พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 340 วิกฤตอสูรวิกฤตขึ้น

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านไม่เป็นไรนะ?” มั่วชิงเฉินเห็นบนตัวเยี่ยเทียนหยวนเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ยังมีเลือดสดๆ ทะลักออกจากบาดแผลไม่หยุด จึงอดถามไม่ได้

 

 

ในใจก็แอบนับถือ เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจขั้นหกสองตัวอสูรปีศาจขั้นห้าสามตัวไม่นึกว่าจะสามารถอดทนมาถึงบัดนี้ หากเปลี่ยนเป็นตนยามอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางอาจทำไม่ได้?

 

 

ศรสามดอกที่นางยิงออกพร้อมกันดูแล้วร้ายกาจ พลิกสถานการณ์ทันที ที่จริงสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาศัยการลอบโจมตี ยิ่งกว่านั้นเดิมทีปีศาจจิ้งจอกสามตัวนั้นก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนทำร้ายบาดเจ็บแล้ว

 

 

“ไม่เป็นไร เพียงแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น” เยี่ยเทียนหยวนพูดพลางหยิบขวดหยกประณีตออกใบหนึ่ง สาดผงข้างในไว้บนบาดแผล คิ้วไม่แม้แต่จะขมวดสักที มั่วชิงเฉินกลับเห็นบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกตั้งหลายแผล

 

 

เพราะปีศาจจิ้งจอกชั้นสูงตายแล้ว พวกจิ้งจอกน้อยนั่นลุกลี้ลุกลนหาทางหนีใหญ่ ศิษย์เหยากวงกำลังใจฮึกเหิม ไม่นานนักก็ฆ่าพวกมันจนสิ้นซาก ยืนอยู่ข้างๆ รอพวกมั่วชิงเฉินสองคนออกคำสั่ง

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง เราฟื้นฟูพลังวิญญาณสักครู่ค่อยเดินทางเถอะ” มั่วชิงเฉินเสนอ และก็เพราะกลัวเขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวด้วย

 

 

“อืม” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า

 

 

ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดสนามรบ เก็บศพจิ้งจอกทั้งหมดขึ้น เก็บกวาดร่องรอยการต่อสู้ แล้วพ่นของเหลวชนิดหนึ่งกลบกลิ่นคาวเลือด แล้วถึงหยุดลงมานั่งสมาธิ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เวลานั่งสมาธิต้องนานกว่านักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสักหน่อย

 

 

มั่วชิงเฉินหลังจากลืมตาเห็นเยี่ยเทียนหยวนยังหลับตานั่งสมาธิอยู่ กำลังคิดจะลุกขึ้นเสียงคุยกันของศิษย์ระดับสร้างรากฐานสองสามคนกลับลอยข้ามมา

 

 

“พวกเจ้าไม่ได้เห็นกับตา อาจารย์อาชิงเฉินร้ายกาจจริงๆ นะ เผชิญหน้ากับหมาป่าอเวจีขั้นห้าสามตัวโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี เพียงครู่หนึ่งก็จัดการได้แล้ว”

 

 

“จริงหรือ?” คนที่ถามนี่เห็นชัดว่าเป็นสมาชิกทีมของทีมเยี่ยเทียนหยวนนั่น

 

 

“ก็จริงน่ะสิ อาจารย์อาชิงเฉินยกมือธนูดังสวบก็ยิงตายไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งถูกสมบัติวิเศษที่กลายเป็นภูเขาย่อมๆ ทับตาย แหะๆ ที่น่าสมเพชที่สุดยังคงเป็นตัวที่สาม อาจารย์อาชิงเฉินหยิบก้อนอิฐบุกขึ้นไปโดยตรงตบใส่หน้ามันไม่รู้กี่ที ถูกตบจนตายนะนั่น” นี่คือเสียงอันดังของซุนอาหนิว

 

 

“หา?” สมาชิกอีกทีมหนึ่งตะลึง

 

 

ซุนอาหนิวกลัวคนอื่นไม่เชื่อ เอ่ยต่อว่า “ข้ามองดูกับตานะ หมาป่าตัวนั้นถูกตบจนฟันร่วงหมดเลย!”

 

 

ทุกคน…

 

 

มั่วชิงเฉิน…

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงมีศิษย์ว่า “อาจารย์อาลั่วหยางของเราก็ร้ายกาจมากนะ พวกเจ้าไม่รู้อะไร จิ้งจอกแดงฝูงนั้นแปลกประหลาดมาก ยังเป็นหน้าตาของเดรัจฉานชัดๆ ขยับตัวแต่ทีล้วนราวกับ…ราวกับ…

 

 

“ราวกับอะไรเจ้าพูดสิ!” สมาชิกทีมใจร้อนคนหนึ่งตบไหล่ของคนนั้นทีหนึ่ง

 

 

“ราวกับพวกผู้หญิงของนิกายเหอฮวนอย่างนั้นแหละ! จื้ดๆ ยามนั้นปีศาจจิ้งจอกสองสามตัวที่ล้อมอาจารย์อาลั่วหยางไว้จำแลงกลายเป็นคนแล้วนะ ตบะก็ไม่ด้อยกว่าอาจารย์อาลั่วหยาง เสน่ห์เย้ายวนอย่าบอกใครเชียว ทว่าอาจารย์อาลั่วหยางแม้แต่คิ้วก็ไม่ขมวดสักที ผ่านไปไม่นานก็ฆ่าไปคนหนึ่ง แหะ เรียกว่าขยี้ดอกไม้อย่างโหดร้ายก็ไม่เกินไป”

 

 

ผ่านไปเนิ่นนาน ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว มีอาจารย์อาชิงเฉินอยู่ อาจารย์อาลั่วหยางเห็นหญิงอื่น ก็คือโครงกระดูกสีชมพู เอ๊ะ พวกเจ้าว่าปีนั้นอาจารย์อาลั่วหยางชื่นชอบอะไรในตัวอาจารย์อาชิงเฉินน่ะ หรือว่าเห็นหน้าตาที่แท้จริงของอาจารย์อาชิงเฉินมานานแล้ว? มิเช่นนั้นอาจารย์อาชิงเฉินห้าวหาญถึงเพียงนั้น…”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ เรื่องมันเป็นเช่นนี้ มีวันหนึ่ง อาจารย์อาชิงเฉินกำลังอาบน้ำอยู่…”

 

 

หัวข้อเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเรื่องที่เหล่าศิษย์ผู้ชายชอบคุยที่สุด ตัวเอกยังเป็นบุคคลสองคนที่บัดนี้มีชื่อเสียงที่สุดในเหยากวงอีก ศิษย์ทุกคนหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ซุบซิบ หน้าตาระรื่นยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล

 

 

เสียงยิ่งพูดยิ่งดัง มั่วชิงเฉินหลับตาคิดจะแกล้งทำไม่ได้ยินก็ไม่ได้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไยยังไม่ฟื้นฟูอีก?

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วกวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง กลับเห็นเขาแม้สองตาปิดสนิท ขนตายาวกลับกำลังสั่นอยู่ โคนหูก็แดงขึ้นรางๆ

 

 

มั่วชงเฉินลุกขึ้นยืนโดยพลัน เสียงของศิษย์ทุกคนเหมือนถูกตัดขาดฉับพลัน

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้ามา ในมือถือก้อนอิฐไว้แล้วยิ้มตาหยีว่า “ทุกคนฟื้นฟูเสร็จหมดแล้วหรือ?”

 

 

ทุกคนลุกพรึบขึ้นมาเหมือนใจตรงกัน สายตาจ้องก้อนอิฐในมือนางอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เสร็จแล้วขอรับ”

 

 

“เช่นนั้นก็สำรวจสภาพรอบๆ อย่างรอบคอบทีหนึ่ง รอนักพรตลั่วหยางนั่งสมาธิเสร็จเราก็ออกเดินทางกลับค่าย”

 

 

“ขอรับ!” ทุกคนเสียงดังฟังชัด

 

 

ยามนี้เองเยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืน สายตาแม้เย็นชา ลึกเข้าไปในดวงตากลับมีรอยยิ้มวาบผ่านไปว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน พวกเราไปเถอะ”

 

 

ภารกิจสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ทุกคนเดินทากลับด้วยจิตใจปลอดโปร่ง

 

 

ทว่าอาจเพราะกำหนดไว้แล้วว่าการออกศึกครั้งแรกของพวกเขามีอุปสรรคมากมาย บินได้ครู่หนึ่งก็เห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีแสงวิญญาณการต่อสู้สว่างขึ้นจากในหุบเขาแห่งหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินขยับตัว กลับถูกเยี่ยเทียนหยวนขวางไว้ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าพาเหล่าศิษย์รออยู่ที่นี่ ลั่วหยางจะไปสำรวจสักหน่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นเขาสีหน้าเด็ดเดี่ยว จึงได้แต่พยักหน้า

 

 

ทว่าใครจะรู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนเข้าไปครู่หนึ่ง แสงวิญญาญการต่อสู้ข้างในยิ่งปั่นป่วน กลับไม่เห็นเขาออกมาเสียที

 

 

มั่วชิงเฉินหนักใจขึ้นมา หรือว่าสถานการณ์ข้างในแย่กว่าที่คิดไว้เสียอีก เช่นนั้นเยี่ยเทียนหยวนเขา…

 

 

คิดถึงตรงนี้รีบหันหน้าไปว่า “หลิวต้าฝาน ผ่านตรงนี้เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็คือเขตของเหล่านักบำเพ็ญเพียร น่าจะไม่มีอสูรปีศาจขั้นห้าขึ้นไปปรากฏตัว เจ้าพาทุกคนไปก่อน”

 

 

“หัวหน้าทีม…” หลิวต้าฝานมองทิศทางของป่าหนาทึบ แล้วลังเลเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าบึ้งลงมาว่า “รีบไป หากเกิดเรื่องจริงๆ พวกเจ้าก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี”

 

 

หลังพูดจบไม่ทันได้รอคำตอบพวกเขา ก็เหยียบไหมเกล็ดน้ำแข่งบินสู่หุบเขานั่นไปดุจดาวตก

 

 

หลิวต้าฝ่านกัดฟัน โบกมือว่า “ไป!”

 

 

มาถึงหน้าหุบเขามั่วชิงเฉินเก็บไหมเก็บน้ำแข็งขึ้น แล้วเข้าไปในหุบเขาเงียบๆ สภาพข้างในทำให้นางตกตะลึง

 

 

บนพื้นมีศพนอนอยู่มากมาย มีของมนุษย์ และก็มีของนักบำเพ็ญเพียร ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหอบอยู่บนพื้น รอยเลือดเต็มตัว ไม่คิดว่าคือหลัวเตี๋ยจวินที่ไม่ได้พบกันมาหลายเดือน!

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกำลังสู้อยู่กับอินทรียักษ์ปีกทอง ส่วนอีกด้านหนึ่งที่กำลังสู้กันอยู่คือฮ่าวเสวี่ยเจินจวินและหญิงสาวกระโปรงฟ้าคนหนึ่ง

 

 

หญิงสาวกระโปรงฟ้าผู้นั้นก็คือราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์

 

 

เพียงแต่เห็นนางจิงชี่เสิน[1]กระปรี้กระเปร่ากว่าแต่ก่อนมาก อาการบาดเจ็บน่าจะหายดีแล้ว ตรงกันข้ามกลับเป็นฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเสียอีกที่ตกเป็ยเบี้ยล่างไปทุกทาง

 

 

นี่ก็ว่าไม่ได้ ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง ส่วนราชาปีศาจไป่หลี่เช่ว์กลับอยู่จำแลงขั้นสุดท้าย เทียบเท่ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลาย

 

 

หากไม่เพราะเผ่าปีศาจเทียบกับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับเดียวกันแล้วด้อยกว่าเล็กน้อย ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินคงไม่ไหวนานแล้วเป็นแน่

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ลังเลอีก ธนูชิงอิ่นผุดขึ้นกลางฝ่ามือในทันใด จากนั้นง้างธนูใส่ศร ศรทองคำดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังอินทรียักษ์ปีกทอง

 

 

ต่อจากนั้นยิงศรอีกดอกหนึ่งออก ที่พุ่งตรงไปยังไป่หลี่เช่ว์กลับเป็นศรเหมันต์ดอกหนึ่ง

 

 

อินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้นเดิมทีก็ถูกเยี่ยเทียนหยวนข่มไปเสียทุกที่ จู่ๆ ศรลับบินมาดอกหนึ่ง ยิงเข้าตาของมันดังปุ๊ก

 

 

ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยทรายคละคลุ้งไปทั่ว รอกระจายหายไปกลับไม่เห็นเงาของอินทรียักษ์ปีกทองแล้ว

 

 

มั่วชิวเฉินรีบวิ่งเข้าไป พยุงหลัวเตี๋ยจวินเดินมาหาเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ลั่วหยาง อินทรียักษ์ปีกทองตัวนั้นล่ะ?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชาว่า “หนีไปแล้ว”

 

 

อินทรียักษ์ปีกทองเล่าลือกันว่ามีสายโลหิตของนกเทพ ปกติอสูรปีศาจประเภทนี้ล้วนมีพรสวรรค์บางอย่างสืบทอดมาตามสายโลหิต วิธีที่มันใช้หนีไปเมื่อครู่ ก็อาจเป็นวิชาลับบางอย่างที่ว่า

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงข้อนี้กำลังจะพูด กลับได้ยินความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง

 

 

“ระวัง” เยี่ยเทียนหยวนกระโดดตัวโถมเข้ามาทั้งสามคนล้มลงพร้อมกัน แสงสีฟ้าสายหนึ่งบินผ่านที่ที่มั่วชิงเฉินยืนเมื่อครู่ หายเข้ากำแพงภูเขาไปอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไม่คิดว่าจะเป็นขนหางสีฟ้าเส้นหนึ่ง

 

 

“มดปลวกเล็กๆ ก็กล้าลอบทำร้ายข้า!” เสียงไพเราะกลับน่าเกรงขามของไป่หลี่เช่ว์ดังขึ้น

 

 

ที่แท้ตั้งแต่ยามที่มั่วชิงเฉินเข้ามา ไป่หลี่เช่ว์ก็รู้ตัวแล้ว เพียงแต่นางยุ่งอยู่กับการรับมือฮ่าวเสวี่ยเจินจวิน ขี้เกียจไปสนใจนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง

 

 

ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะยิงศรเหมันต์มาดอกหนึ่ง ส่วนไป่หลี่เช่ว์ก็คิดว่าสมบัติวิเศษของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งจะทำอันตรายอะไรตนได้ ด้านหนึ่งรับมือฮ่าวเสวี่ยเจินจวินอย่างตั้งใจเต็มที่ ด้านหนึ่งโบกแขนเสื้อส่งเดชไปทีหนึ่ง

 

 

ไม่ผิดจากที่นางคาดไว้ ศรที่บินมาถูกลมที่รุนแรงนั่นพัดจนปรับเปลี่ยนทิศทางร่วงลงไปอย่างหมดแรงจริงๆ ทว่าเปลวน้ำแข็งเหมันต์กลับผนึกลมพวกนั้นให้เป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา ปราณเย็นมุดเข้าไปตามลม ข้อมือไป่หลี่เช่ว์แข็งทันที

 

 

ยอดฝีมือขั้นสุดยอดประมือกัน แพ้ชนะในชั่วพริบตา พอนางแข็งฮ่าวเสวี่ยเจินจวินฉวยโอกาสไว้ทันที ซัดแสงวิญญาณสายหนึ่งมาก็ทำให้ข้อมือนางบาดเจ็บ

 

 

ทว่าอย่างไรเสียพลังของไป่หลี่เช่ว์ก็สูงกว่าขั้นหนึ่ง ข้อมือบาดเจ็บแล้วแม้ไม่เหมือนเมื่อครู่ข่มฮ่าวเสวี่ยเจินจวินได้อย่างสิ้นเชิง กลับยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ดี

 

 

ก็เพราะเช่นนี้ นางที่เกรี้ยวกราดถึงยิงขนหางออกคิดจะจัดการมดน้อยที่สร้างความวุ่นวายเสีย

 

 

“พวกเจ้ารีบไป กลับไปรายงาน เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก…” เสียงที่หายใจติดขัดของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินลอยมา เห็นชัดว่าประคองได้อีกไม่นานแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินถูกเยี่ยเทียนหยวนพุ่งถลามาล้มลงกับพื้น เพราะมือยังลากหลัวเตี๋ยจวินอยู่ หลัวเตี๋ยจวินที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ล้มตามไปด้วย เพียงแต่ร่างเยี่ยเทียนหยวนกลับทบอยู่บนตัวนาง ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ได้ยินคำพูดของฮ่าวเสวี่ยเจินจวินแล้วนางสะดุ้งเฮือกในใจ รีบตะโกนว่า “ศิษย์พี่ลั่วหยาง…” พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขาดหายไปทันที เห็นเพียงเยี่ยเทียนหยวนสีหน้าซีดเซียว ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“ชิงเฉิน…เจ้ายืมแรงให้ข้าหน่อย…”

 

 

สายตามั่วชิงเฉินกวาดมองปราดหนึ่งแล้วตัวแข็งทื่อทันที่ เห็นเพียงหลังเยี่ยเทียนหยวนปักขนหางสีฟ้าไว้เส้นหนึ่งอย่างเด่นชัด ขนหางสีฟ้านั่นเข้าไปลึกถึงในร่างกาย เหลือกเพียงหางไว้เส้นหนึ่ง

 

 

ที่แท้ที่ไป่หลี่เช่ว์ยิงมาคือขนหางสองเส้น!

 

 

ที่โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือพลาดจากหัวใจด้านหลังหนึ่งชุ่น มิเช่นนั้น…

 

 

เมื่อนึกถึงผลลัพธ์นั่น มั่วชิงเฉินก็สีหน้าซีดเผือด

 

 

นางยื่นมือออก ผลักเยี่ยเทียนหยวนออกอย่างระมัดระวัง กลับไม่กล้าฝืนถอนขนหางสีฟ้ออกมา มือหนึ่งพยุงเยี่ยเทียนหยวน มือหนึ่งพยุงหลังเตี๋ยจวิน แล้วมองฮ่าวเสวี่ยเจินจวินอีกปราดหนึ่ง อัญเชิญไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมากลายเป็นลำแสงสายหนึ่งหนีออกไปไกล

 

 

“ศิษย์พี่ลั่วหยาง สหายเต๋าหลัว พวกเจ้าอดทนไว้…จะถึงค่ายแล้ว” มั่วชิงเฉินเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งเต็มกำลัง และก็กลัวพวกเขาสองคนเพราะบาดเจ็บไม่มีแรงป้องกันจึงกางเขตอาคมวิญญาณป้องกันขึ้นมา เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้พลังวิญญาณในกายนางก็ใช้ไปอย่างรวดเร็ว

 

 

พลานุภาพสายหนึ่งบีบเข้ามาใกล้จากที่ไกลๆ ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้า คนที่มาขี่อสูรเนตรทองเลี่ยงน้ำตัวหนึ่ง โฉมดุจหยก งามไม่เป็นสองรองใคร คือหรูอวี้เจินจวิน

 

 

“ชิงเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หรูอวี้เจินจวินมองดูสามคนแล้วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นางกำลังจะออกไปก็เจอศิษย์เหยากวงกลุ่มหนึ่ง ฟังพวกเขาเล่าสถานการณ์ครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่ามั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะของเหยากวง กลัวเกิดเรื่องไม่คาดคิดถึงได้ออกมาหา

 

 

“หรูอวี้เจินจวิน เร็ว…ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินและไป่หลี่เช่ว์สู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ น่าจะใกล้ไม่ไหวแล้ว!” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงรีบร้อน

 

 

 

 

——

 

 

[1] จิง ชี่ เสิน  เต๋าจัดว่าเป็นหัวใจหลักของมนุษย์เลย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างนี้ไป จะไม่เรียกว่ามนุษย์อีกต่อไป โดย

 

 

精 (jīng, จิง) — สารสำคัญในร่างกาย เช่น ฮอร์โมน สารอาหาร เชื้ออสุจิ

 

 

氣 (qì, ชี่) — พลังชี่ในร่างกายยังมีการแบ่งย่อยอีกหลายอย่าง

 

 

神 (shén, เสิน) — จิตวิญญาณ หรือ จิตสำนึก ของเรา

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset