พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 364 แผงหมายเลขแปดสิบเก้า

 

 

“ขายยาหรือ เจ้า เจ้าหลอมยาออกมาได้แล้วจริงๆ หรือ” ดวงตาของถังมู่เฉินเบิกขึ้นเล็กน้อย แปลกประหลาดใจอย่างไม่มีเหตุผล

 

 

มั่วชิงเฉินเพียงแค่ปรายตามองเขาทีหนึ่ง เดินตรงไปข้างนอก อีกาไฟพุ่งบินมาหา “นายท่าน ข้าไปด้วย”

 

 

เจ้าเขาน้อยก็ไม่ยอมถูกทิ้ง วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบใช้หัวขนาดใหญ่ไซ้ปลายเสื้อของมั่วชิงเฉินไปมา

 

 

มั่วชิงเฉินตั้งใจอยากให้สัตว์พลังวิญญาณทั้งสองตัวได้ไปเปิดโลก จึงได้ลูบหัวสัตว์พลังวิญญาณทั้งสองเป็นการอนุญาต

 

 

เจ้าเขาน้อยเข้าไปในถุงสัตว์พลังวิญญาณอย่างดีใจ อีกาไฟกลับไม่ขยับเขยื้อน

 

 

“อู๋เย่ว์ นิ่งอยู่ทำไม” มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจ

 

 

อีกาไฟพูดออดอ้อน “นายท่าน ข้าเกาะอยู่ตรงไหล่ท่านดีกว่า ข้ารับประกันว่าจะไม่พูดจา ไม่หาเรื่อง”

 

 

มั่วชิงเฉินมแงร่างอ้วนกลมของอีกาไฟ แอบกัดฟันเบาๆ แต่เมื่อเห็นมันมองมาอย่างน่าสงสารก็ทำเพียงแค่พยักหน้า

 

 

อีกาไฟยิ้มแย้มดีใจบินมาเกาะอยู่บนไหล่ของมั่วชิงเฉิน

 

 

ถังมู่เฉินหรี่ตาลงสะบัดพัดในมือไปมา ในใจลอบคิดว่ารสนิยมของหญิงสาวผู้นี้ช่างเป็นนเอกลักษณ์นัก เลี้ยงอีกาสีดำสนิทไม่น่ามองตัวหนึ่งเป็นสัตว์วิเศษ หรือว่าทำเพื่อเสริมรัศมีให้ตนเองหรืออย่างไร

 

 

ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา “เจ้าซิที่เสริมรัศมี เสริมรัศมีทั้งครอบครัวเจ้า!”

 

 

พัดที่อยู่ในมือถังมู่เฉินตกลงพื้นเสียงดัง รีบถอยไปด้านหลังหนึ่งเก้า นิ้วชี้ไปที่อีกาไฟพูดเสียงสั่นคลอน “เจ้า…เจ้า…”

 

 

“เจ้าอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนสวยหรืออย่างไร!” อีกาไฟกรอกตามองบนด้วยความโมโห

 

 

“น้องข้า มัน มันรู้ได้อย่างไร…” ถังมู่เฉินหันไปมองมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากหัวเราะ จงใจหยอกเย้าถังมู่เฉิน “สัตวิเศษของข้านี้ไม่ได้มีความสามารถอื่น แต่ฉลาดเฉลียวเป็นอย่างมาก มีบางครั้งที่มองท่าทีของคนก็สามารถเดาได้แล้วว่าคนนั้นคิดอะไรอยู่”

 

 

“ฉลาดจริงเชียว!” ถังมู่เฉินเอ่ยชม

 

 

มั่วชิงเฉินเองก็แอบเอ่ยเตือนอีกาไฟ “อู๋เย่ว์ ถ้าเจ้ายังพูดมากเช่นนี้อยู่ก็กลับเข้าไปในถุงสัตว์พลังวิญญาณซะ!”

 

 

“รู้แล้วน่า” อีกาไฟพูดออกมาอย่างว่าง่าย แต่กลับแอบกรอกตาให้ถังมู่เฉิน

 

 

ทั้งสองคนไม่เสียเวลาระหว่าทางอีก เดินตรงไปที่ตลาด

 

 

เมื่อเห็นถังมู่เฉินตรงไปยังบริเวณดูแลของตลาด ถังมู่เฉินถามขึ้น “น้องข้า เจ้าจะทำ…”

 

 

“เช่าที่ตั้งแผงวางแผงขายไง” มั่วชิงเฉินพูดขึ้น

 

 

ถังมู่เฉินตกใจ “ตั้งแผงทำไม ไม่สู้ว่าเอาไปขายให้ร้านจือเหรินเก๋อ ข้าว่าผู้จัดการร้านที่นั้นดูซื่อสัตย์ดี”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า แต่เท้ากลับไม่หยุดเดิน “คนดูแลร้านจือเหรินเก๋อไม่เลวจริง แต่ขายไปที่นั่นราคาต่ำเกินไป ไม่สู้ว่าเอาไปขายเองคุ้มกว่า ยาบำรุงพลังวิญญาณที่นี่ราคาตลาดอยู่ที่หนึ่งร้อยก้อนหินพลังวิญญาณต่อเม็ด หากขายให้จือเหรินเก๋อ เกรงว่าคงไม่เกินเจ็ดสิบก้อนหินพลังวิญญาณ”

 

 

“น้องข้า เช่าแผงขายของก็ต้องใช้หินพลังวิญญาณเหมือนกัน แล้วยังเสียเวลา คิดแล้วไม่เห็นว่าจะคุ้มกว่าเท่าไร” ถังมู่เฉินไม่เข้าใจเท่าไรนัก เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใช้ว่าฉลาดเฉลียวหรืออย่างไร เหตุใดถึงคิดคำนวณไม่ได้ มีเวลาไปตั้งแผงขายของยังไม่สู้ออกไปล่ากำจัดสัตว์อสูร อีกทั้งอย่างไรนางก็เป็นมือใหม่ เพิ่งจะเรียนรู้วิธีการหลอมยาของที่นี่ คุณภาพของยาที่หลอมออกมาหากไม่ดีก็คงได้กำไรมาน้อยกว่าเดิม

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแย้ม “พี่ชาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามียาบำรุงพลังวิญญาณเท่าไร”

 

 

“เท่าไร”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ยิ้มแย้มแต่ไม่พูดจา

 

 

“ห้าเม็ดหรือ อ่า ดูท่าทางของน้องสาวเช่นนี้น่าจะไม่ใช่แค่เท่านี้ หรือว่า…หรือว่าห้าสิบเม็ด!” ถังมู่เฉินตกใจจนพูดไม่ออก “เช่นนั้นหากตั้งแผงขายหนึ่งเม็ดตั้งราคาสามสิบก้อนหินพลังวิญญาณ ห้าสิบเม็ดได้ราคาหนึ่งพันห้าร้อยก้อนหินพลังวิญญาณเชียว!”

 

 

“ห้าร้อยเม็ด” มั่วชิงเฉินพูดจบ ก็ก้าวเท้าเข้าไปในจุดดูแล

 

 

“ห้า…ห้าร้อยเม็ดเชียวหรือ” ร่างของถังมู่เฉินส่ายไปมา ไม่เข้าไปในจุดดูแล กลับลงไปนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นวาดวงกลมลงบนพื้น ปากก็พึมพำไม่หยุด “ยาบำรุงพลังวิญญาณหนึ่งเม็ดขายหนึ่งร้อยก้อนหินพลังวิญญาณ ยาบำรุงพลังวิญญาณห้าสิบเม็ดได้ห้าพันก้อน ห้าร้อยเม็ดได้ห้าหมื่นก้อน ห้าหมื่นก้อน…พระเจ้า ตัวข้ามีชีวิตมานานขนาดนี้ยังไม่เคยมีหินพลังวิญญาณเยอะขนาดนี้เลย อ่า ช่วงเวลาที่ร่ำรวยที่สุดมีเท่าไรกัน ใช่แล้วหินพลังวิญญาณสามพันเม็ด แล้วยังเป็นค่าเดินทางที่น้องเสี่ยวหลิงให้มา แม่เจ้า เดินไปไม่พ้นร้อยลี้ก็ตกลงไปในร่องแล้ว…”

 

 

หากมั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดของถังมู่เฉินคงจะโมโหจนหงายหลังเลยทีเดียว แน่นอนว่าทั้งสองคนสูญเสียถุงเก็บวัตถุไป เป็นนางที่สูญเสีย ถุงเก็บวัตถุของคุณชายผู้นั้นเกรงว่าคงไม่แตกต่างจากของใหม่!

 

 

ทางด้านถังมู่เฉินยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ ยิ่งคิดยิ่งไม่สงบ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหมือนกัน ตนเองนั้นยังมีตบะบำเพ็ญสูงกว่าเล็กน้อย เหตุใดถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้ คนอื่นเขาปิดกั้นกักตัวครึ่งเดือนก็ได้เป็นยาบำรุงพลังวิญญาณห้าร้อยเม็ดออกมา เพียงพริบตาเดียวก็มีหินพลังวิญญาณกว่าหมื่นก้อนมาไว้ในมือ ตนเองออกไปเดินเล่นรอบเกาะอยู่หลายวัน แต่งองค์ทรงเครื่องทำงานเป็นผู้คุ้มกัน แต่ตอนขากลับตาเห็นว่าจะถึงบนเกาะแล้วผู้ว่าจ้างกลับถูกสัตว์อสูรที่ฝังตัวอยู่ในหลุมดินพุ่งขึ้นมาเอาไปกินทั้งร่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก

 

 

เมื่อกลับมาถึงบนเกาะญาติพี่น้องของนายจ้างไม่เพียงไม่ให้หินพลังวิญญาณ แล้วยังใช้ข้ออ้างว่าผู้คุ้มกันไม่ทำหน้าที่บอกให้ผู้คุ้มกันแต่ละคนชดใช้หนึ่งหมื่นก้อนหินพลังวิญญาณ ต่อมาหลังจากที่คนดูแลได้เข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ละคนชดใช้หนึ่งพันก้อนหินพลังวิญญาณแล้วจบเรื่อง ตนเองนั้นไม่เพียงได้หินพลังวิญญาณสักก้อนมาเก็บไว้ แล้วยังต้องมีใบแจ้งหนี้กว่าหนึ่งพันก้อนหินพลังวิญญาณ!

 

 

หลังจากนั้นได้ยินผู้คุมกันที่ไปด้วยกันพูดว่าพื้นที่บริเวณนั้นไม่เคยมีสัตว์อสูรระดับสูงปรากฏตัวขึ้นมาก่อน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงมีสัตว์อสูรขั้นเจ็ดปรากฏขึ้นมา ช่างโชคร้ายเสียจริง!

 

 

ถังมู่เฉินเงียบไป คิดอยากจะด่าโชคชะตาอันแสนเฮงซวย ชาติที่แล้วเขาเคยไปขุดหลุมฝังหินพลังงวิญญาณหรืออย่างไร ชาตินี้หินพลังวิญญาณถึงไม่ได้ยืนอยู่ข้างเขาเลย!

 

 

ไม่สนใจความขมขื่นเต็มท้องถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปในจุดดูแล คนที่เข้ามาต้อนรับคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานวัยกลางคนผู้หนึ่ง

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้หนึ่งเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นและพูดว่า “หญิงเซียน จะเช่าแผงขายหรือจะซื้อหาข่าวเล่า”

 

 

มั่วชิงเฉินยกคิ้วขึ้น “ข้ามาเช่าแผงขายของ แต่การซื้อหาข่าวนั้นหมายถึงอะไรหรือ”

 

 

“อ้อ หญิงเซียนเพิ่งมาที่เกาะหมายเลขสามสิบห้าเป็นครั้งแรกกระมัง จุดดูแลของตลาดที่นี้นอกจากให้ออกเช่าที่แล้วยังขายข่าวสาร อย่างเช่นภายในตลาดยาวิเศษของร้านไหนดี ผู้บำเพ็ญเพียรคนใดเป็นยอดฝีมือในการหลอมอาวุธ สิ่งของแผงใดสมบูรณ์พร้อมที่สุด วัตถุดิบของแผงใดหายากเป็นต้น เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ในขอบเขตการขายของเรา”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบค่อนขอดที่นี่ช่างหาเงินเก่งเสียจริง แต่นางก็มีความต้องการทางด้านนี้พอดี จึงยิ้มและพูดว่า “พูดไปก็บังเอิญนัก ข้ายังคิดจะไถ่ถามอยู่พอดีว่าใครถนัดเรื่องหลอมอาวุธ ไม่ทราบว่าข่าวนี้ขายอย่างไร”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ดูแลยิ้มและตอบ “ต้องการเพียงสิบก้อนหินพลังวิญญาณ”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ลังเล หยิบหินพลังวิญญาณสิบก้อนส่งให้

 

 

ผู้ดูแลยื่นมือออกมารับ ใบหน้ายิ่งกระตือรือร้นมากกว่าเดิม “เป็นเช่นนี้หญิงเซียน ในตลาดของพวกเราร้านอาวุธวิเศษที่ดีที่สุดคือร้านตัวเป่าเก๋อ ประเภทอาวุธวิเศษในนั้นมีครบครัน คุณภาพชั้นยอด และให้บริการขัดเกลาอาวุธวิเศษอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วก็เป็นเจ้าของแผงหมายเลขแปดสิบแปดแล้ว คนทั่วไปเรียกเขาว่าจินเป่าเจินเหริน”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็มองไปที่มั่วชิงเฉินทีหนึ่ง เอ่ยเตือนว่า “แต่ผู้อาวุโสท่านนี้ค่อนข้างชอบเงินทอง มักจะเรียกราคาสูงหลอกให้ลูกค้าหลายคนวิ่งหนีไปไม่น้อย”

 

 

“เช่นนั้นอาวุธวิเศษที่เขาหลอมออกมาเป็นอย่างไรหรือ”

 

 

สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ยชื่อขึ้นมาตามลำพังเทียบเคียงวัดกำลังกับตัวเป่าเก๋อ ย่อมต้องมีจุดที่เหนือคนอื่นเป็นแน่

 

 

ผู้ดูแลหัวเราะ “นั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง จินเป่าเจินเหรินท่านี้ถนัดเรื่องการหลอมอาวุธวิเศษที่มีรูปร่างและการใช้งานที่หมาะสมที่สุดตามวัตถุดิบที่ลูกค้ามอบให้” พูดได้ว่าอาวุธวิเศษทุกชิ้นที่เขาหลอมขึ้นมาล้วนมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์”

 

 

ใจของมั่วชิงเฉินเริ่มคล้อยตาม แอบจำแผงหมายเลขแปดสิบแปดเอาไว้ พูดต่อว่า “เช่นนั้นรบกวนผู้ดูแลปล่อยแผงขายของให้ข้าแผงหนึ่งด้วยเถิด”

 

 

ผู้ดูแลยื่นมือออกมา แผนที่แผงขายของสามมิติปรากฏขึ้นกลางอากาศ เขาชี้ไปยังแผงที่มีแสงสีเขียวกระพริบอยู่แล้วพูดว่า “แผงที่มีแสงสีเขียวเหล่านี้ล้วนว่างอยู่ สีแดงมีคนเช่าใช้ไปแล้ว หญิงเซียนสามารถเลือกได้ตาใจชอบ เพียงแต่ราคามีความแตกต่างอยู่บ้าง บริเวณนี้จำนวนคนสัญจรอัดแน่น และยังเห็นชัด เช่าหนึ่งวันราคาสองร้อยก้อนหินพลังวิญญาณ บริเวณนี้แย่ลงมาหน่อย หนึ่งวันหนึ่งร้อยก้อนหินพลังวิญญาณ เขยิบไปทางนั้นอีกหน่อยหนึ่งวันราคาห้าสิบหินพลังวิญญาณ บริเวณนี้ค่อนข้างห่างไกล ราคาก็ถูกลง หนึ่งวันราคาเพียงสิบก้อนหินพลังวิญญาณ”

 

 

มั่วชิงเฉินพิจารณาแผนที่แผงขายของอย่างละเอียด นางมองเห็นแผงหมายเลขแปดสิบแปดตามสัญชาตญาณ ตรงนั้นมีแสงสีแดงกระพริบอยู่ แต่แผงหมายเลขแปดสิบเก้าที่อยู่ข้างๆ กลับว่างอยู่

 

 

“ผู้ดูแล ถ้าข้าเช่าตรงนี้จะว่าอย่างไร” แผงหมายเลขแปดสิบเก้านี้อยู่ตรงจุดบริเวณตั้งแผงที่แพงที่สุด แม้จะบอกว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไรนัก แต่ยาบำรุงพลังวิญญาณที่นางต้องการออกขายนั้นมีจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ และที่สำคัญกว่านั้นคืออยู่ติดกับแผงของจินเป่าเจินเหรินผู้นั้น นางสามารถศึกษาดูเสียหน่อย

 

 

ท่าทางของผู้ดูแลไม่น่ามองเท่าไรนัก

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมหรือ ผู้ดูแล ตรงนี้ไม่มีคนเช่าไม่ใช่หรือ”

 

 

นางเป็นผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณ แล้วยังผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พอทำท่าทีจริงจังขึ้นมาใบหน้าแฝงไปด้วยความดุดัน แม้สีหน้าจะนิ่งสงบ แต่ยังคงทำให้ผู้ดูแลรู้สึกได้ถึงแรงกดดันในทันใด รีบพูดว่า “หญิงเซียน เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แผงหมายเลขแปดสิบไปจนถึงเก้าสิบ เจ้าของแผงทุกท่านล้วนวางจำหน่ายสิ่งของที่แตกต่างกันไป แต่เป็นของที่โดดเด่นที่สุดในตลาดแห่งนี้ นานเข้าแผงทั้งสิบนี้ก็เกิดมีข้อกำหนดที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมา หากว่ามีคนวางของปกติธรรมดาทั่วไปขายจะถูกคนพูดฉีกหน้า จะถูกลูกค้าตรงไปที่แผงพบว่าสินค้าที่ขายไม่ถูกต้อง ส่งเสียงด่าทอไปจนถึงลงไม่ลงมือทำร้ายคนก็อาจเป็นได้เช่นกัน”

