พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 354 เจอปลากินกระดูก

“ข้าน้อยเคยได้ยินคนอื่นเล่าถึงเรื่องที่ได้ฟังมาของสิบทวีปตะวันออกโดยบังเอิญ ว่ากันว่าที่นี่ไม่เหมือนดินแดนเทียนหยวนที่มีสำนักมากมาย หากแต่กุมอำนาจโดยตระกูลบำเพ็ญเพียรหลายตระกูล เราเรียกกันและกันว่าสหายเต๋า สำเนียงและพฤติกรรมก็ต่างกับคนท้องถิ่นอีก คนอื่นดูปุ๊บก็รู้ว่าเราเป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทว่าหากเรียกกันเป็นพี่น้อง พี่น้องคู่หนึ่งเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งคู่ สหายเต๋าชิงเฉินเจ้าเดาสิว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร?” นักพรตเชียนหานถามกลับว่า

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “จะรู้สึกว่า เราเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่นักบำเพ็ญเพียรสักตระกูลหนึ่งที่ออกมาฝึกตน?”

 

 

นักพรตเชียนหานระบายยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีว่า “น้องพี่เจ้าฉลาดจริงๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินปากสั่นแล้วสั่นอีก ในที่สุดก็ไม่ได้แย้งอีก ได้ น้องสาวก็น้องสาวเถอะ เดิมทีตนก็เด็กกว่าเขามากมายอยู่แล้ว เรียกพี่ใหญ่สักคำก็ไม่ขาดทุน ขอเพียงความโชคร้ายของเขาอย่าแพร่เชื้อมาให้ตนก็พอแล้ว

 

 

“มู่เฉิน” เห็นมั่วชิงเฉินทอดสายตามองมา นักพรตเชียนหานอมยิ้มที่มุมปากว่า “ถังมู่เฉินคือชื่อของข้าน้อย”

 

 

“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินบอกชื่อของตนออกไป

 

 

ถังมู่เฉินใช้พัดพับเคาะฝ่ามือว่า “ดูท่าสวรรค์ลิขิตให้พวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่พูดอะไร สีหน้ากลับเคร่งเครียดเล็กน้อย

 

 

“น้องพี่เป็นอะไรไป?” ถังมู่เฉินถามขึ้นอย่างตามสบายว่า

 

 

“ข้าไม่เป็นไร เชียนหาน…” เห็นถังมู่เฉินเลิกคิ้ว จึงเปลี่ยนว่า “พี่ใหญ่เชิญกลับไปพักผ่อนเถอะ”

 

 

นางเป็นห่วงศิษย์พี่ลั่วหยางขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แม้นางเชื่อว่าด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนหยวน ถูกกักอยู่ในเขาวงกตนั่นน่าจะไม่เป็นไร ทว่าตกลงเขาสามารถเดินออกมาได้หรือไม่กันแน่ ออกมาแล้วจะเหมือนพวกเขาตกลงบนเกาะสักเกาะหรือไม่ อยู่สิบทวีปภาคตะวันออกยังจะได้เจอกันอีกหรือไม่นะ?

 

 

เพียงแต่กับถังมู่เฉิน ย่อมไม่สะดวกพูดคำพูดลึกซึ้งเหล่านี้ เพียงแต่แอบตัดสินใจคอยสนใจข่าวคราวของเยี่ยเทียนหยวนให้มากๆ

 

 

หลังจากถังมู่เฉินออกไปแล้ว มั่วชิงเฉินยื่นมือออกโบก ตั้งค่ายกลป้องกันขึ้น แล้วฝึกเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ขึ้นมา

 

 

วิชายุทธขั้นนี้ในระดับก่อแก่นปราณของเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ มีคาถาชั้นสูงติดมาหลายอัน ในนั้นที่เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ มั่วชิงเฉินกะจะฝึก ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ ให้เชี่ยวชาญ ก่อนไปถึงเซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้า

 

 

ควบคุมจิตตระหนักอย่างรอบคอบ โคจรพลังวิญญาณอย่างระมัดระวัง พลังวิญญาณแปลงเป็นพฤกษาและพฤกษาวิญญาณของจริงผสานกันเป็นผืนป่าที่อันตราย

 

 

วันเวลาต่อมา นอกจากการพักผ่อนที่จำเป็น เวลาทั้งหมดของมั่วชิงเฉินล้วนเสียไปกับการคลำฝึกคาถานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามวันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน การใช้ ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ ก็ค่อยๆ สมบูรณ์จนได้

 

 

พอใจกับผลการสำแดงครั้งนี้มาก มั่วชิงเฉินถอนเขตอาคมป้องกันออก แล้วผลักประตูเดินออกไป

 

 

ลมทะเลที่ปนด้วยความชื้นและกลิ่นคาวเล็กน้อยพัดถาโถมเข้ามา เส้นผมเต้นไม่หยุดทำให้รู้สึกคัน มั่วชิงเฉินยกมือทัดเส้นผมไว้หลังหู แล้วพิงระเบียงเงยหน้ามองดวงดาวที่อยู่เต็มฟ้า

 

 

“น้องพี่วันนี้ช่างมีอารมณ์สุนทรี” เสียงฝีเท้าด้านหลังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้หันกลับไป เสียงนิ่งเรียบว่า “เรียกไม่ได้ว่าอารมณ์สุนทรีหรือไม่สุนทรี เพียงแต่เดินออกมาตามอารมณ์เท่านั้น”

 

 

ถังมู่เฉินพิงระเบียงแล้วแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ตากลมโตกะพริบแล้วกะพริบอีก ดูเหมือนจะสว่างยิ่งกว่าดวงดาวพวกนั้นอีก

 

 

ในยามนี้บรรยากาศสงบเงียบ ทั้งสองคนต่างแหงนมองท้องฟ้าเงียบๆ

 

 

ทว่าบรรยากาศเช่นนี้เป็นเพียงดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน[1] เพียงชั่วครู่ก็ถูกถังมู่เฉินตีแตก

 

 

เห็นเพียงเขาหันหน้ามองมั่วชิงเฉิน ตาเป็นประกายถามว่า “น้องพี่เอ๊ย เจ้าคิดถึงศิษย์พี่เจ้าอยู่ใช่หรือไม่น่ะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินอดทนต่อความรู้สึกที่อยากเดินจากไป แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “พี่ใหญ่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”

 

 

ถังมู่เฉินถอนใจอย่างไม่แยแส ยื่นมือออกชี้ท้องฟ้าว่า “พอดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี่ ข้าก็นึกถึงกระบวนท่า ‘ห่วงตะวันย้อยดารา’ ของนักพรตลั่วหยางขึ้นมา บอกตรงๆ เห็นเขาใช้ครั้งแรก ด้วยตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลางสามารถใช้กระบวนท่าสะเทือนฟ้าสะท้านดินเช่นนั้นได้ ช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ เลย”

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าแล้วยิ้มว่า “ศิษย์พี่พรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งไม่ผยองไม่ย่อท้อ เรียกได้ว่าพลังฝีมือสูงส่งล้ำเลิศ เป็นที่ใฝ่ฝันถึงของผู้อื่นจริงๆ”

 

 

โลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ใครไม่ใฝ่ฝันผู้แข็งแกร่งล่ะ

 

 

ถังมู่เฉินหัวเราะฟู่ออกมาว่า “น้องพี่ พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าคิดถึงศิษย์พี่น้อยแล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน คนผู้นี้ตกลงชอบเรื่องซุบซิบถึงเพียงไหนกันเชียว ชอบถึงเพียงไหนกันเชียว จึงไม่ลังเลอีก หันหลังเดินจากไปทันที

 

 

“เอ๊ะ น้องพี่ อย่าไปสิ พระจันทร์สวยถึงเพียงนี้ ไม่ชมเสียหน่อยมิเสียดายแย่หรือ?” ถังมู่เฉินไล่ตามขึ้นไปก้าวหนึ่ง

 

 

ในยามนี้เองหางเรือที่ทั้งสองคนยืนอยู่โคลงเคลงขึ้นฉับพลัน สั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

