กลางป่าลมพัดไหวๆ ใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยม้วนปลิวตามลม ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนแล้ว
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวคนหนึ่งสองเท้าลอยขึ้นจากพื้น โน้มตัวมาข้างหน้า มือถือกระบี่แทงไปที่ชายหนุ่มชุดเทาที่อยู่ตรงหน้า ไฝแดงที่หว่างคิ้วยั่วใจคน
ชายหนุ่มชุดเทาตรงหน้าหน้าตาอ่อนโยน ละมุนดุจสายน้ำ เส้นผมสีเงินสองปอยห้อยลงจากจอนสองข้างสะดุดตายิ่งนัก กลับทำให้เขาดูแล้วยิ่งเงียบสงบหลุดจากโลกีย์
เพียงแต่ยามนี้เขาหลับตาลงแผ่วเบา สีหน้าสงบ ต่อหน้ากระบี่คมกริบที่แทงมาไม่คิดหลบหลีก
“เต๊ง” เสียงหนึ่ง กระบี่ในมือหญิงสาวถูกซัดเอียงไป หลุดออกกจากมือ เสียงตะคอกเย็นชาเสียงหนึ่งดังมาว่า “เดรัจฉาน เจ้ากล้ากำเริบเสิบสาน!”
ชายชุดเทาลืมตาขึ้นทันที เห็นผู้ที่มาแล้วชะงักว่า “ซือจุน[1]…”
สายตาตกไปด้านหลัง เมื่อเห็นใบหน้าของมั่วชิงเฉินแล้ว ร่างกายสั่นสะท้าน
หลิวซางเจินจวินสีหน้าโกรธเกรี้ยว ไม่สนใจกู้หลี หากแต่โยนขวดน้ำเต้าสีม่วงทองในมือออกไป
ขวดน้ำเต้าบินวนอยู่บนฟ้า เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก แสงเป็นประกายแวววับพุ่งตรงเข้าหาหญิงสาวชุดขาว
กู้หลีในที่สุดก็หน้าถอดสีว่า “ซือจุน ได้โปรดปล่อยนางไปเถอะขอรับ”
“เหอกวง เจ้าถอยไปก่อน วันนี้ไม่กำจัดนางปีศาจนี่ จะเป็นหายนะ!” หลิวซางเจินจวินสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นความใจดีสงบที่เห็นมาตลอดทางอีก
มั่วชิงเฉินสีหน้าอธิบายไม่ถูก เพียงแต่ยืนอยู่เงียบๆ ชุดกระโปรงสีเขียวพลิ้วไหวตามลม เน้นให้เห็นรูปร่างที่ผอมเพรียว
ปากขวดน้ำเต้าสีม่วงทองเทลงข้างล่าง ปล่อยแสงทองสายหนึ่งออกมาทันที
แสงทองนั่นยังมาไม่ถึงหน้าหญิงสาวชุดขาว หญิงสาวชุดขาวก็เจ็บปวดจนขดตัวอยู่บนพื้น มุมปากมีเลือดซึมออกมา
เพียงแต่นางเจ็บปวดแสนสาหัสชัดๆ กลับกัดริมฝีปากแดงไว้แน่นไม่ออกเสียงสักแอะ สายตามองกู้หลีตรงๆ ในสายตานั้นมีความสิ้นหวัง มีความโกรธเคือง และยังมีความรักลึกซึ้งที่ปิดบังไม่มิด
กู้หลีแวบตัวบังไว้หน้าแสงทอง ยกชายเสื้อขึ้นขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงว่า “ซือจุน ขอให้ท่านเห็นแก่หน้าเหอกวง ปล่อยปิงหลานไป”
หลิวซางเจินจวินโบกมือเก็บขวดน้ำเต้าสีม่วงทองกลับมา เหลือบมองหญิงสาวชุดขาวด้วยสายตาเย็นชาปราดหนึ่ง แล้วมองกู้หลีที่สีหน้าแน่วแน่อีก แล้วถอนใจเสียงหนึ่งว่า “ช่างเถอะ เหอกวง เจ้าก็เป็นคนมีศิษย์เช่นกัน อาจารย์ย่อมไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของเจ้าเช่นแต่ก่อน เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน”
พูดจบถอนใจเบาๆ อีกเสียงหนึ่ง เหยียบเมฆหันหน้าไปแล้ว อาจเพราะอารมณ์ไม่ดี ถึงกับลืมพามั่วชิงเฉินไปด้วย
กู้หลีมองมา
