“ข้าน้อยเคยได้ยินคนอื่นเล่าถึงเรื่องที่ได้ฟังมาของสิบทวีปตะวันออกโดยบังเอิญ ว่ากันว่าที่นี่ไม่เหมือนดินแดนเทียนหยวนที่มีสำนักมากมาย หากแต่กุมอำนาจโดยตระกูลบำเพ็ญเพียรหลายตระกูล เราเรียกกันและกันว่าสหายเต๋า สำเนียงและพฤติกรรมก็ต่างกับคนท้องถิ่นอีก คนอื่นดูปุ๊บก็รู้ว่าเราเป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทว่าหากเรียกกันเป็นพี่น้อง พี่น้องคู่หนึ่งเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งคู่ สหายเต๋าชิงเฉินเจ้าเดาสิว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร?” นักพรตเชียนหานถามกลับว่า
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “จะรู้สึกว่า เราเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่นักบำเพ็ญเพียรสักตระกูลหนึ่งที่ออกมาฝึกตน?”
นักพรตเชียนหานระบายยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีว่า “น้องพี่เจ้าฉลาดจริงๆ”
มั่วชิงเฉินปากสั่นแล้วสั่นอีก ในที่สุดก็ไม่ได้แย้งอีก ได้ น้องสาวก็น้องสาวเถอะ เดิมทีตนก็เด็กกว่าเขามากมายอยู่แล้ว เรียกพี่ใหญ่สักคำก็ไม่ขาดทุน ขอเพียงความโชคร้ายของเขาอย่าแพร่เชื้อมาให้ตนก็พอแล้ว
“มู่เฉิน” เห็นมั่วชิงเฉินทอดสายตามองมา นักพรตเชียนหานอมยิ้มที่มุมปากว่า “ถังมู่เฉินคือชื่อของข้าน้อย”
“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินบอกชื่อของตนออกไป
ถังมู่เฉินใช้พัดพับเคาะฝ่ามือว่า “ดูท่าสวรรค์ลิขิตให้พวกเราเป็นพี่น้องกันแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่พูดอะไร สีหน้ากลับเคร่งเครียดเล็กน้อย
“น้องพี่เป็นอะไรไป?” ถังมู่เฉินถามขึ้นอย่างตามสบายว่า
“ข้าไม่เป็นไร เชียนหาน…” เห็นถังมู่เฉินเลิกคิ้ว จึงเปลี่ยนว่า “พี่ใหญ่เชิญกลับไปพักผ่อนเถอะ”
นางเป็นห่วงศิษย์พี่ลั่วหยางขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แม้นางเชื่อว่าด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนหยวน ถูกกักอยู่ในเขาวงกตนั่นน่าจะไม่เป็นไร ทว่าตกลงเขาสามารถเดินออกมาได้หรือไม่กันแน่ ออกมาแล้วจะเหมือนพวกเขาตกลงบนเกาะสักเกาะหรือไม่ อยู่สิบทวีปภาคตะวันออกยังจะได้เจอกันอีกหรือไม่นะ?
เพียงแต่กับถังมู่เฉิน ย่อมไม่สะดวกพูดคำพูดลึกซึ้งเหล่านี้ เพียงแต่แอบตัดสินใจคอยสนใจข่าวคราวของเยี่ยเทียนหยวนให้มากๆ
หลังจากถังมู่เฉินออกไปแล้ว มั่วชิงเฉินยื่นมือออกโบก ตั้งค่ายกลป้องกันขึ้น แล้วฝึกเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ขึ้นมา
วิชายุทธขั้นนี้ในระดับก่อแก่นปราณของเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ มีคาถาชั้นสูงติดมาหลายอัน ในนั้นที่เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ มั่วชิงเฉินกะจะฝึก ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ ให้เชี่ยวชาญ ก่อนไปถึงเซิงโจวเกาะหมายเลขสามสิบห้า
ควบคุมจิตตระหนักอย่างรอบคอบ โคจรพลังวิญญาณอย่างระมัดระวัง พลังวิญญาณแปลงเป็นพฤกษาและพฤกษาวิญญาณของจริงผสานกันเป็นผืนป่าที่อันตราย
วันเวลาต่อมา นอกจากการพักผ่อนที่จำเป็น เวลาทั้งหมดของมั่วชิงเฉินล้วนเสียไปกับการคลำฝึกคาถานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามวันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน การใช้ ‘ความชั่วร้ายทั้งปวงบังเกิด’ ก็ค่อยๆ สมบูรณ์จนได้
พอใจกับผลการสำแดงครั้งนี้มาก มั่วชิงเฉินถอนเขตอาคมป้องกันออก แล้วผลักประตูเดินออกไป
ลมทะเลที่ปนด้วยความชื้นและกลิ่นคาวเล็กน้อยพัดถาโถมเข้ามา เส้นผมเต้นไม่หยุดทำให้รู้สึกคัน มั่วชิงเฉินยกมือทัดเส้นผมไว้หลังหู แล้วพิงระเบียงเงยหน้ามองดวงดาวที่อยู่เต็มฟ้า
“น้องพี่วันนี้ช่างมีอารมณ์สุนทรี” เสียงฝีเท้าด้านหลังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ
มั่วชิงเฉินไม่ได้หันกลับไป เสียงนิ่งเรียบว่า “เรียกไม่ได้ว่าอารมณ์สุนทรีหรือไม่สุนทรี เพียงแต่เดินออกมาตามอารมณ์เท่านั้น”
ถังมู่เฉินพิงระเบียงแล้วแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ตากลมโตกะพริบแล้วกะพริบอีก ดูเหมือนจะสว่างยิ่งกว่าดวงดาวพวกนั้นอีก
ในยามนี้บรรยากาศสงบเงียบ ทั้งสองคนต่างแหงนมองท้องฟ้าเงียบๆ
ทว่าบรรยากาศเช่นนี้เป็นเพียงดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน[1] เพียงชั่วครู่ก็ถูกถังมู่เฉินตีแตก
เห็นเพียงเขาหันหน้ามองมั่วชิงเฉิน ตาเป็นประกายถามว่า “น้องพี่เอ๊ย เจ้าคิดถึงศิษย์พี่เจ้าอยู่ใช่หรือไม่น่ะ?”
มั่วชิงเฉินอดทนต่อความรู้สึกที่อยากเดินจากไป แล้วเอ่ยอย่างสงบว่า “พี่ใหญ่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ถังมู่เฉินถอนใจอย่างไม่แยแส ยื่นมือออกชี้ท้องฟ้าว่า “พอดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี่ ข้าก็นึกถึงกระบวนท่า ‘ห่วงตะวันย้อยดารา’ ของนักพรตลั่วหยางขึ้นมา บอกตรงๆ เห็นเขาใช้ครั้งแรก ด้วยตบะระดับก่อแก่นปราณระยะกลางสามารถใช้กระบวนท่าสะเทือนฟ้าสะท้านดินเช่นนั้นได้ ช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ เลย”
มั่วชิงเฉินมองดูดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าแล้วยิ้มว่า “ศิษย์พี่พรสวรรค์โดดเด่น อีกทั้งไม่ผยองไม่ย่อท้อ เรียกได้ว่าพลังฝีมือสูงส่งล้ำเลิศ เป็นที่ใฝ่ฝันถึงของผู้อื่นจริงๆ”
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ใครไม่ใฝ่ฝันผู้แข็งแกร่งล่ะ
ถังมู่เฉินหัวเราะฟู่ออกมาว่า “น้องพี่ พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าคิดถึงศิษย์พี่น้อยแล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”
มั่วชิงเฉินกัดฟัน คนผู้นี้ตกลงชอบเรื่องซุบซิบถึงเพียงไหนกันเชียว ชอบถึงเพียงไหนกันเชียว จึงไม่ลังเลอีก หันหลังเดินจากไปทันที
“เอ๊ะ น้องพี่ อย่าไปสิ พระจันทร์สวยถึงเพียงนี้ ไม่ชมเสียหน่อยมิเสียดายแย่หรือ?” ถังมู่เฉินไล่ตามขึ้นไปก้าวหนึ่ง
ในยามนี้เองหางเรือที่ทั้งสองคนยืนอยู่โคลงเคลงขึ้นฉับพลัน สั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“อู๊…” เสียงเตือนภัยแสบแก้วหูดังขึ้น จากนั้นก็เห็นลำเรือเปล่งแสงสีขาวขึ้นสายหนึ่ง ต่อจากนั้นลำแสงครอบเรือทั้งลำไว้ เกิดเป็นฝาครอบป้องกัน
เสียงซ่าดังสนั่น น้ำกระเซ็นไปทั่ว เงาดำฝูงหนึ่งกระโดดขึ้นมา ยืมแสงจันทราที่สุกสกาว สามารถดูออกว่าคือปลานับไม่ถ้วน
ปลาพวกนี้ยาวเพียงสองฉื่อ ทว่าหัวปลาก็ยึดไปกว่าหนึ่งฉื่อแล้ว อ้าปากกว้างอย่างดุร้ายยิ่งนัก สีหน้าหน้ากลัว เขี้ยวโผล่ออกมาแถวหนึ่ง
กร๊อบๆ เสียงกัดแทะวัตถุดังขึ้น
“นี่ตัวอะไรน่ะ!” ถังมู่เฉินอ้าปากเล็กน้อย เพ่งพิศอย่างสนใจ
มั่วชิงเฉินก็หยุดฝีเท้าลง หันหลังเดินกลับไปข้างเรือ
“ผู้อาวุโสทั้งสอง” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรีบเดินเข้ามา
“เจ้าของเรือ เจ้ารีบดูเร็ว พวกนี้คืออะไร?” ถังมู่เฉินกวักมือเรียกนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ชี้ปลาประหลาดที่กัดแทะลำเรือไม่หยุด กลับเพราะมีที่ครอบป้องกันจึงไม่อาจได้ดังใจ
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกอบมือว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง คนทางนี้เราเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลากินกระดูกขอรับ”
“ปลากินกระดูก? ชื่อนี้น่ากลัวทีเดียวเลยนะ” ถังมู่เฉินหัวเราะ ใบหน้ากลับไม่มีความเกรงกลัวใดๆ
ปลาพวกนั้นแม้มีจำนวนมาก กลับอยู่แค่ขั้นสามขั้นสี่ เขาในฐานะนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะกลางย่อมไม่เห็นในสายตา
ไม่รู้เพราะเห็นจนชิน หรือเพราะบนเรือมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาด้วยสองท่านค่อนข้างวางใจ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็สีหน้าสงบว่า “ปลาพวกนี้ไปไหนมาไหนกันเป็นฝูงมาแต่ไหนแต่ไร แต่ละฝูงไม่ต่ำกว่าพันตัว ฟันของพวกมันแหลมคมกว่าสมบัติวิเศษระดับสูงเสียอีก แทะทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตหากถูกมันกัดเข้า ไม่กินกระดูดลงไปจะไม่เลิกรา กระทั่งตัดครึ่งตัวล่างพวกมันไป ก่อนที่จะขาดใจมันยังกินอย่างตะกละตะกลามอีก ชื่อนี้ ก็ได้มาด้วยเหตุนี้”
“เซิงโจวก็มีสายพันธุ์ที่ทางเรานั่นไม่มีมากมายทีเดียว” มั่วชิงเฉินยิ้มว่า
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยิ้มเช่นกันว่า “แน่นอน สิบทวีปกว้างใหญ่ ยากจะจินตนาการ อีกทั้งมีทะเลกว้างใหญ่ไพศาลกั้นกลาง นักบำเพ็ญเพียรมากมายใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ไปจากทวีปที่ตนอยู่ แต่ละทวีปต่างมีสายพันธุ์และขนบธรรมเนียบประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนนะขอรับ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง มั่วชิงเฉินตั้งใจสืบข่าวคราวมากหน่อย จึงเอ่ยต่อว่า “ดูท่าทางของเจ้าของเรือ ไม่กลัวปลากินกระดูกนี้ หรือว่าเคยเจอในทะเลบ่อยครั้ง?”
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานส่ายศีรษะว่า “เส้นทางเดินเรือของเรือลำนี้ข้าน้อยวิ่งจนคุ้นเคย แม้จะบอกว่าในทะเลมีอันตรายมากมาย ทว่าจำนวนฝูงปลากินกระดูดในน่านน้ำนี้มีไม่มาก ร่องเรือร้อยครั้งเกรงว่ายังไม่เจอสักครั้ง บอกตรงๆ ครั้งนี้ได้เจอ ยังค่อนข้างแปลกนะขอรับ”
มั่วชิงเฉินสีหน้านิ่งอึ้ง เหลือบมองถังมู่เฉินปราดหนึ่ง
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนึกว่าคุณหนูที่มาจากตระกูลใหญ่เช่นนี้ต่อให้ตบะสูงเพียงใด เกรงว่าคงไม่เคยผ่านอันตรายอะไรมาก่อน จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง เรือของเราลำนี้เพิ่มค่ายกลป้องกันพิเศษไว้ ฝูงปลากินกระดูกแม้น่ากลัว ขอเพียงไม่มีปลากินกระดูกชั้นสูงโผล่มาไม่มีทางทำลายเกราะป้องกันได้ขอรับ”
มั่วชิงเฉินฟังถึงตรงนี้หนังตากระตุกทีหนึ่ง เมื่อกวาดมองถังมู่เฉินอีกครั้งในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานยังคงพูดเองเออเองว่า “ใครๆ ก็พูดว่าทางสวรรค์มีสมดุล ปลากินกระดูกแม้ชั่วร้ายอำมหิต จำนวนมหาศาล ทว่ากลับเลื่อนขั้นยากลำบากยิ่งนัก ในฝูงปลาร้อยตัวก็หาปลากินกระดูกสูงกว่าขั้นห้าไม่เจอสักตัว…”
ยังไม่สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงดังสนั่น คลื่นพุ่งสูงจากผิวน้ำสามจั้ง ในคลื่นสูงเสียดฟ้ามีปลากินกระดูกขนาดตัวยาวกว่าหนึ่งจั้งตัวหนึ่งแยกเขี้ยวที่เป็นประกายหนาวจับใจ ฟาดหางใส่ลำเรืออย่างแรง เรือทั้งลำโคลงขึ้นมาทันที
เหลือบมองเพียงปราดเดียว มั่วชิงเฉินก็ดูออกว่านี่เป็นปลากินกระดูกขั้นหกตัวหนึ่ง
ดีมาก โอกาสหนึ่งในหมื่นเมื่อใดที่มีนักพรตเชียนหานท่านนี้แล้ว ความน่าจะเป็นก็จะมากขึ้นเล็กน้อยจริงๆ!
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีหน้าซีดเป็นกระดาษ มือสั่นขึ้นมาไม่หยุดว่า “ขะ…ขั้นหก นี่ นี่เป็นไปได้เช่นไร พันปีมานี้ ยังไม่เคยได้ยินว่าที่แห่งนี้มีปลากินกระดูกขั้นหกมาก่อน”
พูดถึงตรงนี้ก็เห็นปลากินกระดูกขั้นหกอ้าปากกว้าง กัดไปที่แสงสีขาวคำหนึ่ง
แสงป้องกันสีขาวเริ่มเห็นลายน้ำกระเพื่อม จะตกแหล่มิตกแหล่
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน แผดเสียงตะโกนว่า “เร็ว เปิดค่ายชายใหญ่!”
“ขอรับ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรศิษย์ระดับหลอมลมปราณสิบกว่าคนนั้นก็ไปยืนอยู่ที่แต่ละมุมแล้ว โบกธงในมือไม่หยุด ถึงสุดท้ายชี้ไปที่ท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ลำแสงพุ่งขึ้นฟ้าสายแล้วสายเล่า ถักทอเป็นแสงวิญญาณรูปชามคว่ำใบหนึ่ง ต่อจากนั้นแสงวิญญาณรูปชามตกลงมา ครอบเรือทั้งลำไว้ในชาม
ค่ายชามใหญ่?
มั่วชิงเฉินบ่นงึมงำ ชื่อค่ายกลนี้ ช่างสมจริงเหลือเกิน
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง!” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตวัดชายเสื้อ คุกเข่าลงขาเดียว
“เจ้าของเรือจะทำอะไร?” ถังมู่เฉินเลิกคิ้ว
นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่ได้เงยหน้าเอ่ยว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ค่ายชามใหญ่นี่เป็นค่ายกลที่จะเปิดใช้ในเวลาฉุกเฉินเท่านั้น ความจริงเป็นการป้องกันเส้นสุดท้ายของเรือลำนี้ ค่ายกลนี้ต้านทานอสูรปีศาจขั้นห้าไม่เป็นปัญหา เพียงแต่อสูรปีศาจขั้นหก โดยเฉพาะอสูรร้ายเช่นปลากินกระดูกนี้ ตกลงสามารถต้านทานได้หรือไม่ยากจะคาดการได้จริงๆ ผู้น้อยขอร้องท่านผู้อาวุโสทั้งสองไว้ ณ ที่นี้ หากค่ายชายใหญ่แตก ขอได้โปรดยื่นมือเข้าช่วยด้วย”
พูดถึงตรงนี้นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานศีรษะจรดพื้นไม่ขยับเขยื้อน ในใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
นักบำเพ็ญเพียรในเซิงโจวต่างรู้ดี นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพบปลากินกระดูกขั้นห้าล้วนต้องเลี่ยงความร้ายกาจของมัน ส่วนสองคนนี้แม้ท่านหนึ่งอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง ท่านหนึ่งก่อแก่นปราณระยะต้น ทว่าพบกับปลากินกระดูกขั้นหกหากกลัวเกิดความสูญเสีย ถึงเวลาสละเรือไปก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“น้องพี่ เจ้าคิดว่าเช่นไร?” ถังมู่เฉินแอบส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า คนผู้นี้ปกติเหลาะแหละ เวลาสำคัญยังรู้จักขอความเห็นผู้อื่น ก็นับว่าไม่เลวแล้ว จึงตอบทันทีว่า “แน่นอนต้องสู้อยู่แล้ว ที่แห่งนี้ไม่รู้ยังห่างจากเกาะหมายเลขสามสิบห้าเพียงใด ไปจากเรือลำนี้ก็ใช่ว่าเราจะสามารถเจอเรือลำอื่นได้อีก อีกอย่างปลากินกระดูกนี้ว่าไปแล้วน่ากลัว แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงอสูรปีศาจขั้นหก เราสองคนร่วมมือกัน คิดว่าก็สามารถรับมือได้ จะได้ลองระดับฝีมือของอสูรปีศาจของที่นี่พอดี ยังมีอีกข้อหนึ่ง อย่างไรเสียบนเรือลำนี้ก็มีชีวิตหลายร้อยชีวิต สำหรับเราแล้วเป็นแค่โอกาสการขัดเกลา สำหรับพวกเขาแล้วกลับเป็นชีวิตเป็นๆ”
“น้องพี่พูดได้ถูกต้อง…”
ถังมู่เฉินส่งเสียงทางจิตถึงตรงนี้ก็ถูกตัดขาดเสียแล้ว
ลำเรือยิ่งโคลงยิ่งรุนแรง ศิษย์ระดับหลอมลมปราณพวกนั้นไม่สามารถยืนให้นิ่งได้แล้ว กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นเรือ นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแม้พอกล้อมแกล้มยืนอยู่ได้ สีหน้ากลับซีดเซียวไปหมด
เสียงกร๊วบดังสนั่น แสงวิญญาณรูปชามคว่ำกะพริบ จากนั้นมืดมิดลง ปลากินกระดูกขั้นหกอ้าปากกว้างออกราวกับยิ้มอย่างสยองพลางกัดไปที่หัวเรือ
——
[1] ดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน ถานฮวาเป็นดอกไม้สีขาวที่บานยามราตรี มีดอกสีขาวสวยงามมาก แต่มีระยะเวลาบานเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นจึงเกิดเป็นสำนวนว่าดอกถานฮวาชั่วค่ำคืน หมายความว่าช่วงเวลาที่มีความสุขที่อยู่เพียงชั่วคราวไม่ยั่งยืน