 

“อู๊…” เสียงเตือนภัยแสบแก้วหูดังขึ้น จากนั้นก็เห็นลำเรือเปล่งแสงสีขาวขึ้นสายหนึ่ง ต่อจากนั้นลำแสงครอบเรือทั้งลำไว้ เกิดเป็นฝาครอบป้องกัน

 

 

เสียงซ่าดังสนั่น น้ำกระเซ็นไปทั่ว เงาดำฝูงหนึ่งกระโดดขึ้นมา ยืมแสงจันทราที่สุกสกาว สามารถดูออกว่าคือปลานับไม่ถ้วน

 

 

ปลาพวกนี้ยาวเพียงสองฉื่อ ทว่าหัวปลาก็ยึดไปกว่าหนึ่งฉื่อแล้ว อ้าปากกว้างอย่างดุร้ายยิ่งนัก สีหน้าหน้ากลัว เขี้ยวโผล่ออกมาแถวหนึ่ง

 

 

กร๊อบๆ เสียงกัดแทะวัตถุดังขึ้น

 

 

“นี่ตัวอะไรน่ะ!” ถังมู่เฉินอ้าปากเล็กน้อย เพ่งพิศอย่างสนใจ

 

 

มั่วชิงเฉินก็หยุดฝีเท้าลง หันหลังเดินกลับไปข้างเรือ

 

 

“ผู้อาวุโสทั้งสอง” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรีบเดินเข้ามา

 

 

“เจ้าของเรือ เจ้ารีบดูเร็ว พวกนี้คืออะไร?” ถังมู่เฉินกวักมือเรียกนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ชี้ปลาประหลาดที่กัดแทะลำเรือไม่หยุด กลับเพราะมีที่ครอบป้องกันจึงไม่อาจได้ดังใจ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกอบมือว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง คนทางนี้เราเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลากินกระดูกขอรับ”

 

 

“ปลากินกระดูก? ชื่อนี้น่ากลัวทีเดียวเลยนะ” ถังมู่เฉินหัวเราะ ใบหน้ากลับไม่มีความเกรงกลัวใดๆ

 

 

ปลาพวกนั้นแม้มีจำนวนมาก กลับอยู่แค่ขั้นสามขั้นสี่ เขาในฐานะนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางย่อมไม่เห็นในสายตา

 

 

ไม่รู้เพราะเห็นจนชิน หรือเพราะบนเรือมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาด้วยสองท่านค่อนข้างวางใจ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็สีหน้าสงบว่า “ปลาพวกนี้ไปไหนมาไหนกันเป็นฝูงมาแต่ไหนแต่ไร แต่ละฝูงไม่ต่ำกว่าพันตัว ฟันของพวกมันแหลมคมกว่าสมบัติวิเศษระดับสูงเสียอีก แทะทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตหากถูกมันกัดเข้า ไม่กินกระดูดลงไปจะไม่เลิกรา กระทั่งตัดครึ่งตัวล่างพวกมันไป ก่อนที่จะขาดใจมันยังกินอย่างตะกละตะกลามอีก ชื่อนี้ ก็ได้มาด้วยเหตุนี้”

 

 

“เซิงโจวก็มีสายพันธุ์ที่ทางเรานั่นไม่มีมากมายทีเดียว” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยิ้มเช่นกันว่า “แน่นอน สิบทวีปกว้างใหญ่ ยากจะจินตนาการ อีกทั้งมีทะเลกว้างใหญ่ไพศาลกั้นกลาง นักบำเพ็ญเพียรมากมายใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ไปจากทวีปที่ตนอยู่ แต่ละทวีปต่างมีสายพันธุ์และขนบธรรมเนียบประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนนะขอรับ”

 

 

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มั่วชิงเฉินตั้งใจสืบข่าวคราวมากหน่อย จึงเอ่ยต่อว่า “ดูท่าทางของเจ้าของเรือ ไม่กลัวปลากินกระดูกนี้ หรือว่าเคยเจอในทะเลบ่อยครั้ง?”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานส่ายศีรษะว่า “เส้นทางเดินเรือของเรือลำนี้ข้าน้อยวิ่งจนคุ้นเคย แม้จะบอกว่าในทะเลมีอันตรายมากมาย ทว่าจำนวนฝูงปลากินกระดูดในน่านน้ำนี้มีไม่มาก ร่องเรือร้อยครั้งเกรงว่ายังไม่เจอสักครั้ง บอกตรงๆ ครั้งนี้ได้เจอ ยังค่อนข้างแปลกนะขอรับ”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้านิ่งอึ้ง เหลือบมองถังมู่เฉินปราดหนึ่ง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนึกว่าคุณหนูที่มาจากตระกูลใหญ่เช่นนี้ต่อให้ตบะสูงเพียงใด เกรงว่าคงไม่เคยผ่านอันตรายอะไรมาก่อน จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง เรือของเราลำนี้เพิ่มค่ายกลป้องกันพิเศษไว้ ฝูงปลากินกระดูกแม้น่ากลัว ขอเพียงไม่มีปลากินกระดูกชั้นสูงโผล่มาไม่มีทางทำลายเกราะป้องกันได้ขอรับ”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังถึงตรงนี้หนังตากระตุกทีหนึ่ง เมื่อกวาดมองถังมู่เฉินอีกครั้งในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยังคงพูดเองเออเองว่า “ใครๆ ก็พูดว่าทางสวรรค์มีสมดุล ปลากินกระดูกแม้ชั่วร้ายอำมหิต จำนวนมหาศาล ทว่ากลับเลื่อนขั้นยากลำบากยิ่งนัก ในฝูงปลาร้อยตัวก็หาปลากินกระดูกสูงกว่าขั้นห้าไม่เจอสักตัว…”

 

 

ยังไม่สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงดังสนั่น คลื่นพุ่งสูงจากผิวน้ำสามจั้ง ในคลื่นสูงเสียดฟ้ามีปลากินกระดูกขนาดตัวยาวกว่าหนึ่งจั้งตัวหนึ่งแยกเขี้ยวที่เป็นประกายหนาวจับใจ ฟาดหางใส่ลำเรืออย่างแรง เรือทั้งลำโคลงขึ้นมาทันที

 

 

เหลือบมองเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็ดูออกว่านี่เป็นปลากินกระดูกขั้นหกตัวหนึ่ง

 

 

ดีมาก โอกาสหนึ่งในหมื่นเมื่อใดที่มีนักพรตเชียนหานท่านนี้แล้ว ความน่าจะเป็นก็จะมากขึ้นเล็กน้อยจริงๆ!

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีหน้าซีดเป็นกระดาษ มือสั่นขึ้นมาไม่หยุดว่า “ขะ…ขั้นหก นี่ นี่เป็นไปได้เช่นไร พันปีมานี้ ยังไม่เคยได้ยินว่าที่แห่งนี้มีปลากินกระดูกขั้นหกมาก่อน”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็เห็นปลากินกระดูกขั้นหกอ้าปากกว้าง กัดไปที่แสงสีขาวคำหนึ่ง

 

 

แสงป้องกันสีขาวเริ่มเห็นลายน้ำกระเพื่อม จะตกแหล่มิตกแหล่

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน แผดเสียงตะโกนว่า “เร็ว เปิดค่ายชายใหญ่!”

 

 

“ขอรับ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรศิษย์ระดับหลอมลมปราณสิบกว่าคนนั้นก็ไปยืนอยู่ที่แต่ละมุมแล้ว โบกธงในมือไม่หยุด ถึงสุดท้ายชี้ไปที่ท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ลำแสงพุ่งขึ้นฟ้าสายแล้วสายเล่า ถักทอเป็นแสงวิญญาณรูปชามคว่ำใบหนึ่ง ต่อจากนั้นแสงวิญญาณรูปชามตกลงมา ครอบเรือทั้งลำไว้ในชาม

 

 

ค่ายชามใหญ่?

 

 

มั่วชิงเฉินบ่นงึมงำ ชื่อค่ายกลนี้ ช่างสมจริงเหลือเกิน

 

 

“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง!” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตวัดชายเสื้อ คุกเข่าลงขาเดียว

 

 

“เจ้าของเรือจะทำอะไร?” ถังมู่เฉินเลิกคิ้ว

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่ได้เงยหน้าเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ค่ายชามใหญ่นี่เป็นค่ายกลที่จะเปิดใช้ในเวลาฉุกเฉินเท่านั้น ความจริงเป็นการป้องกันเส้นสุดท้ายของเรือลำนี้ ค่ายกลนี้ต้านทานอสูรปีศาจขั้นห้าไม่เป็นปัญหา เพียงแต่อสูรปีศาจขั้นหก โดยเฉพาะอสูรร้ายเช่นปลากินกระดูกนี้ ตกลงสามารถต้านทานได้หรือไม่ยากจะคาดการได้จริงๆ ผู้น้อยขอร้องท่านผู้อาวุโสทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ หากค่ายชายใหญ่แตก ขอได้โปรดยื่นมือเข้าช่วยด้วย”

 

 

พูดถึงตรงนี้นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานศีรษะจรดพื้นไม่ขยับเขยื้อน ในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

 

 

นักบำเพ็ญเพียรในเซิงโจวต่างรู้ดี นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพบปลากินกระดูกขั้นห้าล้วนต้องเลี่ยงความร้ายกาจของมัน ส่วนสองคนนี้แม้ท่านหนึ่งอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ท่านหนึ่งก่อแก่นปราณระยะต้น ทว่าพบกับปลากินกระดูกขั้นหกหากกลัวเกิดความสูญเสีย ถึงเวลาสละเรือไปก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

 

 

“น้องพี่ เจ้าคิดว่าเช่นไร?” ถังมู่เฉินแอบส่งเสียงทางจิต

 

 

มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า คนผู้นี้ปกติเหลาะแหละ เวลาสำคัญยังรู้จักขอความเห็นผู้อื่น ก็นับว่าไม่เลวแล้ว จึงตอบทันทีว่า “แน่นอนต้องสู้อยู่แล้ว ที่แห่งนี้ไม่รู้ยังห่างจากเกาะหมายเลขสามสิบห้าเพียงใด ไปจากเรือลำนี้ก็ใช่ว่าเราจะสามารถเจอเรือลำอื่นได้อีก อีกอย่างปลากินกระดูกนี้ว่าไปแล้วน่ากลัว แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงอสูรปีศาจขั้นหก เราสองคนร่วมมือกัน คิดว่าก็สามารถรับมือได้ จะได้ลองระดับฝีมือของอสูรปีศาจของที่นี่พอดี ยังมีอีกข้อหนึ่ง อย่างไรเสียบนเรือลำนี้ก็มีชีวิตหลายร้อยชีวิต สำหรับเราแล้วเป็นแค่โอกาสการขัดเกลา สำหรับพวกเขาแล้วกลับเป็นชีวิตเป็นๆ” 

 

 

“น้องพี่พูดได้ถูกต้อง…”

 

 

ถังมู่เฉินส่งเสียงทางจิตถึงตรงนี้ก็ถูกตัดขาดเสียแล้ว

 

 

ลำเรือยิ่งโคลงยิ่งรุนแรง ศิษย์ระดับหลอมลมปราณพวกนั้นไม่สามารถยืนให้นิ่งได้แล้ว กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นเรือ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแม้พอกล้อมแกล้มยืนอยู่ได้ สีหน้ากลับซีดเซียวไปหมด

 

 

เสียงกร๊วบดังสนั่น แสงวิญญาณรูปชามคว่ำกะพริบ จากนั้นมืดมิดลง ปลากินกระดูกขั้นหกอ้าปากกว้างออกราวกับยิ้มอย่างสยองพลางกัดไปที่หัวเรือ

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน  ถานฮวาเป็นดอกไม้สีขาวที่บานยามราตรี มีดอกสีขาวสวยงามมาก แต่มีระยะเวลาบานเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นจึงเกิดเป็นสำนวนว่าดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน หมายความว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่อยู่เพียงชั่วคราวไม่ยั่งยืน

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset