“แม่นางมั่ว?” เฉิงหรูยวนหันกลับมา มองไปยังมั่วชิงเฉินพลางพึมพำออกมา
มั่วชิงเฉินพูดออกมานิ่งๆ “ใช่แล้ว ข้าสกุลมั่ว”
นางไม่เคยพูดเองเลยสักครั้งว่าตนสกุลถัง
ถังมู่เฉินยื่นมืออกมาวางไว้บนไหล่มั่วชิงเฉิน “เหอะๆ ที่จริงแล้วเสี่ยวมั่วเป็นญาติผู้น้องของข้า”
‘เสี่ยวมั่ว?’ มั่วชิงเฉินหน้าดำคล้ำ
เฉิงหรูยวนพลันแล่นความคิด ตระกูลบำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในดินแดนทั้งสิบมีสกุลมั่วเช่นนั้นหรือ
เขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก สีหน้าเปลี่ยนไป สายตาที่หันไปมองมั่วชิงเฉินอีกครั้งแฝงความสืบเสาะเอาไว้
“ทำลับๆ ล่อๆ!” เสิ่นฉงเหวินเหมือนจะโมโหเป็นอย่างมาก กัดฟันพูดออกมา
มั่วชิงเฉินทนความไร้ซึ่งเหตุผลของเขามามากพอแล้ว กรอกตาและพูดขึ้นว่า “ข้าพอใจ เกี่ยวกับท่านอย่างไรหรือ”
“เจ้า!” เสิ่นฉงเหวินกำหมัดแน่น ไม่รู้ว่าเหตุใดพอได้ยินประโยคโต้กลับของแล้วถึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่สุดท้ายก็ลอบด่าออกมาทีหนึ่ง ใช่แล้ว นางจะสกุลอะไรก็เรื่องของนาง เกี่ยวกับตัวข้าเสียทีไหนกัน!
เผยสิบสามจ้องมองการกระทำของเสิ่นฉงเหวินและมั่วชิงเฉินทั้งสองคนเอาไว้ในสายตาอย่างเงียบๆ ยิ้มพลางพูดว่า “แม่นางมั่ว ไม่เจอกันนานเป็นอย่างไรบ้าง ท่านรับคำเชิญของพี่เฉิงจริงด้วย”
พูดถึงตรงนี้ก็หันไปทางเฉิงหรูยวนอย่างเป็นธรรมชาติ “พี่เฉิงช่างสายตาแหลมคมนัก มักนำข้าน้อยไปก่อนก้าวหนึ่งเสมอ”
เฉิงหรูยวนมองมั่วชิงเฉิน พลางมองเผยสิบสาม ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน จึงเอ่ยพูดเป็นเชิงไถ่ถาม “พี่เผยหมายความว่าอย่างไรกัน ท่านและแม่นางถัง…เอ่อ แม่นางมั่วเคยพบกันอย่างนั้นหรือ”
เผยสิบสามเหลือบมองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ พูดว่า “ข้าน้อยโชคดีตอนที่อยู่น่านน้ำโกลาหลได้พบกับแม่นางมั่วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีความตั้งใจเชิญแม่นางมั่วให้มาช่วยเหลือ แต่ถูกนางปฏิเสธ”
เฉิงหรูยวนได้ยินเช่นนั้นสายตาที่มองมั่วชิงเฉินก็แลแฝงความอบอุ่นเอาไว้หลายส่วน
มั่วชิงเฉินคิดในใจว่าเผยสิบสามช่างอยู่เป็นนัก ประโยคนี้ทำให้นางและเฉิงหรูยวนรู้สึกดี พลางมองไปที่ด้านหลังของเผยสิบสาม ท่ามกลางคนห้าคนมีหนึ่งคนที่นางรู้จัก รูปร่างกำยำไหล่ใหญ่เอวหนาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่พบบนน่านน้ำโกลาหลแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
แม้ทั้งสองฝ่ายจะรู้จักกันดี แต่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับรักษาระยะห่างทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ หลังจากพูดทักทายกันสองสามประโยคเฉิงหรูยวนและเผยสิบสามก็นำกลุ่มของตนเองเดินจากไป แยกไปยังวงแหวนสีเขียวสองวง
แต่ในตอนนี้เองวงแหวนสีเขียวหลายวงที่อยู่ใกล้เคียงจู่ๆ เกิดส่องสองประกายแล้วเริ่มขยับเข้าหากันท่ามกลางสายตาของทุกคน ในชั่วพริบตาเดียววงแหวนสีเขียวหลายวงก็รวมกันจนเป็นหนึ่ง แสงสีเขียวยิ่งสดใสมากยิ่งขึ้น
ทุกคนล้วนตกตะลึงเพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ มองไปตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน
เห็นว่าแสงสว่างสีเขียวค่อยๆ หายไป ผ่านไปนานก็ปรากกฎวงแหวนสีดำเทาขึ้นมาอันหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเป็นวงแหวนสีดำเทาเฉิงหรูหยวนและเผยสิบสามสบตากันทีหนึ่ง สีหน้าซีดเผือดในฉับพลัน
ไม่รอให้คนอื่นพูดอะไรทั้งสองคนตะคอกออกมาพร้อมกัน “รีบเข้าไป!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนรีบพุ่งเข้าไปในวงแหวนสีดำอย่างบ้าคลั่งคนที่เหลือย่อมไม่คิดเยอะรีบวิ่งตามเข้าไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีกลับเห็นว่ารอบข้างมืดหมอง ความรู้สึกนิ่งสงัดเกิดขึ้นสะบัดทิ้งไม่ออก
“คุณชายเฉิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น” แม่นางจอมพิษตกใจหน้าผิดสี แม้นางจะเก่งกาจการใช้พิษ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่เพียงระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น ท่ามกลางความสามารถของผู้อื่นถือว่าอ่อนแอที่สุด สถานการณ์ตอนนี้เห็นชัดว่าไม่ดี ยากที่จะไม่ให้นางรู้สึกไม่กังล
ไม่รอให้เฉิงหรูยวนตอบ แม่นางจอมพิษกลับกรีดร้องออกมาทีหนึ่ง นิ้วมือชี้ไปข้างหลังสั่นๆ “พวกเจ้ารีบดู!”
ทุกคนทอดสายตามองไปเห็นว่าวงแหวนสีดำที่เคลื่อนย้ายพวกเขามานั้นยิ่งหดตัวเล็กลงเรื่อยๆ ไม่นานก็เล็กลงจนมีขนาดเท่าปลายเข็ม เสียงสะเก็ดไฟสีฟ้าดังขึ้นทีหนึ่งแล้วหายทุกอย่างก็หายไป
“นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร” เฉิงหรูยวนพูดเสียงเบา สายตาจ้องเขม็งไปยังพื้นที่ว่างเปล่า
เผยสิบสามเม้มริมฝีปากแน่น มองไปยังที่เดียวกันไม่พูดจา
“ไอ้หยา ข้าว่าจะคุณชายเฉิง คุณชายเผย พวกท่านสองคนต้องพูดอะไรสักอย่างแล้ว นิ่งเงียบไม่พูดเช่นนี้ยิ่งทำให้พวกข้าร้อนรนไม่ใช่หรือไร!” แม่นางจอมพิษกระทืบเท้า
มั่วชิงเฉินรู้แก่ใจว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ได้ยินเช่นนี้ริมฝีปากกลับอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น แม่นางจอมพิษผู้นี้ปกติแล้วแม้จะดูอ่อนหวาน มักจะหว่านเสน่ห์ออกมาทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่กลับไม่ได้เป็นประเภทซื่อบื้อ ในทางกลับกันยังหัวไวมากนัก หากว่าจิตใจบริสุทธิ์เสียหน่อยก็คุ้มค่าแก่การผูกสัมพันธ์
เผยสิบสามถอนหายใจ “ให้ข้าพูดก็แล้วกัน สถานที่ที่พวกเราอยู่ในตอนนี้เกรงว่าคงจะเป็นเขตเดนตายในตำนาน!”
“เขตเดนตาย?” หลายคนร้องออกมาพร้อมกัน ท่าทีไม่น่ามองเท่าไรนัก
เมื่อได้ยินชื่อเขตเดนตายนี้ หัวใจก็เหมือนถูกกดทับด้วยน้ำหนักกว่าร้อยกิโล หนักอึ้งจนหายใจไม่ออก
เฉิงหรูยวนเงยหน้าขึ้นในทันใด “พี่เผย ท่านคิดว่าที่นี่คือเขตเดนตายอย่างนั้นหรือ”
เผยสิบสามถอนหายใจออกมาเบาๆ “หรือพี่เฉิงไม่คิดเช่นนี้เล่า”
สีหน้าเฉิงหรูยวนหมองคล้ำ กัดริมฝีปากแน่นไม่ส่งเสียง
มองดูสีหน้าหวาดกลัวแต่มีความเสาะหาแฝงอยู่ของทุกคนเผยสิบสามพูดขึ้นช้าๆ “เขตไร้จนแห่งนี้แต่เดิมมีพื้นที่มากมายนับไม่ถ้วน แต่เขตพื้นที่เหล่านี้กลับไม่ได้คงอยู่ตลอดกาล ในทางกลับกันพวกมันจะผลัดเปลี่ยนไปตามการเวลา บอกไม่ได้ว่าจะล่มสลายลงเมื่อไร” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เขตพื้นที่ที่เราอยู่ตอนนี้ล่มสลายลงพอดี หากเขตพื้นที่ล่มสลายเมื่อใดม่านพลังส่งถ่ายทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่จะรวมกันเป็นหนึ่งกลายเป็นม่านพลังส่งถ่ายสีดำต่อตรงมายังเขตเดนตาย และคนที่อยู่ในเขตพื้นที่นั้นถ้าไม่ใช่แตกสลายพัดหายไปกับควันพร้อมกับเขตพื้นที่ ก็จะต้องเข้ามาในเขตเดนตาย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พวกเราอยู่ในตอนนี้!”
สีหน้าของทุกคนยิ่งดูแย่มากขึ้น บรรยากาศเหมือนจะแข็งค้าง ได้ยินเฉิงหรูยวนพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “แต่ว่าพื้นที่ลับแห่งนี้ดำรงอยู่มานาน ถูกตระกูลใหญ่ครอบครองไว้มานานกว่าพันปี จนถึงตอนนี้มีเพียงแต่ในบันทึกที่กล่าวไว้ว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบังเอิญพบเขตเดนตาย ผู้อาวุโสท่านนั้นความสามารถน่าทึ่ง หนีตายเอาชีวิตรอดมาจากเขตเดนตายได้ ถึงได้มีบันทึกเกี่ยวกับเขตเดนตายทิ้งไว้ สำหรับวิธีการหนีกลับไม่ได้กล่าวเอาไว้แม้แต่ตัวเดียว หลังจากนั้นมาผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่มีเบาะแสอีกเลย”
ยากจะบังเอิญพบในรอบพันปี? มั่วชิงเฉินหน้าตาดำคล้ำในทันใด ลอบแอบมองถังมู่เฉินทีหนึ่ง
พอดีกับที่ถังมู่เฉินส่งสายตามีเลศนัยมองมา เมื่อประสบเข้ากับสายตาของนางก็รีบก้มหน้าลงอย่างกินปูนร้อนท้อง
“สหายเต๋าเชียนหาน!” มั่วชิงเฉินพูดทีละคำ กัดฟันส่งกระแสจิตไป
นางบอกแล้วอย่างไรเล่ามีถังมู่เฉินอยู่หลายวันมานี้แม้จะดูราบลื่น แต่นี่มันผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด วุ่นวายอยู่นานที่แท้ก็มีเรื่องน่าประหลาดใจรออยู่นี่เอง
ถังมู่เฉินเองรู้สึกน้อยใจอยู่เล็กน้อย “เสี่ยวมั่ว เจ้าอย่าโกรธไปเลย ข้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลอาบน้ำ พี่ชาย ท่านยังจะต้องทำอะไรอีกหรือ แค่เพียงท่านนั่งอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว
เห็นมั่วชิงเฉินหน้าบูดบึ้ง ถังมู่เฉินกัดฟัน เอ่ยปลอบว่า “เสี่ยวมั่ว อย่ากังวลใจ พี่ชายพบเจอเภทภัยอันตรายทั้งหลายมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยตายเลยสักครั้ง!”
มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป หลุดเสียงหัวเราะออกมา
คนผู้นี้ช่างเป็นคนตลกเสียจริง หากว่าตายไปจริงๆ ยังจะมาสร้างเรื่องอยู่ตรงนี้ได้หรือไร
แต่เสียงหัวเราะของนางทำให้ถังมู่เฉินเข้าใจผิด รีบพูดเพิ่มเติมว่า “อ่า ใช่แล้ว ที่จริงข้าเคยตายมาแล้วครึ่งครั้ง…” พูดถึงตรงนี้ก็เหมือนถูกคนบีบคอเอาไว้ หยุดในทันใด
คนอื่นได้ยินเสียงหัวเราะของมั่วชิงเฉิน และเห็นถังมู่เฉินมีสีหน้าร้อนรน เหงื่อเย็นไหลลงมา ไม่รู้ว่าพี่น้องสองคนนี้กำลังสนทนาส่วนตัวอะไรกัน
ในเวลาสำคัญเช่นนี้การกระทำที่ผิดปกติของพวกเขาดึงดูดสายตาของทุกกคนในทันที
มั่วชิงเฉินมองท่าทีของถังมู่เฉิน คิดไปถึงคำพูดที่เพิ่งออกจากปากเขาแล้วหยุดไปกลางคัน ในใจเกิดรู้สึกผิดปกติขึ้นมา อะไรที่เรียกว่าตายไปแล้วครึ่งครั้ง ?
แต่รู้สึกได้ถึงสายตาสืบเสาะของทุกคน ไม่ได้มีเวลาครุ่นคิดอะไรมาก รีบปรับสีหน้าหันไปยิ้มลุแก่โทษให้ทุกคน แต่ไม่ได้อธิบายว่าเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้เพราะเหตุใด
“เช่น…เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไร” เสียงหัวเราะของมั่วชิงเฉินกลับเป็นการทำลายบรรยากาศตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนหายใจไม่ออกไปโดยไม่รู้ตัว แม่นางจอมพิษฝืนให้ตนเองสงบลง เอ่ยเสียงสั่น
คนอื่นเองก็หันไปมองพวกเฉิงหรูยวน
ช่วงเวลาหลายวันมานี้ที่วนเวียนไปมาตามเขตพื้นที่ต่างๆ ชัยชนะทุกครั้งที่ได้มาทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าเรื่องการค้นหาดอกสำลีตกสวรรค์เป็นเรื่องที่สามารถสำเร็จภายในเร็ววัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มอื่นก็ยิ่งมีความมั่นใจเต็มร้อย แต่ใครจะรู้ว่าต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนี้
พวกเขาบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากมาจนถึงระดับก่อแก่นปราณ คิดไม่ถึงว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
ริมฝีปากของเฉิงหรูยวนเม้มเข้าหากันแน่นจนกลายเป็นเส้นเดียว แอ่นอกหลังตรงยืนขึ้นมา ในสายตาประกายความโอหัง “กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเราไปสืบหากันเถิด”
เขาเชื่อว่าสวรรค์ย่อมหาทางออกให้กับคนสิ้นหวัง ผู้อาวุโสในตอนนั้นสามารถหนีออกไปได้ แล้วเหตุใดพวกเขาจะทำไม่ได้!
ท่าทางมุ่งมั่นของเฉิงหรูยวนทำให้อารมณ์ของทุกคนผ่อนคลายลง พวกเขาล้วนเป็นคนจิตใจหนักแน่นมั่นคง อารมณ์หวาดกลัวสงบลงโดยเร็ว เริ่มแยกย้ายกันออกไปสืบเสาะสถานการณ์
มั่วชิงเฉินเลือกทิศหนึ่งตามใจชอบ ทอดมองออกไปไกลก็เป็นที่ดำคล้ำหมองหมัว ระยะสายตาถูกจำกัดอยู่ในระยะสามจั้งเท่านั้น
เดินตรงไปข้างหน้าเช่นนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไร จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความดำมืดข้างหน้าที่ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่เลยกว่าหนึ่งจั้งเริ่มมองไม่เห็น
ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นแผ่นหมอกเบาบางวนเวียนอยู่ข้างกาย ธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้นในมืออยู่เงียบๆ
พลั่ก
จู่ๆ ก็มีเสียงเบาๆ ลอยมา
มั่วชิงเฉินขนลุกชัน พยายามเบิกตาโตพิจารณารอบข้างแต่กับเสียแรงเปล่า นางมองไม่เห็น ระยะห่างเพียงแค่หนึ่งจั้งนางมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น!
พลั่ก
เสียงนี้ทั้งเบาทั้งบาง เหมือนสายพิณเส้นบางกำลังสั่นไหว เมื่อลอยเข้ามาในหูกลับทำให้อกสั่นขวัญหาย
ความรู้สึกที่ไม่ดีชนิดหนึ่งลอยขึ้นมา
มั่วชิงเฉินหยุดเดิน ร่างกายหมุนไปตามทิศทางต่างๆ ไม่หยุด ธนูเขียวซ่อนเร้นถือเอาไว้ตรงหน้าอกอย่างมั่นคง ไหมเกล็ดน้ำแข็งก็ลอยตามมา
พลั่ก…พลั่ก…
เสียงดังเช่นนี้ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนหยดน้ำหยดลงบนใบตอง ทั้งที่ควรจะก้องกังวานไพเราะ แต่มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วกลับรู้สึกเลี่ยนไปจนถึงขั้นคลื่นไส้
นางเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง ศัตรูที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแอบซ่อนกำบังอยู่กลางหมอกหมองมัวที่นางมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าจะพุ่งเข้ามาเมื่อใด จู่โจมนางให้ถึงแก่ชีวิต!
เขาอยู่ที่ไหน
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ในตอนนี้เวลานี้นางมองไม่เห็นเงาของศัตรู และแยกที่มาที่ไปของเสียงไม่ออก
หรือว่าทำได้เพียงนั่งรอความตายเช่นนั้นหรือ
ไม่ นางไม่ยินยอมเป็นแน่!
มั่วชิงเฉินกัดฟัน จู่ๆ ก็หลับตาลง ในเมื่อมองไม่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องมอง นางเชื่อว่าในใจมีดวงตาแห่งความเฉลียว ยื่นความสว่างไสวกลับมาให้แก่นาง
เสียงดังพลั่กๆ ยิ่งดังชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนถูกพลังอะไรบางอย่างรบกวน อาศัยเพียงแค่ความสามารถในการฟังไม่อาจแยกแยะทิศทางได้
หญิงสาวชุดสีเขียวถือธนูสีดำไว้เบื้องหน้า ดวงตาทั้งสองข้างหลับตาลงอยู่น้อยๆ ขนตาดำยาวดุจพัดด้ามเล็กบดบังความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้
ในช่วงเวลาที่ร่างเงาที่แอบซ่อนในหมอกเทากำลังระเบิดมุมปากของหญิงสาวก็ปรากฏแววขำขันขึ้นมาในฉับพลัน ธนูเขียวซ่อนเร้นในมือถูกยกขึ้น มืออีกข้างดึงสายธนูอย่างรวดเร็ว ศรยาวสีทองดอกหนึ่งพุ่งทะลุหมอกเทาแน่นหนานั้นออกไปโดนตรงคอหอยของร่างเงานั้นพอดิบพอดี!
ศรเดียวคาคอ ร่างเงานั้นล้มลงไปอย่างไร้ซึ่งเสียง แต่ในตอนนี้กลับมีเสียงหายใจดังออกมาเบาๆ