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในใจสับสนอธิบายไม่ถูก อ้าปากแล้วอ้าปากอีกกลับไม่รู้ควรพูดอะไร จึงค่อยๆ กราบไหว้ลงไปว่า “ศิษย์มั่วชิงเฉิน ขอคารวะซือจุน”
“ซือจุน” สองคำทำให้กู้หลีมือหยุดชะงัก ตลอดมา นางเรียกเขาว่าอาจารย์มาตลอด
“แค่กๆ” หญิงสาวชุดขาวใช้มือยันพื้น ลุกขึ้นนั่งช้าๆ
กู้หลีได้ยินแล้วหมุนตัวไป เดินเข้าไปสองสามก้าวพยุงนางขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “ปิงหลาน เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
หญิงสาวชุดขาวปล่อยให้กู้หลีพยุงไว้ แล้วเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง
“ชิงเฉิน…” กู้หลีขยับริมฝีปาก
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตนดูเหมือนส่วนเกินและเกะกะลูกตามากเป็นพิเศษ จึงรีบขัดจังหวะกู้หลีว่า “ซือจุน ชิงเฉินยังมีเรื่องต้องรายงานต่อท่านอาจารย์ปู่ ก็ไม่รบกวนท่านกับท่านผู้อาวุโสผู้นี้แล้ว…ท่านเชิญตามสบาย…”
พูดจบ ก็หนีหัวซุกหัวซุน
หญิงสาวชุดขาวดิ้นหลุดจากการพยุงของกู้หลี แล้วมองเขาเขม็ง บรรยากาศนิ่งเงียบขึ้นมา
กู้หลีมองทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไป มือกำแล้วกำอีกอย่างไม่รู้ตัว
“กู้หลี บัดนี้มนุษย์และเผ่าปีศาจเหมือนน้ำกับน้ำมันแล้ว เจ้าและข้ามนุษย์และปีศาจทางเดินต่างกัน ไยต้องช่วยข้าอีก?” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างเอื่อยๆ
กู้หลีสีหน้าละมุน ยิ้มได้โปร่งใสสงบว่า “ปิงหลาน เดิมเหอกวงนึกว่าเจ้าไม่อยู่ในโลกมนุษย์แล้ว กลับไม่คิดว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหอกวงสบายใจยิ่งนัก หวังว่าเจ้าจะสุขสบายตลอดไปได้”
“สุขสบาย?” หญิงสาวชุดขาวพึมพำสองคำนี้ จู่ๆ ก็หัวเราะหึๆ ขึ้นมา “กู้หลี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิบกว่าปีมานี้ ไยไม่ไว้ไมตรีต่อเผ่ามารข้า กระทั่งเผ่าจิ้งจอกหิมะข้า ก็มีคนในเผ่าที่ตายด้วยน้ำมือเจ้า? เจ้า…ในใจเจ้าไม่มีข้าแล้ว ใช่หรือไม่?”
กู้หลีหลุบตาลง ขนตาแน่นและยาวทิ้งเงาไว้บนใบหน้าที่ขาวสะอาดดั่งหยก
หญิงสาวชุดขาวตัวสั่น สีหน้าซีดเผือดขึ้นมา นางก้มตัวลงเก็บกระบี่ที่ถูกหลิวซางเจินจวินซัดตก ชี้ไปที่หัวใจของเขาว่า “กู้หลี ครั้งนี้ไม่มีคนมาช่วยเจ้าอีกหรอกนะ”
กู้หลีไม่ขยับเขยื้อน แล้วยิ้มนิ่งเรียบว่า “ปิงหลาน ในอดีตได้เจ้าช่วยชีวิตไว้ เหอกวงถึงมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ บัดนี้เจ้าอยากเอาชีวิตนี้ไป เหอกวงย่อมไม่เสียดาย”
พูดจบหลับตาลงเบาๆ
หญิงสาวชุดขาวกัดริมฝีปากไว้แน่น กระบี่ในมือแทงไปที่หัวใจกู้หลีโดยพลัน จนกระทั่งเสื้อของเขาถูกแทงขาด ก็ไม่เห็นเขาขยับเขยื้อนสักที
“แคร้ง” เสียงหนึ่ง กระบี่ตกลงบนพื้น กู้หลีลืมตาขึ้น
หญิงสาวชุดขาวริมฝีปากสั่นไม่หยุด นัยน์ตาเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตาว่า “กู้เหอกวง เจ้าอย่าได้ฝัน เจ้าอย่าได้ฝันจะใช้ชีวิตทดแทนความรักที่มีต่อข้า!”
พูดจบก็หันหลังวิ่งออกไป
กู้หลีมองทิศทางที่หญิงสาวชุดขาวจากไปนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้ากวาดมองกระบี่บนพื้นปราดหนึ่ง กลับไม่ได้เก็บขึ้นมา หากแต่เท้าเหยียบขลุ่ยมรกต ไล่ตามไปตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินและหลิวซางเจินจวินจากไป
“ท่านอาจารย์ปู่ ไยท่านถึงอยู่ที่นี่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินมุ่งหน้าบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตลอดทาง กลับพบว่าหลิวซางเจินจิวนหยุดอยู่กลางอากาศ
หลิวซางเจินจวินกวาดมองข้างหลังปราดหนึ่ง มองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “นางหนูเกรงว่าเจ้ายังไม่รู้จักทางสินะ กว่าจะได้กลับมาไม่ใช่ง่ายๆ จะให้หายไปอีกไม่ได้หรอกนะ ไปเถอะ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ พยักหน้าอย่างว่าง่าย
หลิวซางเจินจวินพามั่วชิงเฉิน เดินทางด้วยความเร็วสูง ผ่านไปไม่นานตรงหน้าก็ปรากฏเมืองไม่ใหญ่นักเมืองหนึ่งขึ้น แล้วร่อนลงไปช้าๆ
มั่วชิงเฉินพบว่าเมืองเมืองนี้แม้ไม่ใหญ่ บนกำแพงเมืองกลับสลักด้วยลายยันต์ไว้อย่างแน่นขนัด ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าตั้งค่ายกลป้องกันอันแยบยลไว้
ประตูเมืองยังมีนักบำเพ็ญเพียรรักษาประตูสองคน อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลายทั้งคู่
“คารวะหลิวซางเจินจวิน” นักบำเพ็ญเพียรรักษาประตูสองคนเห็นหลิวซางเจินจวินสีหน้าเคร่งขรึม จึงคารวะอย่างนอบน้อม หางตากวาดมองมั่วชิงเฉินที่ตามอยู่ข้างหลังมองแล้วมองอีกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลิวซางเจินจวินพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร มั่วชิงเฉินรีบตามไปติดๆ
“ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ที่ตามอยู่หลังหลิวซางเจินจวินผู้นั้น ดูแล้วหน้าไม่คุ้นเลย” หนึ่งในนักบำเพ็ญเพียรรักษาประตูเอ่ยขึ้น
นักบำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งพยักหน้าว่า “ใช่ น่าจะเป็นศิษย์ที่มาใหม่ของเหยากวงกระมัง นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายที่อยู่ทางเรานี้ ต่อให้ไม่เคยพูดคุยกัน ก็ต้องรู้ชื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์”
“จื้ดๆ ถูกหลิวซางเจินจวินพามาด้วยตนเอง ศิษย์พี่ท่านนี้ฐานะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ศิษย์พี่จ้าว ดูท่าต่อไปมีโอกาส พวกเราต้องคอยใกล้ชิดๆ ศิษย์พี่ท่านนี้หน่อย” นักบำเพ็ญเพียรคนก่อนหน้าเอ่ยขึ้น
นักบำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “อะไรใกล้ชิดๆ คนเขาเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงนะ ได้ยินที่เจ้าพูดจะไม่โกรธหรือ? ศิษย์น้องหวัง อย่าโทษที่ศิษย์พี่ไม่ได้เตือนสติเจ้า นิสัยปากไม่มีหูรูดของเจ้านี่ต้องแก้เสียทีแล้ว”
นักบำเพ็ญเพียรคนก่อนหน้ารีบพยักหน้าว่า “ศิษย์พี่จ้าวเตือนได้ถูกต้อง ศิษย์น้องพูดจาตรงไปหน่อย ที่จริงไม่ได้มีความคิดไม่ควรพวกนั้นหรอก พวกเราต่างก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก หากไม่ตะกายหาความสัมพันธ์ไว้บ้าง จะมีที่ให้ยืนได้อย่างไร”
“ก็จริง ทว่าก็ต้องคอยดูแล้วดูอีก หลายปีนี้ที่เห็นมายังน้อยหรืออย่างไร อัจฉริยะที่ผู้คนพูดถึงกันตั้งเท่าไรก็ดับสูญอยู่ในวิกฤตอสูรทั้งเช่นนี้แล้ว” นักบำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งทอดถอนใจขึ้นมา
หลิวซางเจินจวินเข้าประตูเมือง นักบำเพ็ญเพียรที่พบตลอดทางที่เดินมาไม่มีสักคนที่ไม่คารวะ นักบำเพ็ญเพียรพวกนั้นอยู่ต่อหน้าหลิวซางเจินจวินล้วนนับว่าเป็นรุ่นเด็กกว่า เขาเพียงแต่พยักหน้า มุ่งตรงไปที่จวนเจ้าเมืองทีใช้สำหรับประชุมกัน
“ศิษย์พี่หลิวซาง” กำลังจะเข้าไป ตรงหน้าก็มีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดออกมาท่านหนึ่ง คือหมิงวู่เจินจวินแห่งพรรคอู่อี๋
“ศิษย์น้องหมิงวู่” หลิวซางเจินจวินกล่าวทักทาย
กำลังจะสวนผ่านไป หมิงวู่เจินจวินหันหน้ามาว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง เมื่อครู่ศิษย์พี่เสวียนหั่วเพิ่งมา รอท่านอยู่ตลอด”
หลิวซางเจินจวินใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง เสวียนหั่วเจินจวินหลายเดือนก่อนกลับพรรคเหยากวงแทนที่เขา เหตุใดในเวลาเพียงสั้นๆ ก็กลับมาอีกแล้ว หรือว่า…
นึกถึงความเป็นไปได้เรื่องหนึ่ง พยักหน้าให้หมิงวู่เจินจวินแล้วก็เดินก้าวสวบๆ เข้าไป
มั่วชิงเฉินเห็นหลิวซางเจินจวินได้ยินว่าเสวียนหั่วเจินจวินมาแล้ว สีหน้าแม้ไม่เปลี่ยนแผ่นหลังกลับยืดตรงขึ้นมาก เห็นชัดว่าต้องมีอะไร และยังไม่ใช่เรื่องดีด้วย ยามนี้ก็ไม่ทันได้มองมากแล้ว รีบตามขึ้นไปติดๆ
ในจวนเจ้าเมืองผ่านผนังฉากกั้นก็คือห้องแถวหนึ่ง เป็นโถงใหญ่ที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงใช้เป็นที่ประชุม
หลิวซางเจินจวินกลับไม่ได้เข้าโถงใหญ่ หากแต่ทะลุผ่านประตูด้านข้าง ตรงเข้าโถงบุปผาห้องหนึ่งในเรือนทางขวา
เมื่อเข้าโถงบุปผา ก็เห็นเสวียนหั่วเจินจวินถือพัดกกขาดๆ อันหนึ่งโบกลมพลางเดินไปเดินมา ศีรษะเป็นเงามัน
ได้ยินความเคลื่อนไหวมองมาทางนี้ แล้วแทบจะบินทะยานเข้ามาว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านกลับมาจนได้ ศิษย์พี่โส่วเต๋อไม่ไหวแล้ว!”
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว!” หลิวซางเจินจวินเสียงเฉียบขาดขึ้นมา
เสวียนหั่วเจินจวินถึงสังเกตว่าข้างหลังเขายังมีคนตามมาคนหนึ่ง
“นางหนูนี่ไยถึงไม่รู้ระเบียบ…เอ๊ะ เจ้าคือนางหนูชิงเฉิน?” เสวียนหั่วเจินจวินกำลังจะอาละวาด กลับจู่ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียง แล้วเพ่งพิศมั่วชิงเฉินไม่หยุด
“นางหนูชิงเฉิน เจ้าถอยไปก่อนเถอะ” หลิวซางเจินจวินหันหน้าไป เอ่ยกับมั่วชิงเฉิน
เห็นสีหน้าหลิวซางเจินจวินเคร่งขรึม อีกทั้งนึกไปถึงคำพูดของเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินสะดุ้งอยู่ในใจ คารวะทั้งสองคนทีหนึ่งแล้วถอยออกไป
“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว ศิษย์พี่โส่วเต๋อเป็นเช่นไรแล้ว?” แน่ใจว่ามั่วชิงเฉินเดินไปไกลแล้ว หลิวซางเจินจวินสีหน้ายิ่งมืดมนลง
เสวียนหั่วเจินจวินก็เก็บหน้าเสสรวลในยามปกติขึ้น เสียงเบาลงว่า “ศิษย์น้องหรูอวี้บอกว่า เกรงว่าศิษย์พี่โส่วเต๋อจะประคองได้อีกไม่กี่วันแล้ว ให้ข้ารีบเร่งมาบอกศิษย์พี่ เชิญศิษย์พี่รีบกลับไปโดยเร็ว ทางนี้หากยังมีเรื่อง ศิษย์น้องออกหน้ารับไปก่อน”
หลิวซางเจินจวินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลาย หากโส่วเต๋อเจินจวินดับสูญเมื่อไร เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องกลับเหยากวงควบคุมสถานการณ์
“เรื่องนี้ ยังมีคนรู้หรือไม่?” หลิวซางเจินจวินน้ำเสียงสงบ สีหน้ากลับเหมือนเมฆดำปกคลุม
เสวียนหั่วเจินจวินส่ายศีรษะว่า “ตั้งแต่ที่ศิษย์น้องหรูอวี้เสาะหาหลินจือฟ้าแล้วใช้วิชาลับหลอมเป็นโอสถน้ำป้อนให้ศิษย์พี่โส่วเต๋อกิน ศิษย์พี่โส่วเต๋อถึงประคองมาได้อีกสิบกว่าปี ศิษย์ในสำนักแม้รู้นานแล้วว่าอายุขัยของศิษย์พี่โส่วเต๋อจวนเข้ามาแล้ว กลับไม่รู้ว่าก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว”
หลิวซางเจินจวินพยักหน้าว่า “เช่นนี้ก็ดี บัดนี้ศึกแห่งวิกฤตอสูรยิ่งโหดร้ายขึ้น อีกทั้งการช่วงชิงระหว่างเต๋ามารก็ยังไม่เห็นแพ้ชนะ ต่อให้มีเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ละสำนักผ่านการสู้รบมาหลายปีสูญเสียพลังในระดับต่างๆ กัน ถึงเวลาก็ต้องกำหนดตำแหน่งกันอีก หากศิษย์พี่โส่วเต๋อดับสูญ จะเป็นการกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วงสำหรับสำนักเรา”
“ศิษย์น้องทราบแล้ว ดังนั้นการมาครั้งนี้ มาในนามส่งโอสถชั้นสูง ศิษย์พี่วางใจจากไปได้เลย” เสวียนหั่วเจินจวินเอ่ยอย่างจริงจัง
หลิวซางเจินจวินปลาบปลื้มใจเล็กน้อยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปบัดนี้แหละ ทางนี้รบกวนศิษย์น้องแล้ว”
หลิวซางเจินจวินผลักประตูออกแล้วเดินไปที่ทิศทางของโถงใหญ่ กลับเห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ข้างต้นพุดซ้อนที่อยู่ข้างประตูข้าง ไหว้จากที่ไกลๆ ว่า “ท่านอาจารย์ปู่ ได้โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ”
“นางหนูชิงเฉิน อาจารย์ปู่ยังมีเรื่องสำคัญ หากเจ้ามีธุระอะไร ไม่สู้ไปขอคำชี้แนะจากเสวียนหั่วเจินจวิน” หลิวซางเจินจวินไม่ยอมให้เห็นพิรุธ จึงเอ่ยอย่างอดทน
มั่วชิงเฉินกลับเดินตรงเข้ามา
——
[1] ซือจุน เป็นคำเรียกยกย่องของ อาจารย์ (ซือฟู่)