว่านางยังมีอสูรวิญญาณเช่นนี้อยู่ตัวหนึ่ง
จนกระทั่งสี่ปีก่อน อีกาไฟถึงตื่นขึ้นมา เลื่อนขั้นเข้าขั้นห้าสำเร็จ ก้าวเข้าแถวของอสูรปีศาจระดับสูง
แม้นางจะคาดหวังกับหลัวเตี๋ยจวิน กลับไม่คิดจะแบไต๋ออกมาทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นยังมีจิ่วเย่ว์พวกนางอยู่ จึงไม่ได้ให้อีกาไฟออกมาตลอด
“อู๋เย่ว์ หลังจากเจ้าเลื่อนขั้น ได้พลังที่ร้ายกาจมากมาอย่างหนึ่งจริงหรือ?” ในน้ำเสียงของมั่วชิงเฉินสงสัยเล็กน้อย
อีกาไฟระเบิดขนทันที “เจ้านาย เจ้าไม่เชื่อใจข้าได้เช่นไร! ยังมีคนที่พูดจาน่าเชื่อถือยิ่งกว่าคนเขาหรือ?”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากว่า “ได้ ๆ ๆ ข้าผิดไปแล้ว เช่นนั้นเปิดเผยความสามารถใหม่ของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
อีกาไฟส่ายหน้าทันทีว่า “เจ้านาย บอกยามนี้ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าประหลาดใจได้แล้วสิ ฮึ วันนี้เจ้าไม่ให้คนเขาออกมาอีกแล้ว มิเช่นนั้นก็ได้เห็นนานแล้ว เฮ่อ วันๆ อยู่แต่ในถุงอสูรวิญญาณ ช่างเงียบเหงาจริงๆ เลย”
ข้าจะเอาความประหลาดใจบ้าบอไปทำอะไร ที่ข้าต้องการคือความมั่นใจ! มั่วชิงเฉินแอบบ่นในใจ กลับไม่ได้พูดออกมา อย่างไรเสียอีกาไฟก็เป็นอสูรวิญญาณขั้นห้าแล้ว อีกทั้งเป็นพันธสัญญาเสมอภาคกับตนอีก มันไม่อยากพูด ความเคารพที่ควรมีอย่างไรก็ต้องให้
“อู๋เย่ว์ เช่นนั้นเจ้าประจันหน้ากับชีซีเช่นนี้ มั่นใจว่าจะไม่เสียเปรียบ?” มั่วชิงเฉินถามความสามารถใหม่ของอีกาไฟไม่ออก เพื่อให้มั่นใจจึงถามต่อว่า
“เจ้านาย นี่เจ้ากำลังดูถูก ลบหลู่! คนเขาก็เป็นถึงอสูรวิญญาณขั้นห้าแล้ว ยังรับมือปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งไม่ได้หรือไร?” อีกาไฟเอ่ยอย่างไม่พอใจ
มั่วชิงเฉินถูกเถียงจนพูดไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน จึงเลิกคิด
“สหายเต๋ามั่ว ทะเลเมฆาที่คั่นกลางระหว่างภูเขาสองลูกนี้รับมือยาก เกรงว่ายังต้องให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งของเจ้าลงมืออีก” หลัวเตี๋ยจวินเอ่ย
มั่วชิงเฉินอัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมา ล้อมทั้งสองคนไว้ข้างในแล้วข้ามหน้าผาไป ชั่วครู่ก็มาถึงข้างทะเลสาบ สบตากันปราดหนึ่งแล้วกระโดดลงไปเริ่มสำรวจ
สำรวจอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไร้ผล เห็นใกล้เที่ยงแล้วจึงย้อนกลับสระหมื่นเหมันต์ดูแลบัวหิมะจันทราอีก จากนั้นรุดไปตรวจหาที่ทะเลสาบเล็กต่อ จนกระทั่งค่ำคืนมาเยือนถึงกลับไป
มองดูจันทร์กระจ่างบนฟ้า หลัวเตี๋ยจวินถอนใจเฉื่อยๆ ว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าดูสิ ที่แท้วันนี้คือวันไหว้พระจันทร์หรือนี่”
เขากว่างหานหิมะตกตลอดสี่ฤดู ทั้งสองคนหากไม่เพราะจัดการปัญหาใหญ่ในใจได้แล้ว ก็ไม่มีกะจิตกะใจคิดได้ว่าวันนี้เป็นคืนไหว้พระจันทร์แล้วโดยสิ้นเชิง
“ไหว้พระจันทร์จันทร์กลมคนพร้อมหน้า สหายเต๋าหลัว เราสองคนระหกระเหินมาถึงนี่ ก็เป็นวาสนาที่หายาก เรื่องราวต่อจากนี้ยากจะคาดเดา คืนนี้ไม่สู้ร่วมดื่มกันสักจอกเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วยิ้ม
คืนเงียบจันทร์กระจ่าง หิมะสะท้อนแสง หญิงสาวสองคนนั่งดื่มสุรากัน เงียบและอิสระ
กลับได้ยินหลัวเตี๋ยจวินอุทานออกเสียงว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าดูสิ!”