 

 

เซิงโจวเน้นกำลังวิทยายุทธ์ ลูกศิษย์ในตระกูลใหญ่บางจำพวกยังคงรักษาความสุภาพต่อหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ใช้กำลังในการพูดจา

 

 

ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากหยวนโจวด้วย การฝึกร่างกายสามารถพบได้ทั่วไป คนเหล่านั้นยิ่งป่าเถื่อนขึ้นไปอีก

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับรู้ ชี้ไปยังแผงหมายเลขแปดสิบเก้าพูดว่า “แผงนี้เหตุใดถึงว่างลงเล่า”

 

 

“ชิงตานเจินเหรินไปเฟิ่งหลินโจวเพื่อเก็บหญ้าเซียนกำหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ฉะนั้นหลังจากที่สามปีก่อนได้ปล่อยแผงหมายเลขแปดสิบเก้าคืนก็ว่างมาโดยตลอด”

 

 

ความหมายในคำพูดของนักบำเพ็ญเพียรผู้ดูแลคือนับตั้งแต่ชิงตานเจินเหรินจากไปแล้วแผงแห่งนี้ก็ไม่มีคนกล้าเช่ามาโดยตลอด

 

 

มั่วชิงเฉินกลับเกิดความคิด ชี้ไปตรงนั้นพูดว่า “ในเมื่อว่างอยู่ก็ว่างอยู่อย่างนั้น ก็ปล่อยให้ข้าเช่าเถิด ข้าเช่าเพียงวันเดียว”

 

 

นักบำเพ็ญเพียรผู้ดูแลมีท่าทีลังเลเล็กน้อย

 

 

สีหน้าของมั่วชิงเฉินดำคล้ำ “เหตุใดหรือ หรือจุดดูแลนี้จะมีกฎเกณฑ์เป็นลายลักษณ์อักษรไม่ปล่อยเช่าให้คนอื่น”

 

 

“นี่ย่อมไม่มี” นักบำเพ็ญเพียรผู้ดูแลปาดเหงื่อบนหน้าผาก

 

 

“ในเมื่อไม่มีก็ตกลงตามนี้ หากว่ามีอะไรย่อมต้องไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดูแล” มั่วชิงเฉินพูด

 

 

เรื่องจบเท่านี้นักบำเพ็ญเพียรผู้ดูแลไม่กล่อมอีกต่อไป รีบจัดการขั้นตอนให้มั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า หยิบแผ่นป้ายและเดินออกมา

 

 

‘ถังมู่เฉินเล่า’

 

 

“บนพื้น” อีกาไฟพูดขัดขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินเขม็งมอง พี่ชายคนนั้นกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้นวาดวงกลม

 

 

“น้องข้า เจ้าออกมาแล้ว!” ถังมู่เฉินรีบลุกขึ้นมา สายตาที่มองมั่วชิงเฉินเหมือนมีประกายไฟสว่างออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย พาถังมู่เฉินเดินตรงไปยังแผงหมายเลขแปดสิบเก้า

 

 

ด้านหลังแผงหมายเลขแปดสิบแปดมีผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างค่อนข้างอ้วน สีหน้าแดงชาดนั่งอยู่ ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นจินเป่าเจินเหรินผู้นั้น แผงหมายเลขเก้าสิบที่อยู่อีกด้านกลับเป็นหญิงบำเพ็ญเพียรรูปลักษณ์ยั่วยวนผู้หนึ่ง แผงของนางเป็นเครื่องประดับสวยงามมากมายหลากหลาย แต่ทุกชิ้นนั้นมีแสงพลังวิญญาณแผงปรากฏแย่งสายตา เห็นชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา

 

 

“โอ้ น้องสาวคนนี้หน้าตาสวยงามนัก สนใจซื้อปิ่นหยกไปประดับบ้างหรือไม่” หญิงสาวส่งยิ้มยวนใจ

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า ยิ้มพลางชี้ไปที่แผงข้างๆ จากนั้นก็เดินไปวางขวดหยกจำนวนมากออกมา

 

 

หญิงสาวนิ่งอึ้งไปในทันใด ขณะเดียวกันก็มีสายตาจำนวนไม่น้อยมองมาทางนี้

 

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset