คำพูดของมู่ซีเหนียนทำให้ทุกคนตึงเครียด สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ผืนน้ำด้วยความร้อนแรง ในใจเกิดความคิดตีสลับซับซ้อน
ผ่านไปนานเฉิงหรูยวนที่สวมใส่ชุดสีแดงเข้มจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “อยากจะออกไปมีเพียงวิธีเดียว”
“วิธีอะไร” ทุกคนหันไปมองเฉิงหรูยวนเป็นตาเดียว
“สร้างเรือ” เฉิงหรูยวนพูดออกมาสองคำ
สยงสี่ถอนหายใจ “พี่เฉิง วิธีนี้ใช้ว่าจะไม่เคยคิดมาก่อน แต่วัสดุที่จะนำมาสร้างเรือที่สามารถรองรับป้องกันน้ำหลากได้จะไปหาได้อย่างไร แล้วท่ามกลางคนของพวกเรามีใครที่ชำนาญวิชาการสร้างเรือบ้างเล่า”
สร้างเรือไม่สามารถเทียบกับอย่างอื่นได้ หากว่าสร้างไม่ดีทำของลอกเลียนแบบขึ้นมาถึงเวลาเรือพลิกขึ้นมาต้องน่าเวทนาเป็นแน่
เฉิงหรูยวนยิ้ม “ที่จริงเพื่อที่จะเดินทางในพื้นที่ลับครั้งนี้ตัวข้าสกุลเฉิงนำเรือติดตัวมาด้วยลำหนึ่ง แต่วัสดุของเรือนั้นไม่อาจใช้ได้ เกรงว่าคงจะรับมือน้ำหลากนี้ไม่ไหว หากพูดถึงวัสดุสร้างเรือไม่ทราบว่าใช้ไม้กาทองได้หรือไม่”
“ไม้กาทอง?” มีหลายที่ส่งเสียงตกใจพร้อมกัน
ไม้กาทองเป็นวัสดุในการสร้างเรือที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เรือที่สร้างขึ้นจากไม้กาทองความเร็วไม่ถือว่ามาก แต่กำลังการป้องกันกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
คนที่พอเข้าใจสถานการณ์คิดได้ว่าตระกูลเฉิงเกี่ยวข้องกับการค้าทางทะเล การที่เฉิงหรูยวนมีไม้กาทองก็พอจะเข้าใจได้
“พี่เฉิงมีไม้กาทองช่างดีเหลือเกิน แต่คนสร้างเรือจะไปหาจากที่ใด ไม่ทราบว่าท่ามกลางสหายเต๋าทุกท่านมีใครชำนาญวิชาการสร้างเรือหรือไม่” สายตาสยงสี่ร้อนแรง มองพิจารณาพวกเฉิงหรูยวน เขารู้ดีว่าสมาชิกกลุ่มตนเองไม่มีใครมีความสามารถด้านนี้
ผ่านไปนานผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวของฝั่งเผยสิบสามถึงเอ่ยปากขึ้นมา “ข้าน้อยสามารถลองได้ แต่ต้องอธิบายก่อนว่าข้าน้อยไม่อาจถือว่าชำนาญ เพียงแต่เคยเข้าร่วมการสร้างเท่านั้น”
แท้จริงแล้วก็มีความรู้เท่าหางอึ่ง
แต่ในตอนนี้ทำได้เพียงเห็นม้าตายแต่รักษาดุจม้าเป็น มีคนที่มีความรู้เท่าหางอึ่งก็ถือว่าโชคดีแล้ว ทุกคนรีบพยักหน้า เฉิงหรูยวนนำไม้กาทองออกมา
ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ได้เห็นหน้าตาไม้กาทองเสียที
ไม้ยาวสีดำเงาวับหลายท่อนสะท้อนไอแสงทองอยู่เบาๆ ที่น่าแปลกคือไอแสงนี้ไม่ได้ครอบคลุมบนไม้กาทอง แต่เป็นวงสีทองที่ลอยอยู่บนเนื้อไม้สีดำจับใจคนอย่างมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวรับไม้กาทองและวัสดุเสริมอื่นที่เฉิงหรูยวนส่งให้ไปอย่างระมัดระวัง ค้นหาบริเวณสูงและกว้างพอขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ ร่ายม่านพลังปิดบังเริ่มสร้างเรือ
ทุกคนไม่รู้ว่าจะสร้างสำเร็จเมื่อใด แต่กลับไม่มีทางอื่นทำได้เพียงเกาะอยู่บนกิ่งไม้เพียงลำพัง หรือมองเหม่อไปยังผิวน้ำสีดำสนิท หรือใช้กระแสจิตส่งเสียงคุยกันเป็นการส่วนตัว หรือหลับตาตั้งสมาธิ
ที่จริงแล้วในบรรดาคนเหล่านี้คนที่สงบนิ่งที่สุดคือมั่วชิงเฉิน เพราะนางสามารถลอยตัวยืนกลางอากาศ ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ ในเขตพื้นที่แปลกประหลาดบางส่วนในเขตไร้จนหากไม่สามารถใช้ของวิเศษบินลอยได้ก็ทำได้เพียงบื้อใบ้เท่านั้น
เมื่อคิดเช่นนี้ข้อดีของผลเซียนบินช่างมากมายเหลือเกิน
มั่วชิงเฉินสำนึกความโชคดีของตนเอง สายตากวาดมองทุกคนอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวจะสามารถสร้างเรือขึ้นมาทันเวลาหรือไม่ หากต้นไม่ใหญ่ไม่อาจทนรับถึงเวลานั้นนอกจากเอาตัวรอดแล้วอย่างมากยังสามารถช่วยอีกคนหนึ่งได้ ก็คงจะเป็นถังมู่เฉินผู้นั้นกระมัง ส่วนคนอื่นได้แต่พูดว่าขอโทษ
ไม่อยากคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุด มั่วชิงเฉินหลับตาทั้งสองข้างเริ่มฝึกบำเพ็ญตบะ
นางเป็นคนประเภทเวลาปกติคิดมากวุ่นวาย แต่เมื่อเริ่มฝึกบำเพ็ญตบะกลับจิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวก ไม่นานเวลาก็ผ่านไปสามวันต้นไม้ใหญ่เริ่มส่งเสียงออดแอด ทุกคนไม่มีใครทำอะไรอย่างอื่นล้วนจ้องเขม็งไปยังจุดที่ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวอาศัยอยู่ อยากจะใช้สายตาอันร้อนแรงบีบบังคับให้เขาออกมา แต่นางกลับแน่วแน่ไม่ขยับไหวติงบำเพ็ญตบะต่อไป
“เหตุใดสหายเต๋าจ้าวยังไม่ออกมาอีก” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองจากฝั่งสยงสี่เดินกลับไปมาบนต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ยิ่งส่งเสียวออดแอดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้ารีบนั่งลงเถิด เดินต่อไปต้นไม้จะยิ่งล้มเร็วขึ้น!” มู่ซีเหนียนพูดเสียงเย็น
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองไม่พอใจ แต่ก็ดูหวาดระแวงต่อมู่ซีเหนียนจึงนั่งลงกลับไปด้วยความอึดอัดใจ
แต่ในเวลานี้เองจู่ๆ ต้นไม้ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทุกคนสั่นคลอนเหมือนจะตก
“แย่แล้ว ต้นไม้ใกล้จะล้มลงแล้ว!” ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ต้นไม้เริ่มเอนตัวไปยังทิศทางหนึ่งช้าๆ ทุกคนรีบวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามในฉับพลัน
แม่นางจอมพิษเท้าลื่นทั้งร่างดิ่งตกลงไปข้างล่าง ในจังหวะที่จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจู่ๆ ก็มีเถาวัลย์เส้นหนึ่งลอยเข้ามาพันกับเอวบางของนางเอาไว้ ทำให้ทั้งร่างลอยอยู่กลางอากาศ
“สหายเต๋ามั่ว ขอบใจ” แม่นางจอมพิษเงยหน้าขึ้นมองมั่วชิงเฉิน สีหน้าแฝงความซาบซึ้งใจ
มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดอะไร กระตุกข้อมือดึงแม่นางจอมพิษให้มาอยู่ข้างกาย
แต่ตามแรงของต้นไม้ที่เริ่มเอนเอียงช้าๆ น้ำหลากเข้ามาใกล้หน้าทุกคนจนแทบจะสัมผัสกันแล้ว
ในเวลานี้นี่เองบริเวณที่ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวอาศัยอยู่มีคลื่นแสงวิญญาณลอยออกมา ค่อยๆ ปรากฎเป็นร่างของผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าว
เขาตะโกนเสียงดัง “เรือมา!”
ของในมือถูกโยนออกมาในทันใด
ของสิ่งนั้นกรีดกรายวาดเส้นสีทองขึ้นกลางอากาศ จมหายไปในน้ำ
จากนั้นก็เห็นมีเรือลำเล็กค่อยๆ หมุนวนกลายร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในน้ำ ไม่นานก็ขยายยาวกว่าสองจั้ง
พื้นที่เรือกาทองแม้จะไม่ใหญ่ แต่กาบเรือสูงเป็นอย่างมาก เหมาะสมกับสถานการณ์พิเศษตรงหน้าเป็นอย่างดี
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็รีบกระโดดลงจากต้นไม้ ทุกครั้งที่มีคนล่วงลงไปเรือกาทองจะสั่นดยกเล็กน้อย แต่กลับหยุดอยู่บริเวณเดิมไม่ไหวติง
กาทองมั่นคงและหนัก สมชื่อที่เล่าลือกันมา
“สหายเต๋าจ้าว เจ้าช่างมาทันเวลาเสียจริง” ทุกคนปลอดภัยไร้กังวล ล้วนแย้มยิ้มยินดี
ผู้บำเพ็ญเพียรสกุลจ้าวถึงได้มีเวลาปาดเหงื่อบนหน้าผาก “โชคดีที่ไม่เสียแรงเปล่า”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจพูดมากอีก ขัดสมาธินั่งลงฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ทุกคนไม่มีใครไปรบกวนอีก เริ่มปรึกษาพูดคุยเรื่องการดำเนินการขั้นต่อไป
สยงสี่และพวกมาถึงเขตพื้นที่นี้ก่อน เฉิงหรูยวนและคนอื่นย่อมต้องฟังความเห็นของพวกเขาก่อน
สยงสี่มองไปยังมู่ซีเหนียน
“ซีเหนียนคิดว่าควรจะไปทางตะวันออก” มู่ซีเหนียนยืนอยู่บนหัวเรือ ผมขาวสะอาดดุจหิมะของเขาปลิวไสวตามลม ขับสะท้อนให้ผิวของเขายิ่งผิดแผกงดงาม
ทุกคนหันไปมองมู่ซีเหนียนไม่พูดจา รอคำอธิบายของเขา
มู่ซีเหนียนยิ้มน้อยๆ ชี้นิ้วไปทางทิศตะวันออก “หลายวันก่อนนี้น้ำหลากมาจากทิศตะวันออก หากพูดถึงทางออก เช่นนั้นบริเวณแหล่งต้นกำเนิดน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด”
คำพูดนี้มีเหตุผลอย่างมาก ทุกคนตัดสินใจในทันใด มุ่งหน้าไปทิศตะวันออก
ทั้งหมดสามกลุ่ม แต่ละกลุ่มทีสมาชิกอยู่ห้าคนล้วนยืนอยู่บนเรือกาทองทั้งหมดจนแน่นขนัด สามารถพูดได้ว่าไหล่ชนไหล่ แต่ตอนนี้จะมีใครมาสนใจเรื่องเหล่านี้ สองคนหนึ่งกลุ่มเริ่มหมุนเวียนบังคับเรือ
เดินทางอยู่เจ็ดวันเต็มในที่สุดก็มาถึงจุดปลายสายของทิศตะวันออก
ตรงนั้นมีภูเขาสูงตั้งอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นพื้นดินเขียวขจี แต่น้ำตกที่อยู่ตรงกลางกลับเป็นสีดำ น้ำหลากเหล่านั้นมีแหล่งที่มาจากบริเวณนี้
ทุกคนอดถอนหายใจไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะเฉิงหรูยวนมีไม้กาทองพอดี ทางด้านเผยสิบสามก็พอจะมีคนเข้าใจเรื่องสร้างเรือ เช่นนั้นจะยังมีใครเดินผ่านเส้นทางอันยาวไกลถึงบริเวณนี้ได้
พูดได้ว่าที่ยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ในเวลานี้เป็นเพราะโชคและความพยายามอย่างละครึ่ง
“พวกเจ้าดูนั่น วงแหวนสีเขียว” แม่นางจอมพิษแย้มยิ้มประหนึ่งดอกไม้บาน แสดงท่าทีเหมือนเด็กสาวอออกมา นิ้วเรียวยาวชี้ตรงไปยังภูเขาด้านหน้า
เป็นไปตามที่คาดไว้บริเวณยอดเขามีแสงสีเขียวโดดเด่น มีวงแหวนกว่าสิบวงเรียงต่อกันประหนึ่งเมฆเขียวแผ่นใหญ่ งามงดแปลกตา
เรือค่อยๆ เข้าไปใกล้บริเวณตีนเขา เหตุเพราะความระแวดระวังสยงสี่หยิบร่างของอสูรปีศาจตัวหนึ่งจากในถุงเก็บวัตถุโยนขึ้นไป ผ่านไปนานก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด
ทุกคนผ่อนลมหายใจออกมา ดูท่าภูเขาเขียวแห่งนี้ภายนอกภายในสอดคล้องตรงกัน เพียงแต่หลีกเลี่ยงน้ำตกสีดำก็พอแล้ว
ทุกคนทยอยกันขึ้นฝั่ง เก็บเรือกาทองปีนขึ้นไปบนยอดเขา
แม้จะไม่อาจใช้อาวุธเวทเหาะตัว แต่ทุกคนก็ยังเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คุณสมบัติของร่างกายย่อมแข็งแกร่งกว่าคนอื่นไม่รู้กี่ร้อยเท่า ใช้เวลาไม่นานมากก็มาถึงยอดเขา
ทอดสายตามองออกไปไกลเห็นว่าน้ำหลากยิ่งรุนแรงมากขึ้น ไร้ซึ่งขอบเขต และตอนนี้ทุกคนกลับสามารถหนีออกไปได้แล้ว
ทั้งสามกลุ่มรวมตัวอยู่ด้วยกันแต่เดิมเป็นเพราะความบังเอิญของโชคชะตา สถานการณ์บีบบังคับ ในตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีวงแหวนสีเขียวราวสิบวง ผู้นำกลุ่มทั้งสามคนก็เดินไปยังวงแหวนที่ต่างกันอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วยังตั้งใจเว้นระยะห่างเอาไว้พอสมควร
“สหายเต๋าทุกท่าน มีโอกาสแล้วพบกันใหม่” เผยสิบสามค้อมตัวน้อยๆ ให้เฉิงหรูยวนและสยงสี่ แล้วยังส่งยิ้มบางให้มั่วชิงเฉิน แล้วจึงเดินเข้าไปในวงแหวนสีเขียว
“พี่เผย รอก่อน” จู่ๆ สยงสี่ก็พูดขึ้น
เผยสิบสามชะงักฝีเท้า ยืนตัวตรงดุจไผ่เขียว มองสยงสี่ด้วยท่าทางอ่อนโยน “พี่สยงยังมีเรื่องอะไรหรือ”
เสียงของเขากังวานนุ่มทุ้มประหนึ่งเสียงสวรรค์ เหยียลีว์เยี่ยนอดหน้าแดงไม่ได้เพราะสายตาอันอบอุ่นของเขา
สยงสี่มองเผยสิบสาม และมองเฉิงหรูยวนอีกครั้ง เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ทั้งสองท่าน ตัวข้าสกุลสยงมีข้อเสนอหนึ่งอย่าง”
“พี่สยงพูดเถิด” เผยสิบสามยิ้มน้อยๆ
สายตาของเฉิงหรูยวนเป็นประกายเล็กน้อยเหมือนว่าเริ่มเดาคำพูดต่อไปนี้ของสยงสี่ได้
“ท่านพี่ทั้งสอง พวกเราสามกลุ่มพบเจอกันที่แห่งนี้ ร่วมใจสมัครสมานผ่านอุปสรรคลำเข็ญมาถือเป็นโชคชะตาที่ไม่อาจเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่สู้ว่าพวกเราตั้งข้อตกลงเอาไว้เป็นอย่างไร”
“ข้อตกลง?”
“ใช่แล้ว หากว่าพวกเราและกลุ่มอื่นบังเอิญพบกับดอกสำลีตกสวรรค์พร้อมกัน พวกเราทั้งสามกลุ่มจะไม่โจมตีกันเอง ว่าอย่างไรเล่า” สยงสี่พูดขึ้น
เฉิงหรูยวนยิ้ม “แล้วหากว่ามีเพียงพวกเราสามกลุ่มเล่า”
สยงสี่พูดออกมาตรงๆ “หากมีดอกสำลีตกสวรรค์มากพอ ย่อมต้องแบ่งกันออกไปตามที่ต้องการ หากไม่พอก็ต้องอาศัยความสามารถของแต่ละฝ่าย”
ข้อเสนอนี้ถือว่าได้เปรียบทั้งสองฝ่าย สามคนตกลงตั้งข้อสัญญาแล้วถึงได้นำสมาชิกในกลุ่มก้าวเข้าไปในวงแหวนสีเขียว
ทะลุผ่านวงแหวนสีเขียวไป มั่วชิงเฉินไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นเป็นกังวลเหมือนตอนที่เพิ่มเริ่มเข้ามาในเขตพื้นที่ใหม่เหมือนแต่ก่อน แต่กลับรักษาจิตใจนิ่งสงบและความระมัดระวังอย่างพอดิบพอดีเอาไว้
เมื่อร่วงลงจากวงแหวนสีเขียว ครั้งนี้กลับเป็นสถานที่สวยงามเต็มไปด้วยเสียงนกและกลิ่นหอมของพฤกษชาติ
ทอดสายตามองออกไปไกลหญ้าเขียวเหมือนฟูก ทิวทัศน์งดงามสีสันหลากหลาย ผีเสื้อหลากสีสันร่ายระบำขยับปีก แม้แต่ลมเย็นที่พัดเข้าหน้าก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ผสมมา
“นี่ถึงจะเป็นสถานที่ที่คนอยู่!” ถังมู่เฉินโบกพัดในมือ ดวงตาทั้งสองข้างหลับลงเล็กน้อยสูดดมกลิ่นดอกไม้หอมในชั้นอากาศ
เฉิงหรูยวนสีหน้านิ่งสงบแต่กลับไม่วางใจ มีบางครั้งที่สถานที่ยิ่งสวยงามก็ยิ่งอันตราย ทางเขาสูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายไปแล้วผู้หนึ่ง ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้อีก
มั่วชิงเฉินกลับใจเต้นแรง ในนาทีที่นางตกลงบนพื้นที่แห่งนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงการหนีอุตลุดอย่างวุ่นวายของผึ้งวิญญาณเลือดมรกตภายในถุงเก็บสัตว์วิญญาณ แทบจะทะลุถุงออกมา
หรือว่าดอกสำลีตกสวรรค์ที่ตามหาอย่างยากลำบากจะอยู่ในเขตพื้นที่นี้
“น้องสาว ไปเถิด” หลายคนเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่มั่วชิงเฉินกลับนิ่งไม่ขยับอยู่นาน ถังมู่เฉินหันมาเรียกนาง
“อย่าเพิ่งไป” มั่วชิงเฉินพูดออกมาด้วยท่าทีไร้เหตุผล
“เหตุใดหรือ” รู้ว่ามั่วชิงเฉินไม่ใช่คนที่คุยเรื่อยเปื่อย ทั้งสี่คนเดินกลับมา
มั่วชิงเฉินตบถุงเก็บสัตว์วิญญาณ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตจำนวนหนึ่งบินออกมา
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตหลายตัวบินวนไปมากลางอากาศด้วยความตื่นเต้น แล้วก็พากันบินไปยังทิศทางเดียวกัน