ไม่นานทั้งสี่คนมาถึงปากถ้ำที่จู่ๆ ปลาหมึกยักษ์มุดออกมา ปากถ้ำนั้นมีขนาดเพียงกะละมังล้างหน้าเท่านั้นเอง ตอนนี้มีปลาตัวน้อยสีสันงดงามกลุ่มหนึ่งกำลังแหวกว่ายไปมา
“น่าแปลกจริงเชียว ปากถ้ำเล็กเท่านี้ตอนนั้นปลาหมึกยักษ์มุดออกมาได้อย่างไรกัน” ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจสถานการณ์ หญิงบำเพ็ญพูดออกมาด้วยความงงงวย
สามคนที่เหลือไม่พูดอะไร
หญิงบำเพ็ญทำปากจู๋ ไม่พูดอะไรอีก
“สหายเต๋าทั้งสามโปรดถอยหลังหนึ่งก้าว” เผยสิบสามจ้องเขม็งไปที่ปากถ้ำพลางพูดออกมา
ทั้งสามคนเมื่อได้ยินแล้วจึงทำตาม มือทั้งสองของเผยสิบสามขยับไปมา พันผูกเป็นตราวิญญาณหนึ่งสายยิงออกไปบริเวณด้านซ้ายบนใกล้ปากถ้ำ จากนั้นก็อัดตราวิญญาณอีกสายเข้าไปตรงด้านขวาบน
ตราปวิญญาณกว่ายี่สิบแปดอันถูกอัดเข้าไปทำให้ตราวิญญาณที่มีแต่เดิมหายเข้าไปในผนังเขาไม่มีร่องรอยอะไรกลับส่องแสงประกายจัดจ้า ค่อยๆ รวมตัวจากทั้งสี่มุมเป็นแหวิญญาณหนึ่งปากตรงกลาง
แหวิญญาณปากนั้นประสานจากแสงวิญญาณสีเขียว ขาว แดงและดำสี่สีรวมกัน ปราณวิญญาณเส้นบางพาดผ่านตัดประสามรวมกันทีละเส้นประหนึ่งใยแมงมุม
มือทั้งสองข้างของเผยสิบสามขยับอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นตราวิญญาณทรงแปดเหลี่ยมหนึ่งอัน จากนั้นมือทั้งสองข้างผลักออกไป ปากตะโกนว่า “ทำลาย!”
ตราวิญญาณทรงแปดเหลี่ยมกระแทกเข้าไปกลางแหวิญญาณ แสงวิญญาณสีเขียว ขาว แดง และดำกระจายออกเป็นวงใหญ่สีสันสดใสในทันใด สะท้อนไปทั่วผนังเขาเสมือนเขาแก้ว
เสียงกังวานดังไปทั่ว แหวิญญาณทั้งสี่ด้านสั่นสะท้านสลายกลายเป็นแสงประกายเล็กๆ หายเข้าไปในปากถ้ำดำสนิท จากนั้นแสงสีขาวจ้าลำหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา ปากถ้ำที่แต่เดิมใหญ่เท่ากะละมังล้างหน้าก็กลายเป็นทางกว้างสูงหนึ่งจั้ง กว้างกว่าครึ่งจั้ง ข้างในปากทางเป็นลำแสงเหมือนเสากลมส่องแสงสว่างจนลืมตาไม่ขึ้น
“สหายเต๋าทั้งสามท่านรีบเข้าไปในลำแสงเร็วเข้า” เสียงของเผยสิบสามไม่สูงไม่ต่ำ แต่กลับดังชัดอย่างน่าแปลก ทำให้ทุกคนกลับมามีสติในทันใด
มั่วชิงเฉินทั้งสามคนตามเผยสิบสามเข้าไปในลำแสงสีขาว ไม่ทันถึงสิบลมหายใจก็รู้สึกว่าร่างกายหมุนเคว้งอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้ารางเลือนไม่ชัด รอจนปฏิกิริยาทุกอย่างหมดไปสิ่งที่เห็นในคลองสายตากลับเป็นอุโมงค์สายหนึ่ง
อุโมงค์นี้กว้างขวางอย่างมาก เพดานถ้ำที่อยู่เหนือหัวสูงใหญ่อย่างมาก และที่น่าแปลกกว่านั้นคือข้างบนยังมีไข่มุกหลากหลายสีสันขนาดน้อยใหญ่ฝังอยู่เต็มไปหมด ส่องประกายสีสันสวยงามสะท้อนให้ทั่วทั้งอุโมงค์นี้สว่างเหมือนยามกลางวัน
“ว้าว นี่คือที่ใดกัน” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังมองพิจารณาไปรอบๆ ท่าทีตื่นเต้นยากจะปิด
เผยสิบสามหัวเราะเสียงเบา “นี่น่าจะเป็นภายในยี่สิบแปดค่ายกล”
“ยี่สิบแปดค่ายกลหรือ” ทั้งสามคนเอ่ยถามพร้อมกัน
“อืม เมื่อครู่ข้าน้อยได้สังเกตลวดลายและทิศทางบริเวณรอบข้างปากถ้ำ คาดว่าน่าจะเป็นยี่สิบแปดค่ายกล แต่พอเข้ามาแล้วถึงได้รู้ว่าค่ายกลนี่น่าจะถูกเจ้าของดัดแปลงมาก่อน มีจุดที่ไม่เหมือนกับยี่สิบแปดค่ายกลปกติทั่วไป” เผยสิบสามเอ่ยอธิบาย
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบไร้คำพูด ไม่ต้องพูดว่าถูกดัดแปลง ต่อให้เป็นของดั้งเดิม นางเองก็ไม่เข้าใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหัวเราะเสียงแห้ง “คุณชายเผย ควรทำเช่นไรท่านก็บอกมาเถิด ข้าไม่เคยเข้าใจเรื่องวกวนอ้อมค้อมเช่นนี้ ใช้กำลังแค่นั้นก็พอแล้ว!”
“ใช่แล้ว คุณชายเผย ค่ายกลนี้ควรทำลายอย่างไรหรือ” หญิงบำเพ็ญก้าวขึ้นไปข้างหน้า ลมหายใจหอมประหนึ่งกล้วยไม้
เผยสิบสามก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างไม่กระโตกกระตาก ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มบางๆ ประดับ “การทำลายค่ายกลที่ว่าก็ต้องต้านทานค่ายกลก่อน หลังจากที่ค่ายกลเริ่มทำงานค่อยมาว่ากันเรื่องทำลาย”
หญิงบำเพ็ญไม่เข้าใจอยู่บ้าง “เหตุใดถึงต้องต้านทานค่ายกลเล่า หากเราไม่ต่อต้านก็จะไม่มีอันตรายมิใช่หรือ”
เผยสิบสามหัวเราะเสียงเบา เสียงไพเราะน่าฟังเสมือนบทเพลงที่ดึงดูดคน ทำให้ในสายตาของหญิงบำเพ็ญลุ่มหลงสั่นไหว อดกลั้นไม่ไหวที่จะโถมตัวเข้าหา
มั่วชิงเฉินรอบขมวดคิ้ว คุณชายเผยสิบสามผู้นี้ไม่รู้ว่ามีเสียงที่ดึงดูดใจคนเพราะพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือว่าเคยฝึกวิชาลับบางอย่างมากก่อนถึงทำได้มีเสียงมีที่ทำให้คนหลงเสน่ห์ประทับใจอย่างมาก
ทั้งๆ ที่เขาเพียงเหลือบตามองเฉยๆ แต่กลับทำให้คนจิตใจสั่นไหว ในช่วงที่ดื่มดำลุ่มหลงต่อให้นางใจเย็นปกป้องตนเอง แต่เมื่อครู่ก็เกิดคลื่นสั่นไหวในใจ หากไม่ใช่เพราะเพลิงแก้วใจกระจ่างสะบัดพัดผ่านหัวใจในชั่วพริบตาเกรงว่านางคงเหม่อลอยไปชั่วขณะเช่นเดียวกัน เห็นเช่นนี้คงจะต้องป้องกันเสียหน่อย อย่างไรความคิดระแวงคนก็เป็นสิ่งที่ควรมี
“คุณชายเผย…” หญิงบำเพ็ญเห็นเวลาผ่านไปนานเผยสิบสามก็ยังไม่ตอบ กลับอดทนไม่ไหวที่จะโถมตัวเข้าหา หน้าอกเหมือนจะถูคลึงไปมากับข้อศอกของเผยสิบสาม
เผยสิบสามมีสีหน้านิ่งเฉย ชักแขนออกมาอย่างไม่กระโตกกระตาก
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกับพ่นลมออกมาอย่างทนไม่ไหว ถลึงตามองหญิงบำเพ็ญส่งกระแสจิตไปว่า “หญิงทุเรศ อย่าลืมว่าเจ้าติดค้างข้าอยู่ครั้งหนึ่ง อดรนทนไม่ไหวเช่นนี้ รออีกครู่ข้าจะเติมเต็มเจ้า!”
หญิงบำเพ็ญสีหน้าแดงกล่ำ ชักมือกลับมาอย่างขลาดกลัว เม้มปากก้มหน้าลงในใจแอบคิดว่า ตนเองเป็นอะไรไป ปกติแล้วแม้จะมีบุรุษมาอยู่ใต้ชายกระโปรงไม่น้อย เรื่องระหว่างหญิงชายก็ไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องน้อยใจ และไม่เคยมีท่าทางอดกลั้นไม่ไหวเช่นนี้มาก่อน
คิดถึงเท่านี้ก็เหลือบมองเผยสิบสามครั้งหนึ่ง ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนผู้นี้ว่ามีเสน่ห์เกินไป น่าเสียดายที่เขาจะไปสู่ขอคุณหนูตระกูลซั่งกวน มิเช่นนั้นต่อให้ต้องลดตัวไปเป็นเมียน้อย ตนเองก็ยังยินยอม
‘หากว่า…หากว่าได้มีความสัมพันธ์อันสั้นกับเขาสักคราก็คงไม่เลวกระมัง’
ความลุ่มหลงในสายตาของหญิงบำเพ็ญปรากฏให้เห็น ลอบเหลือบมองเผยสิบสามทีหนึ่ง
สีหน้าเผยสิบสามไม่เปลี่ยนไป แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างจนปัญญา ตั้งแต่เด็กคนข้างกายล้วนบอกว่าเขามีเสียงที่น่าอิจฉา แต่กลับไม่รู้ว่าเขารู้สึกรำคาญมากเพียงใดเพราะเรื่องนี้
เขาส่ายหน้าเบาๆ และพูดว่า “สหายเต๋าทั้งสามโปรดดูเถิด หากไม่ต่อต้านค่ายกล พวกเราจะเดินไปเรื่อยๆ ในอุโมงค์แห่งนี้ ไม่มีที่จบ”
“เช่นนั้นสหายเต๋าเผยว่าพวกเราควรจะต่อต้านค่ายกลอย่างไรหรือ” มั่วชิงเฉินสงสัยว่าเสียงของเผยสิบสามต้องผ่านการฝึกฝนพิเศษมา ในใจเกิดความหวาดระแวง ท่าทีบนใบหน้านิ่งเรียบเฉยมากกว่าเดิม
นิ้วของเผยสิบสามชี้ไปข้างบน “ยี่สิบแปดค่ายกลถูกดูแลจากสัญลักษณ์ทั้งสี่ หากคิดจะต้านทานค่ายกลก็คือกลุ่มดาวที่อยู่เหนือศีรษะ”
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นไป เพราะการเตือนของเผยสิบสามทำให้เพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วไข่มุกนับไม่ถ้วนที่แขวนอยู่บนเพดานถ้ำนั่นไม่ได้ไร้ระเบียบเละเทะ แต่ไม่ต่างอะไรจากดวงดาวบนท้องฟ้านามค่ำคืน
“มังกรเขียวปกปักษ์ทิศตะวันออก เป็นธาตุไม้ สหายเต๋าทั้งสามมีใครถนัดวิชาธาตุไม้หรือมีอาวุธวิเศษธาตุไม้หรือไม่” เผยสิบสามถามขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังไม่ส่งเสียง แม้ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจะมีรากวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่วิธีการดูดซับพลังวิญญาณของพวกเขาไม่ใช่การรวบรวมตันเถียน แต่เป็นการว่ายเวียนกระจายไปทั่วแขนขาเพื่อควบคุมตน หากพูดถึงคาถาห้าประเภทบางอย่างก็ยังแล้วไป หากเป็นคาถาที่สูงขึ้นมาอีกหน่อยเขานั้นไม่เป็นเลยแม้แต่น้อย สำหรับของวิเศษน่ะหรือ ของวิเศษของผู้ฝึกกายอย่างพวกเขาก็คือกำปั้น!
“ข้าเอง” มั่วชิงเฉินก้าวขึ้นไปข้างหน้า
สายตาเผยสิบสามมืดลง “แม่นางมั่ว ขอให้ท่านโจมตีตำแหน่งหัวใจของมังกรเขียว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย ธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นก็วางศรไม้ท้อลงไป เสียงธนูหลุดออกจากสายพุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่เผยสิบสามชี้บนเพดานถ้ำ
ศรไม้ท้อกลายเป็นกิ่งไม้จำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศ ทุกกิ่งล้วนปักเข้าไปบนไข่มุกเม็ดหนึ่งบนเพดานถ้ำ
หัวใจแห่งมังกรเขียวประกายแสงจัดจ้าขึ้นมาในทันใด แสงวิญญาณเหล่านั้นสาดแสงไปทั่วพื้น ทั่วทั้งพสุธาสั่นไหว
ทั้งสี่คนประคองตนมั่นคง ในตอนนี้เองเถาวัลย์ที่มีหนามแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่มุดออกมาจากพื้น ไร้ซึ่งเสียงแต่กลับดุดันโหดร้ายพุ่งมาพันพวกเขาไว้
มั่วชิงเฉินกางแขนทั้งสองข้างลอยตัวขึ้นกลางฟ้า ฝ่ามือซ้ายมีเถาวัลย์จำนวนหลายเส้นเข้าไปเกี่ยวมัดกับเถาวัลย์ที่เข้ามาทำร้าย จากนั้นก็ออกแรงดึง เถาวัลย์ที่เกี่ยวมัดขึงตึงแน่น มือขวามีกริชฟันปลาปรากฏขึ้น สะบัดไปทีหนึ่งตัดเถาวัลย์จนขาด
หนามแหลมใต้เท้าพุ่งขึ้นสูง คิดจะแทงฝ่าเท้ามั่วชิงเฉิน นางพลิกตัวขาทั้งสองข้ายกขึ้นฟ้า มือทั้งสองถือกริชเอาไว้คนละข้าง สะบัดไปมาหั่นทำลายหนามแหลมไม่หยุด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เศษเสี้ยวเล็กน้อยลอยกระจายไปทั่ว
สองมือของผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังก็จับกระชากเถาวัลย์อย่างแรง เถาวัลย์ที่ถูกถอนถึงโคนโดนโยนทิ้งไว้ข้างๆ จากนั้นก็ไปกระชากอีกเส้น แม้แต่กอหนามแหลมเหล่านั้นเขาเองก็ไม่กลัวถูกแทงทะลุ ใช้มือทุบจบเละ
ในมือเผยสิบสามถือกระบี่ยาวที่เกิดจากแสงวิญญาณรวมตัวกัน คมกระบี่ที่สะท้อนออกมานั้นเหมือนกับเคียวคมที่ตัดถอนเถาวัลย์ที่พุ่งขึ้น ความเร็วไม่ได้พ่ายให้กลับมั่วชิงเฉิน
หญิงบำเพ็ญแม้จะมีนิสัยไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก แต่กลับไม่ใช่ตัวถ่วง ตอนนี้ในมือมีถุงปักดิ้นถุงหนึ่ง มืออีกข้างก็คว้าเอาผงสีดำออกจากถุงปักดิ้นไม่หยุดสาดเข้าไปบนเถาวัลย์หนามแหลม เถาวัลย์หนามแหลมเหล่านั้นเหมือนกับเจอคู่ปรับถอยห่างออกไปไม่เข้าใกล้
ทั้งสี่คนแสดงวิชาของตนเอง ไม่นานหนามเถาวัลย์เหล่านั้นก็ถอยห่างออกไปทั่วทิศทางประหนึ่งกระแสน้ำ ทั้งสี่คนถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
แต่ไม่นานผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังก็กระโดดขึ้นมา มองไปรอบด้านพูดครางว่า “นี่คือที่ใด!”
มั่วชิงเฉินตั้งใจมอง ตอนนี้รอบข้างเปลี่ยนทิวทัศน์ไปอีกแล้ว ทั้งสี่คนยืนอยู่บนพื้นหญ้าเขียวขจี ภาพที่ห่างออกไปไกลกลับเป็นหมอกหนามองไม่เห็นปลายทาง
ไออากาศสีชมพูอ่อนบางๆ ลอยมาจากทั้งสี่ด้าน หมอกควันลอยไปมาประหนึ่งโลกเซียน
“สหายเต๋าทั้งสามรีบปิดปากปิดจมูก!” เผยสิบสามตะคอก
แต่ตอนนี้กลับมีเสียงเพลงลอยคลอมาจากหมอกควันบาง
‘น้ำตาสีชาด มืดคล้ำพาลคนเมา เงาเหงาบนหอตะวันออกผอมโทรม จิตใจแตกสลาย ถามถึงคู่เหตุใดถึงไม่กลับ…’
เสียงเพลงที่ดังขึ้นอย่างไร้ที่มาทำให้การกระทำของทั้งสี่คนต้องหยุดลง
ในเสี้ยววินาทีที่เผยสิบสามเอ่ยเตือนมั่วชิงเฉินได้เอาไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาเปลี่ยนร่างกลายเป็นควันสีขาวบังไว้ข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็กลั้นหายใจ แต่ในขณะที่เสียงเพลงดังขึ้นหมอกควันสีชมพูที่ล่องลอยเหล่านั้นก็เหมือนไม่อาจยับยั้งได้ หมอกควันกลุ่มหนึ่งยังพุ่งผ่านการขัดขวางของไหมเกล็ดน้ำแข็งมาถึงบนผิวหนังของนาง
นางรู้สึกปวดหัวในทันใด มั่วชิงเฉินรีบกัดลิ้นเบาๆ เหลือบตามองขึ้นไป กลับไม่เห็นเงาของอีกสามคนแล้ว!
“สหายเต๋าทั้งสาม? สหายเต๋าทั้งสาม?” สิ่งที่ตอบนางมีเพียงเสียงเพลงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าดัง
มั่วชิงเฉินหยุดตะโกนเรียก ส่งกระแสจิตออกไปแต่กลับพบว่ากระแสจิตถูกกระเด้งกลับมา
ที่นี่ยับยั้งกระแสจิตด้วย!
มือข้างหนึ่งถือธนูเขียวซ่อนเร้น อีกมือถือก้อนอิฐ ไหมเกล็ดน้ำแข็งวนรอบข้างกาย มั่วชิงเฉินลองก้าวขึ้นไปข้างหน้า
ใต้เท้ายังคงเป็นสนามหญ้าเขียวขจี ไม่ว่าจะเดินไปนานเท่าไรหมอกควันข้างหน้าก็ยังคงหมุนรอบอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็จับต้องไม่ได้
เวลาชั่วยามหนึ่งผ่านไป มั่วชิงเฉินหยุดการกระทำ เม้มปากครุ่นคิด ยกมือกวัดแกว่งก้อนอิฐโยนตรงไปทางหมอกควันที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
เสียงดังอึกทึกพื้นที่บริเวณนั้นสนั่นหวั่นไหว หมอกควันถูกกระแทกจนกระจายออก ปรากฏต้นไม้ต้นหนึ่งให้เห็น
ต้นไม้นั้นไม่ได้สูงใหญ่ มีขนาดใหญ่เหมือนต้นท้อต้นหนึ่งเท่านั้น ที่ต่างไปก็คือไร้ดอกไร้ใบ กิ่งไม้ร้อยเรียงเกี่ยวพันไร้ซึ่งระเบียบ โปร่งใสแสดงให้เห็นสีสันม่วงหยก อีกทั้งยิ่งลงต่ำสีก็ยิ่งเข้ม เมื่อมาถึงบริเวณรากก็กลายเป็นสีดำม่วงแล้ว
ไม้สะกดวิญญาณ!
ใจมั่วชิงเฉินกระตุก ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ถูก ไม้สะกดวิญญาณควรจะต้องโตในพื้นที่มืดชื้นขั้นสุด เหตุใดถึงอยู่ที่นี่?
เพลิงแก้วใจกระจ่างที่อยู่บนจุดตันเถียนสะบัดพัดผ่าน หัวสมองของมั่วชิงเฉินปลอดโปร่งในทันใด ก้อนอิฐโผล่ขึ้นในมือพุ่งตรงเข้าไปบนไม้สะกดวิญญาณต้นนั้น