หลัวเตี๋ยจวินเลิกคิ้วด้วยความตะลึงเล็กน้อย สาวใช้ที่วิ่งมาคู่นี้ไม่คิดว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝด เพียงแต่สาวใช้ที่วิ่งเร็วกว่า ดอกมุกทับทิมแดงที่ประดับอยู่บนมวยผมสั่นไปมาอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้น สาวใช้อีกคนหนึ่งที่ย่ำก้าวเล็กๆ อยู่ข้างหลังอยู่ระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์
มั่วชิงเฉินมองเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งปราดหนึ่ง
ระดับสร้างรากฐานคือเหลียงเฉิน
จำได้ว่ายามนั้นที่ทะเลขนาบใจครั้งแรกที่พบพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ พวกนางท่าทางเพียงสิบห้าสิบหกปี บัดนี้ยี่สิบกว่าปีผ่านไป พวกนางก็สี่สิบเล็กน้อยแล้ว ควรสร้างรากฐานแล้วจริงๆ
ทว่าเหม่ยจิ่งยังหยุดอยู่ที่ระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์ หรือว่ายังมีปมในใจเพราะเรื่องเสียพรหมจรรย์ในปีนั้น?
ต้องรู้ว่าคุณสมบัติของพี่น้องคู่นี้ล้วนมีสามรากวิญญาณที่ไม่เลว หลายปีมานี้แม้คอยดูแลเรื่องจิปาถะ ในด้านโอสถกลับไม่ขาด ปีนั้นยามที่ตนจากไปก็นึกถึงว่าพวกนางใช้เวลาอีกไม่กี่ปีเกรงว่าก็จะทะลวงระดับสร้างรากฐานแล้ว จึงทิ้งโอสถสร้างรากฐานไว้ให้คนละเม็ด
เห็นมั่วชิงเฉินมองมา เหม่ยจิ่งหน้าแดงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว คุกเข่าลงตุ๊บว่า “เหม่ยจิ่งคุณสมบัติโง่เขลา ทำให้คุณหนูต้องผิดหวัง…”
อีกด้านหนึ่งเหลียงเฉินก็คารวะอย่างเคร่งครัดว่า “เหลียงเฉินกราบคารวะคุณหนู”
มั่วชิงเฉิยื่นมือพยุงทั้งสองคนขึ้นมาว่า “ไยพอข้ากลับมาพวกเจ้าก็กราบไปกราบมา ขืนเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะไปแล้วนะ”
สาวใช้สองคนแม้รู้ว่ามั่วชิงเฉินพูดเล่น ยังคงมองนางอย่างตุ๊มๆ ต่อมๆ เล็กน้อย
“เอาล่ะ ไม่เห็นข้าพาแขกมาหรือไร พวกเจ้ายังไม่ยกน้ำชามาอีก” มั่วชิงเฉินรู้ว่าพวกนางเห็นตนกลับมาอารมณ์ตื่นเต้นเกินไป จึงสั่งพวกนางทำงานสักหน่อยจะได้กลับคืนสภาพเดิม
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ทั้งสองคนคารวะพร้อมเพรียงกัน ก้าวอย่างคล่องแคล่วกลับกลับเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินโบกมือ ปรากฏโต๊ะหินเก้าอี้หิน เรียกหลัวเตี๋ยจวินแล้วก็นั่งอยู่ข้างนอกทั้งเช่นนี้
“สหายเต๋ามั่ว เจ้าช่างทำให้คนคาดไม่ถึงได้ตลอดเวลาจริงๆ” หลัวเตี๋ยจวินพิจารณาสวนยาแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“อย่างไร?” มั่วชิงเฉินตั้งแต่เข้ามาเขาป่าไผ่ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน พูดจาก็ตามสบายขึ้นมา
หลัวเตี๋ยจวินดูแล้วอารมณ์ไม่เลว หลังพิงเก้าอี้หินเอ่ยเนิบๆ ว่า “แม้แต่สาวใช้ก็เป็นฝาแฝด”
“เพียงแค่บังเอิญเท่านั้นเอง” มั่วชิงเฉินหน้าตาแย้มยิ้ม แล้วก็เห็นเหลียงเฉินยกถาดเดินเข้ามา
“คุณหนู เชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ” เหลียงเฉินพูดพลางวางชาถ้วยหนึ่งไว้หน้าหลัวเตี๋ยจวิน อีกถ้วยหนึ่งยกให้มั่วชิงเฉิน
หลัวเตี๋ยจวินปากเอ่ยคำขอบคุณแล้วรับน้ำชามา แม้บอกว่าเหลียงเฉินเป็นสาวใช้ ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว นางเป็นคนนอก ย่อมไม่ดีที่จะวางมาดรับการปรนนิบัติจากนาง
มั่วชิงเฉินมุมปากอมยิ้มว่า “เหลียงเฉิน ไม่พบกันสิบกว่าปี เจ้าโตขึ้นแล้วนะ สุขุมกว่าเมื่อก่อนมากเลย”
เหลียงเฉินจู๋ปากขึ้นว่า “คุณหนู ที่แท้ท่านรังเกียจบ่าวมาตลอด”
“พอแล้ว เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว ไยยังบ่าวๆ อยู่นั่นแหละ” มั่วชิงเฉินโบกมือ
เหลียงเฉินรีบเอ่ยว่า “ไม่ว่าเมื่อไร เหลียงเฉินก็เป็นบ่าวของคุณหนูเจ้าค่ะ หากไม่มีคุณหนู เหลียงเฉินอย่าว่าแต่สร้างรากฐานเลย แม้แต่หญ้าหน้าหลุมศพ เกรงว่าก็คงยาวเท่าเอวแล้ว”
มั่วชิงเฉินไม่ติดใจเรื่องพวกนี้ บัดนี้เหลียงเฉินเพิ่งสร้างรากฐาน ยังเห็นตนเองเป็นบ่าวนั่นคือสภาพจิตใจของนาง หากมีวันหนึ่งนางไม่อยากแหงนมองผู้อื่นแล้ว อยากมีท้องฟ้าที่ยิ่งกว้างใหญ่ขึ้น นางย่อมต้องส่งเสริมแน่นอน
“เหลียงเฉิน ข้าขอถามเจ้า เหม่ยจิ่งนางเป็นอะไร?”
เหลียงเฉินมองหลัวเตี๋ยจวินปราดหนึ่ง กลับไม่ได้ลังเล เอ่ยโดยตรงว่า “เรียนคุณหนู เหม่ยจิ่งนาง…เกรงว่ายังแก้ปมในใจในปีนั้นไม่ออก”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า แล้วหยิบถ้วยน้ำชาติดมือขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง สายตากลับสว่างขึ้นเล็กน้อยว่า “เหลียงเฉิน ชานี่เจ้าเป็นคนชงหรือ?”
เหลียงเฉินหัวเราะคิกคักว่า “คุณหนู เป็นเช่นไรเจ้าคะ ชานี่อร่อยไหมล่ะเจ้าคะ?”
“สดชื่นชุ่มคอ เปี่ยมด้วยปราณวิญญาณ ไม่เลวจริงๆ” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า
เหลียงเฉินยิ้มจนคิ้วตาโค้งขึ้นมาหมดแล้วว่า “เหม่ยจิ่งเป็นคงชงเจ้าค่ะ คุณหนูท่านไม่รู้ สิบกว่าปีมานี้เหม่ยจิ่งเกิดชื่นชอบการชงชาเสียแล้ว นางบอกว่าดื่มชาชงชาบ่อยๆ สามารถทำให้จิตใจสงบ ในใจคิดฟุ้งซ่านน้อยลง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างหยอกล้อ นางว่าแล้วด้วยนิสัยตาลีตาลานของนาง ชงชาเช่นนี้ออกมาไม่ได้
เหลียงเฉินดูออกว่ามั่วชิงเฉินหยอกเล่น เบ้ปากว่า “คุณหนูท่านอย่าดูถูกคนสิ บ่าวแม้ชงชาไม่เป็น ทว่าทำอาหารรสชาติดีมากนะเจ้าคะ ท่านทั้งสองรอสักครู่ บ่าวจะไปทำอาหารเดี๋ยวนี้”
เห็นเหลียงเฉินตาลีตาลานวิ่งออกไปอีก มั่วชิงเฉินยิ้มพลางส่ายศีรษะ
ยามนี้เองเหม่ยจิ่งเดินเข้ามา ย่อตัวแล้วเอ่ยว่า “คุณหนู ห้องของท่านเก็บกวาดเสร็จแล้ว คุณหนูท่านนี้ท่านเห็นว่าควรพำนักที่ใดเจ้าคะ?”
“นี่คือสหายเต๋าหลัว ก็เก็บกวาดห้องที่อยู่ใกล้น้ำตกด้านนั้นออกมาแล้วกัน” มั่วชิงเฉินเอ่ย
เหม่ยจิ่งถอยลงไปเก็บกวาดห้อง ครึ่งชั่วยามให้หลังยกอาหารควันกรุ่นขึ้นมาพร้อมเหลียงเฉินอีก ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของมั่วชิงเฉิน ทั้งสี่คนรับประทานอาหารด้วยกัน
ที่ทำให้มั่วชิงเฉินแปลกใจก็คือ ฝีมือการทำอาหารของเหลียงเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ กระทั่งไล่ตามอาจารย์ทันแล้ว
คิดอีกทีนึกถึงฝีมือการทำครัวของเหลียงเฉิน การชงชาของเหม่ยจิ่ง น่าจะเกี่ยวกับรากวิญญาณและนิสัยของพวกนางนั่นเอง
ต่อจากนั้นอีก มั่วชิงเฉินสั่งเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนประพฤติตามปกติ นางและหลัวเตี๋ยจวินจะกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว
“สหายเต๋าหลัว ของสำหรับก่อแก่นปราณของเจ้าเตรียมไปถึงไหนแล้ว? หากยังมีขาด ตลาดในสำนักขนาดไม่เล็กทีเดียว ไม่แน่อาจสามารถหาที่เหมาะสมได้” มั่วชิงเฉินถามขึ้น
หลัวเตี๋ยจวินยิ้มแผ่วเบา “ก่อนที่จะตกลงไปในเขากว่างหานก็เตรียมตัวได้พอประมาณแล้ว เพียงแต่ยังขาดโอสถชำระโลกีย์ ไม่ทราบตลาดที่สำนักเจ้ามีขายหรือไม่?”
โอสถชำระโลกีย์เป็นหนึ่งในโอสถที่จำเป็นต้องเตรียมในการทะลวงก่อแก่นปราณ สามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณเล็กน้อย นับว่าเป็นโอสถที่จำเป็นในการก่อแก่นปราณที่คนรู้จักกว้างขวางที่สุดในดินแดนเทียนหยวนแล้ว
โอสถชำระโลกีย์แม้ล้ำค่า กลับไม่เหมือนอย่างโอสถสร้างรากฐานที่มีราคาไม่มีตลาด ในตลาดแม้มีน้อย ตลาดในสำนักใหญ่เช่นเหยากวงเช่นนี้กลับไม่เห็นว่าจะหาไม่ได้
มั่วชิงเฉินพลิกมือยื่นขวดหยกขาวเล็กๆ ใบหนึ่งข้ามไป โอสถแวววาวกระจ่างใสสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งในนั้น ก็คือโอสถชำระโลกีย์
“เมื่อยามที่ยังไม่ได้ไปเขาหลางหยาอาจารย์ให้ข้ามา พอดีเกินมาหนึ่งเม็ด สหายเต๋าหลัวเอาไปใช้ก่อนเถอะ”
โอสถชำระโลกีย์ที่มั่วชิงเฉินยื่นมาแวววาวกระจ่างใส ดูก็รู้ว่าเป็นโอสถชั้นเลิศ เรื่องเช่นการก่อแก่นปราณนี้จะมักง่ายไม่ได้ หลัวเตี๋ยจวินย่อมไม่บ่ายเบี่ยง หากแต่ให้หินวิญญาณตามราคาตลาด แล้วถอนใจว่า “สหายเต๋ามั่วช่างมีวาสนาจริงๆ มีอาจารย์ที่คำนึงถึงในทุกด้านเช่นนั้น”
มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก ยิ้มเบาๆ ว่า “ใช่ ข้าช่างมีวาสนาจริงๆ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลัวเตี๋ยจวินกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของมั่วชิงเฉินดูเลื่อนลอยเล็กน้อย เพียงแต่กลับไม่สะดวกถามมากแล้ว
ในเมื่อสิ่งที่ทั้งสองคนควรเตรียมก็เตรียมไว้หมดแล้ว มั่วชิงเฉินจึงเปิดค่ายกลผนึกเขาป่าไผ่ทั้งลูก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นอกจากกู้หลีและนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด คนอื่นก็เข้ามาไม่ได้แล้ว
“สหายเต๋าหลัว ห้องศิลาสองห้องนี้เราคนล่ะห้อง ถึงเวลาตั้งค่ายกล เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน” มั่วชิงเฉินนำหลัวเตี๋ยจวินมาถึงหน้าน้ำตก เมื่อเข้าไปในน้ำตก ไม่คิดว่าข้างในจะเป็นอีกจักรวาลหนึ่ง เป็นถ้ำถ้ำหนึ่ง
ห้องศิลาในถ้ำก็มีไว้สำหรับกักตนระยะยาวโดยเฉพาะ
ทั้งสองคนต่างคนต่างเลือกห้องศิลาเสร็จ สบตากันยิ้มทีหนึ่ง แล้วหันหลังปิดประตูศิลา
มั่วชิงเฉินพิจารณาห้องศิลาที่มีเบาะรองนั่งกระจายอยู่เพียงไม่กี่อัน แล้วหายใจลึกๆ อึดหนึ่ง
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเร็วปานนี้ก็เดินมาถึงการเตรียมตัวก่อแก่นปราณแล้ว
นักบำเพ็ญเพียรกักตนก่อแก่นปราณ หลังจากเตรียมของทั้งหมดเสร็จแล้ว ก็จะเริ่มปรับสภาพจิตใจ ในขั้นตอนนี้บางคนต้องการเพียงสิบวันครึ่งเดือน ส่วนบางคนกลับต้องการหนึ่งปีครึ่งปี กระทั่งสองสามปี จนกระทั่งใจไม่วอกแวก จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อแก่นปราณ
มั่วชิงเฉินนั่งขัดสมาธิ กลับไม่ได้ปรับสภาพจิตใจ ตรงกันข้ามกลับขยับมือ หยิบเตาหลอมโอสถออกมาอันหนึ่ง
ที่นางจะหลอมคือโอสถลับเหมือนของตระกูลหวังที่สามารถเพิ่มโอกาสในเขตแดนเล็กระดับสร้างรากฐานเช่นนั้น
จำได้ว่าปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตวนมู่จิ้งพูดไว้ว่า เพราะหยดน้ำตาคู่นี้นางเป็นคนหลั่ง โอสถที่หลอมออกมาตามเทียบโอสถนั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณได้สามส่วน
สามส่วน
ต่อให้ด้วยสภาพจิตในยามนี้ของนาง นึกถึงตัวเลขนี้แล้วยังคงอดตื่นเต้นไม่ได้
“มั่วชิงเฉินเอ๊ย มั่วชิงเฉิน หากมีโอสถนี้แล้วเจ้ายังไม่สามารถก่อแก่นปราณได้อีก เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะตนเอง หยิบน้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณและสาหร่ายใจน้ำแข็งออกมา อีกทั้งวัตถุดิบเสริมบางอย่างและเทียบโอสถ
หยดน้ำตาคู่นี้ พอหลอมเพียงเตาเดียว หากล้มเหลว ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
ทว่าบนใบหน้ามั่วชิงเฉินกลับไม่มีคลื่นลมแม้แต่น้อย นางเอิบอาบอยู่ในทางโอสถมาหลายสิบปี แม้พูดไม่ได้ว่าเลิศเลอ กลับจำขั้นตอนการหลอมโอสถได้ขึ้นใจนานแล้ว
และยิ่งสามารถทำถึงขั้นขอเพียงเข้าสู่สภาพการหลอมโอสถ สภาพจิตใจก็จะสงบนิ่ง ในสายตานาง ไม่ว่าวัตถุดิบใดๆ ล้วนไม่มีการแบ่งว่าล้ำค่าหรือธรรมดา พวกนั้นก็คือหนึ่งไม่มีสองที่ไม่อาจขาดได้ ได้แต่ปฏิบัติกับวัตถุดิบแต่ละชิ้น แต่ละขั้นตอนด้วยท่าทีที่ตั้งใจที่สุด ถึงสามารถรับรู้ได้ถึงความปิติของการจากมีไปไม่มีและจากไม่มีไปมีอีกได้
หลอมโอสถ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์เรื่องหนึ่งจริงๆ นางทำเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยสภาพจิตใจที่เคารพและจริงใจ ต่อให้สิ่งที่หลอมคือโอสถรวมวิญญาณที่ธรรมดาอย่างที่สุดก็ตาม
ในอดีตที่นานมากแล้วอาจารย์เคยบอกนางว่า ยามที่หลอมโอสถ มีเพียงการปฏิบัติด้วยท่าทีที่ตั้งใจที่สุดทุกครั้ง เห็นพวกมันเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่มี ถึงจะบ่มเพาะสภาพการหลอมโอสถที่เหมาะสมที่สุดได้
และบัดนี้ นางทำได้แล้ว อาจเพราะการฝึกฝนนับหมื่นนับพันครั้ง คุณสมบัติทุกอย่างที่จำเป็นต่อการหลอมโอสถฝังลึกเข้าไปในกระดูกกลายเป็นสัญชาตญาณนานแล้ว
จุดไฟ โยนสมุนไพร ละลายสมุนไพร สำเร็จเป็นโอสถ เก็บโอสถ
ผ่านกระบวนการทั้งหมด ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนให้หลังแล้ว
มั่วชิงเฉินมองดูโอสถสีน้ำสามเม็ดในกล่องหยก แล้วยิ้มออกมาจากใจ จากนั้นเก็บขึ้นมา ล้มตัวลงนอนอย่างคาดไม่ถึง
นานไปสามวันสามคืนเต็มๆ มั่วชิงเฉินถึงลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนอย่างกระปรี้กระเปร่าเต็มที่เดินไปมาครู่หนึ่ง กวาดร่องรอยทุกอย่างในห้องศิลาทิ้งไป อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วถึงนั่งลงใหม่
นางนั่งขัดสมาธิ สองมือวางที่หน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ ลิ้นดันเพดานบน กึ่งหลับตา เริ่มสงบจิตใจ
เวลาผ่านไปทีละวันๆ
หนึ่งเดือนให้หลัง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าตนเข้าสู่สภาพอัศจรรย์ครึ่งหลับครึ่งตื่นชนิดหนึ่ง
บอกว่ามีสติ ร่างกายจิตใจดันดูเหมือนไม่อาจควบคุมได้ บอกว่าหลับอยู่ กลับได้ยินความเคลื่อนไหวรอบๆ ได้ชัดเจนขึ้นกว่าปกติ
ที่หายากที่สุดคือ นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในยามนี้ ในใจกลับไม่มีคลื่นลมแม้แต่น้อย ราวกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติอย่างที่สุด
มั่วชิงเฉินรู้ ถึงเวลาเริ่มทะลวงก่อแก่นปราณแล้ว
โบกมือ กล่องหยกปรากฏขึ้นอย่างกระจัดกระจายรอบๆ
มั่วชิงเฉินไม่รีบร้อนที่จะเปิด หากแต่หันฝ่ามือเข้าหากัน เริ่มโคจรพลังวิญญาณ