พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 380 ถามคู่ยามใดหวน

 “แค่กๆ” ทั้งสี่คนกระแทกตกลงบนพื้น ไอกระอักอย่างรุนแรง   

 

 

ที่น่าเวทนาที่สุดคือหญิงบำเพ็ญผู้นั้น มาถึงภายหลังนางแทบจะไม่มีพลังวิญญาณมาป้องกัน ต่อให้มีร่มคลายร้อนไผ่เหมันต์คอยบังไว้ แต่ไอร้อนของอากาศก็ยังคงเผาเสื้อผ้าของนางอย่างสะอาดหมดจด แม้แต่ปลายผมก็ไหม้ไปกว่าครึ่ง  

 

 

เสียงกรีดร้องแหลมสะท้านพสุธาดังขึ้นทั้งสามคนริมฝีปากกระตุก หันไปพิจารณามองรอบด้านด้วยอาการนิ่งเฉย  

 

 

สถานที่ที่พวกเขาปรากฏตัวยังคงเป็นอุโมงค์เดิม ข้างหน้าคือประตูหิน แต่ตอนนี้ประตูหินถูกเปิดออกแล้ว แสดงภาพภายในอย่างชัดเจน   

 

 

ภายในห้องอัคนีไม่ได้มีสิ่งอื่น สุดปลายทางยังคงเป็นแท่นหยกตัวเดิม แต่ครั้งนี้ของที่อยู่บนแท่นนอกจากสองสิ่งก่อนหน้านี้แล้วยังมีม้วนคัมภีร์หยกหนึ่งม้วนและเจดีย์หลิงหลงเท่าฝ่ามือหนึ่งหลังเพิ่มขึ้น   

 

 

หญิงบำเพ็ญเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ไม่สนใจกลิ่นไหม้ที่ลอยมาจากผม นางรีบร้อนลุกขึ้นทันที  

 

 

บรรยากาศอึมครึมในทันใด   

 

 

ยังคงเป็นเผยสิบสามที่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนคนแรก “สหายเต๋าทั้งสาม พวกเราฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้วค่อยเข้าไปจะดีกว่า”  

 

 

พอเขาพูดออกมา บรรยากาศที่มีความอึมครึมก็เริ่มดีขึ้น  

 

 

ทั้งสี่คนพากันนั่งแยกขัดสมาธิแยกมุม เริ่มฝึกสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ  

 

 

รอจนทุกคนฟื้นฟูกลับมาแล้ว มองสบตากันก่อนจะพยักหน้าและเดินเข้าไปพร้อมกัน  

 

 

มั่วชิงเฉินกุมฝ่ามือหลวมๆ กำระเบิดสะท้านฟ้าไว้ในมือ จิตใจทำร้ายคนไม่อาจมี จิตใจป้องกันตนไม่อาจขาดไม่ว่าจะเป็นเผยสิบสาม ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง หรือหญิงบำเพ็ญก็ตามนางจำต้องป้องกันไว้ก่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกลายเป็นสหายร่วมศึก  

 

 

มั่วชิงเฉินลอบถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง ตามทั้งสามคนเข้าห้องอัคนีไปพร้อมกัน รอจนห่างจากแท่นยกไม่ถึงครึ่งตั้งจู่ๆ เผยสิบสามก็หยุดและหมุนตัวกลับมา   

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญล้วนตกใจอย่างมาก ในสายตาปรากฏแววหวาดระแวง   

 

 

เผยสิบสามหัวเราะ เสียงหัวเราะเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านใบหน้า ปัดกวาดความรู้สึกหนักหน่วงของทั้งสองคน   

 

 

 “สหายเต๋าทั้งสาม ด่านสุดท้ายเมื่อครู่นี้เป็นเพราะของวิเศษของแม่นางมั่วถึงผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ข้าน้อยขอเสนอให้แม่นางมั่วเลือกก่อนจะว่าอย่างไร”  

 

 

ของวิเศษสี่ชิ้นที่วางอยู่บนแท่นหยกถูกทั้งสี่คนปล่อยกระแสจิตสำรวจหมดแล้วตั้งแต่แรก ตอนนี้เมื่อได้ยินข้อเสนอของเผยสิบสามผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพยักหน้าเห็นด้วยในทันใด เขาถูกไฟไหม้มือโชคดีที่มั่วชิงเฉินช่วยเหลือ แต่หญิงบำเพ็ญผู้นั้นกลับแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเผยสิบสามและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังล้วนเห็นด้วยก็ทำได้แค่กัดริมฝีปาก สายตามมืดมนมองมั่วชิงเฉิน  

 

 

ริมฝีปากมั่วชิงเฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ สายตาทอดมองของทั้งสี่ชิ้นวนไปมา   

 

 

ม้วนคัมภีร์หยกสีทองอ่อนฉบับนั้นมีนามว่าเคล็ดกระบี่คมคณา เมื่อใช้กระแสจิตสืบเสาะดูสามารถมองเห็นบทนำ ภายในบทนำแนะนำไว้ว่านี่เป็นเคล็ดกระบี่เล่มหนึ่ง เมื่อบำเพ็ญตบะจนถึงระดับหนึ่งแล้วกระบี่ในมือสามารถแสดงคมกระบี่หมื่นสายออกมาใช้กำจัดศัตรูเป็นกลุ่ม หากว่าสามารถบรรลุไอกระบี่ที่แฝงอยู่พลังอำนาจย่อมไม่อาจประเมินค่าได้  

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินเหลือบไปมองกล่องทรงกลมลวดลายคดเคี้ยวที่เหมือนจะเป็นหยกก็ไม่ใช่เป็นโลหะก็ไม่เชิง กระแสจิตเพิ่งจะสัมผัสโดนฝากล่องก็มีคำสามคำลอยออกมา ‘ชาดระเริง’  

 

 

ที่แท้กล่องทรงกลมนี่ก็เป็นชาดกล่องหนึ่ง  

 

 

ใช้ชาดเป็นของวิเศษถือว่าแปลกใหม่นัก ไม่รู้ว่าชาดที่อยู่ภายในจะถูกใช้จนหมด หรือว่ามีทดแทนไม่มีที่สิ้นสุด  

 

 

พอมาคิดดูแล้วกลุ่มหมอกควันสีชมพูอ่อนที่เจอในด่านแรกก็น่าจะเป็นพลังของ ‘ชาดระเริง’ นี่เป็นแน่ มีความสามารถแปลงภาพมายาทำให้คนลุ่มหลง  

 

 

มั่วชิงเฉินหันไปมองเจดีย์หลิงหลงต่อไป เจดีย์หลิงหลงขนาดเท่าฝ่ามือส่องแสงสีทองแดงสว่างไสวดูแล้วสวยงามเหนือธรรมชาติ แต่ชื่อของมันกลับน่ากลับนัก ‘ไฟโลกันต์เก้าชั้น’  

 

 

  แค่สี่คำนี้มั่วชิงเฉินพลันหวนคิดถึงภาพที่ทั้งสี่คนติดกับเมื่อครู่นี้ คิดว่าคงจะเป็นภายในเจดีย์หลิงหลงนี้เป็นแน่  

 

 

  นางหันไปมองของชิ้นสุดท้าย นั่นคือม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวน้ำทะเลฉบับหนึ่ง ชื่อก็เป็นปกติ ‘วิชาน้ำพลิ้วตามกายา’  

 

 

  มั่วชิงเฉินตาเป็นประกาย นี่มันคือวิชาลับเล่มหนึ่ง  

 

 

  วิชาน้ำพลิ้วตามกายานี้คือการรวมกันระหว่างร่างกายและการฝึกกายา ทั้งหมดมีเจ็ดขั้น ทุกครั้งที่เลื่อนหนึ่งขั้นร่างกายจะยิ่งอ่อนพลิ้ว สามารถใช้การขยับร่างกายเพียงนิดในการหลบหลีกการโจมตีของศัตรู หากเป็นการจู่โจมก็สามารถเปลี่ยนไปตามกระบวนท่าของศัตรูได้ เปลี่ยนทิศไปตามการไหลเวียนของอากาศที่เกิดจากการขยับตัว เสมือนเงาตามตัว!  

 

 

  ระหว่างที่กรอกสายตามองไปมามั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้วว่าเลือกม้วนคัมภีร์หยกนี้ นางส่งยิ้มให้ทั้งสามคน “ขอบคุณสหายเต๋าทั้งสามที่หลีกทาง ข้าน้อยจะปฏิเสธหรือก็เป็นการแสดงความไม่เคารพ”  

 

 

  พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวน้ำทะเลบนแท่นหยกขยับขึ้นเองโดยไร้ลมค่อยๆ ลอยเข้ามาบนมือมั่วชิงเฉิน  

 

 

  เมื่อเห็นว่ามั่วชิงเฉินเลือกม้วนคัมภีร์หยกสีเขียวน้ำทะเล หญิงบำเพ็ญสบายใจอย่างเห็นได้ชัด สายตานั้นจ้องเขม็งไปที่ชาดกล่องนั้น  

 

 

  เผยสิบสามเป็นคนอ่านคนออก เขาหัวเราะเสียงเบาพูดขึ้นทันที “ในเมื่อแม่นางมั่วเลือกเสร็จแล้ว ก็เชิญแม่นางเลือกเถิด”  

 

 

  หญิงบำเพ็ญแสดงสีหน้ายินดี ยักคิ้วหลิ่วตาแสดงความรู้สึกไปยังเผยสิบสาม นางขยับนิ้วกล่องชาดนั้นลอยเข้ามาหาตนช้าๆ ด้วยแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มตามที่คาดไว้  

 

 

  มั่วชิงเฉินลอบหัวเราะ คุณชายเผยผู้นี้ช่างทำบุญคุณให้อย่างไม่เสียแรงเก่งนัก ของทั้งสี่อย่างบนแท่นหยกเกรงว่าเขาคงคิดได้ตั้งนานแล้วว่าหญิงบำเพ็ญจะเลือกเช่นไร  

 

 

  หากตนเองเดาไม่ผิด สิ่งที่เผยสิบสามถูกใจคงเป็นเคล็ดกระบี่คมคณาเล่มนั้น  

 

 

  หลังจากนั้นเผยสิบสามและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังต่างเลือกของคนละอย่าง เผยสิบสามเลือกเคล็ดกระบี่คมคณาตามคาด ส่วนผู้ฝึกกายเลือกเจดีย์หลิงหลง  

 

 

  ทั้งสี่คนได้ของตามต้องการ ใบหนน้าล้วนแสดงสีหน้ายินดี การเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ถือว่าไม่สูญเปล่า  

 

 

  กวาดตามองรอบห้องอัคนีอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรแล้วทั้งสี่คนจึงได้ก้าวเดินไปทางประตูหิน  

 

 

  แต่เมื่อทั้งสี่คนเดินเข้าไปใกล้ประตูหิน ประตูหินที่เลื่อนจากล่างขึ้นบนร่วงลงมาในทันใด ส่งเสียงอึกทึกกึกก้อง  

 

 

  ทั้งสี่คนหันหลังชนกันในทันใด ท่าทีหวาดระแวงมองไปรอบด้าน  

 

 

  เสียงถอนหายใจเบาแกมเศร้าดังขึ้น จากนั้นเสียงเพลงประหนึ่งร้องไห้โอดครวญก็ดังมาให้ได้ยิน  

 

 

  ‘น้ำตาสีชาด มืดคล้ำพาลคนเมา เงาเหงาบนหอตะวันออกผอมโทรม จิตใจแตกสลาย ถามถึงคู่เหตุใดถึงไม่กลับ…’  

 

 

  เสียงเพลงยิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ วนเวียนอยู่ข้างหูทุกคนอย่างหนีไม่พ้น ในตอนที่สติของทั้งสี่คนตึงเครียดร่างเงาสีเขียวอ่อนร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางห้องอัคคี  

 

 

  สตรีผู้นั้นรูปลักษณ์ดุจภาพวาด รูปร่างผอมบางเหมือนกับต้นหลิวบางอ่อนแอสีอ่อน ยามลมเย็นพัดผ่านก็ลอยไปตามลม  

 

 

  “พวกเจ้ามาแล้ว…” สตรีผู้นั้นถอนหายใจเสียงเบา  

 

 

  มั่วชิงเฉินรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา เม้มริมฝีปากแน่นดูว่าสตรีผู้นี้จะทำอะไรต่อ จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาสตรีเบื้องหน้าน่าจะเป็นกระแสจิตกลุ่มหนึ่ง  

 

 

  ที่เหลืออีกสามคนเห็นชัดว่าคิดเช่นเดียวกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งนั้น  

 

 

  ดวงตาสุกสกาวของหญิงสาวกวาดมองทั้งสี่คนทีหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นแขนเสื้อสีเขียวอ่อนสะบัดขึ้นมั่วชิงเฉินรู้สึกว่ามีพลังไร้รูปร่างกระแสหนึ่งพัดเข้ามาคิดจะดึงนางเข้าไปข้างกายหญิงสาวผู้นั้น  

 

 

  หากหญิงสาวผู้นี้เป็นเพียงกระแสจิตกลุ่มหนึ่งวิธีการในตอนนี้ยังคงส่งผลต่อกระแสจิตเป็นหลัก ยังดีที่หลังจากมั่วชิงเฉินฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตามีกระแสจิตที่แข็งแกร่งและยึดมั่นมากยิ่งขึ้น สำหรับตอนนี้ยังพอมีแรงสู้กลับ  

 

 

  นางดึงกระแสจิตออกมากระแทกไปทางแรงดึงที่ไร้รูปร่าง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าแรงดึงไร้รูปร่างนั้นถอยกลับไปประหนึ่งงูน้ำตามที่คิดไว้  

 

 

  แต่ในตอนนี้กลับได้ยินเสียงหญิงบำเพ็ญส่งเสียงกระอัก ร่างกายลอยขึ้นกลางอากาศไปตกอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้นั้น  

 

 

  สีหน้าบนใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่สนใจหญิงบำเพ็ญที่อยู่ปลายเท้าแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องเขม็งมาทางมั่วชิงเฉิน  

 

 

  ผ่านไปนานถึงได้พูดออกมาสองสามคำ “ช่างเป็นเด็กสาวที่งดงามยิ่งนัก”  

 

 

  “ท่านอาวุโสเอ่ยชมเกินไปแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดเรียบๆ คนผู้นี้แม้จะเป็นเพียงกระแสจิตกลุ่มหนึ่ง แต่ตอนนี้ตนอยู่ในพื้นที่ของคนอื่นไม่อาจมองต่ำศัตรูได้ โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้เห็นชัดว่านางคิดจะดึงตนเองไปหา  

 

 

  ที่น่าแปลกก็คือเผยสิบสามและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังเหมือนจะไม่ถูกสนใจเป็นพิเศษ  

 

 

  หญิงสาวแววตาเป็นประกายร้อนแรง กวาดตาพิจารณามองใบหน้าของมั่วชิงเฉิน จู่ๆ ก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้งหนึ่งตะเกียงน้ำมันสีหยกดวงหนึ่งปรากฏกลางมือเรียว  

 

 

  “เจ้าเด็กน้อย เจ้ามานี่”  

 

 

  มั่วชิงเฉินไม่ขยับ พูดเสียงชัดเจน “ท่านอาวุโสมีกิจอันใดก็เชิญพูดเถิด”  

 

 

  หญิงสาวขมวดคิ้ว ชำเลืยงมองมั่วชิงเฉินด้วยความอ่อนโยน ขนตากระพริบเป็นประกายทันใดนั้นมีน้ำตาไหลออกมาสองข้าง  

 

 

  “แม่นางมั่ว ไม่เช่นนั้นเจ้าเดินเข้าไปดูเถิด” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจิตใจร้อนรุ่ม เอ่ยเสียงกล่อม  

 

 

  มั่วชิงเฉินลอบกรอกตา แต่กลับยึดมั่นในความตั้งใจเดิมไม่ขยับไปไหน  

 

 

  ตอนนี้มีแขกทั้งหมดสี่คน หญิงสาวที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศผู้นี้กลับชื่นชมตนเองผู้เดียว ใครจะไปรู้ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่  

 

 

  หญิงสาวถอนหายใจเสียงเบาอีกครั้ง นั่งลงไปช้าๆ “เอาเถิด ไม่บังคับขืนใจเจ้า เจ้าเด็กน้อย ข้ามีหนึ่งเรื่องจะรบกวนเจ้า หากว่าทำสำเร็จข้าจะมอบไฟสะท้อนหทัยดวงนี้ให้เจ้าเป็นของตอบแทนน้ำใจ”  

 

 

  เมื่อคำพูดนี้ดันออกมาท่าทีของทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปในทันใด  

 

 

  โดยเฉพาะหญิงบำเพ็ญ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านอาวุโส เหตุใดถึงเป็นนาง”  

 

 

  เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าหญิงบำเพ็ญผู้นี้พูดมีสาระ  ใช่แล้ว เหตุใดต้องเป็นนาง  

 

 

  “เพราะนางเป็นสตรี” หญิงสาวยิ้ม แต่กลับมีท่าทีโศกเศร้า  

 

 

  เผยสิบสามเลิกคิ้ว  มิน่าเล่าตั้งแต่แรกเริ่มหญิงสาวผู้นี้ไม่มองเขาและผู้ฝึกกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว  

 

 

  หญิงบำเพ็ญกลับไม่พอใจ “ท่านอาวุโส ข้าเองก็เป็นสตรี…”  

 

 

  “เจ้าไม่ได้มีความสามารถสูงเหมือนนาง และไม่ได้สวยเหมือนนาง” หญิงสาวตอบออกมาอย่างไม่ลังเล  

 

 

  หญิงบำเพ็ญริมฝีปากกระตุก แทบจะกระอักเป็นเลือดออกมา  

 

 

  มั่วชิงเฉินเองก็ไร้คำพูด ท่านอาวุโสผู้นี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ประโยคสุดท้ายที่นางพูดเพื่อโจมตีคนโดยเฉพาะกระมัง  

 

 

  แต่กลับได้หญิงเสียงหญิงผู้นั้นถอนหายใจ สายตาเหมือนมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่า “ข้าอยากจะวานเจ้าให้ไปหลิวโจวเพื่อหาสตรีผู้หนึ่ง ช่วยถามประโยคหนึ่งแทนข้า”  

 

 

  พูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็หยุดลง ริมฝีปากสั่นน้อยๆ กว่าจะพูดออกมาดูลำบากอย่างมาก “เจ้าช่วยถามนางแทนข้าว่าเอาสามีข้าคืนกลับมาได้หรือไม่!”  

 

 

  มั่วชิงเฉินรู้สึกคาดคิดไม่ถึง นี่ถือเป็นเรื่องไหว้วานประเภทใดกัน เมื่อเอ่ยปากก็แฝงการปฏิเสธเอาไว้ “ผู้อาวุโส คำพูดเช่นนี้หากคนอื่นไถ่ถามอาจไม่เหมาะสม อีกอย่างข้าน้อยก็ไม่เคยไปหลิวโจวมาก่อน”  

 

 

  ‘ล้อเล่นหรืออย่างไร สตรีทั่วไปหากได้ยินคนถามคำถามเช่นนี้คงจะแตกหักกันไปข้างอย่างแน่นอน หากว่าไปเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่แน่ว่าตนเองอาจโดนตบจนตายไปก็ได้’  

 

 

  หญิงสาวมีท่าทีมืดมน นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ทั้งร่างตกอยู่ในบรรยากาศเงียบเหงาเดียวดาย “ช่างเถิด คำพูดเช่นนี้จะให้เจ้าไปถามก็กระไรอยู่ เช่นนี้แล้วกันกระแสจิตของข้าจะแฝงอยู่ในไฟสะท้อนหทัย เจ้าพาข้าไปหลิวโจว ขอเพียงหานางพบข้าจะถามนางด้วยตนเอง นางเองก็เป็นสตรีมีเกียรติ ไม่พาลโกรธเจ้าเป็นแน่”  

 

 

  เรื่องยุ่งยากเช่นนี้มั่วชิงเฉินไม่คิดอยากยุ่ง อีกอย่างของวิเศษที่นางมีก็ไม่น้อยจึงเอ่ยพูดว่า “ท่านอาวุโส ตอนนี้ข้าน้อยไม่มีแผนการไปหลิวโจว ไม่สู้ว่าท่านถามอีกสามคนดีหรือไม่”  

 

 

  หญิงสาวเหมือนจะเริ่มโมโห “หากพวกเขาทำได้เหตุใดข้าต้องมาหาเจ้า! เหอๆ พวกเจ้าเห็นข้าเป็นกระแสจิตกลุ่มหนึ่งแล้วจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้เช่นนั้นหรือ”  

 

 

  พูดถึงตรงนี้ไฟสะท้อนหทัยในมือก็สว่างวาบ ทันใดนั้นแสงสีเขียวหยกร้อนแรงลูกใหญ่ล้อมรอบทั้งสี่คนเอาไว้ ทั้งสี่คนต้องพบเรื่องน่าตกใจว่าพลังวิญญาณของพวกเขาไม่อาจขับเคลื่อนได้  

 

 

  “เป็นเช่นไร” เสียงของหญิงสาวเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงความอันตรายเอาไว้  

 

 

  มั่วชิงเฉินถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นขอให้ท่านอาวุโสพูดเรื่องคนที่ต้องการหาอย่างละเอียดด้วยเถิด”  

 

 

  หญิงสาวถึงได้เผยรอยยิ้ม แต่ต่อมาความเศร้าก็ปรากฏขึ้นในดวงตา เปิดปากเอ่ยเสียงเบา “ชื่อของนางคือมั่วถง…”  

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset