ระหว่างทางกลับ เนื่องจากไม่มีความแปลกใหม่และตื่นเต้นเมื่อยามไป จึงดูแล้วสงบเป็นพิเศษ
แม้อยู่บนเรือผู้อื่นไม่ใคร่สะดวก ทว่าโอกาสที่จะได้ฝึกคาถาวารีตามรูปในทะเลที่หายากเช่นนี้ มั่วชิงเฉินไม่ยอมปล่อยผ่านไปหรอกนะ ยังคงกลางวันฝึกในทะเล กลางคืนบำเพ็ญเพียรในห้องเหมือนเคย
มองดูมั่วชิงเฉินที่กระโดดโลดเต้นอย่างอ่อนช้อยงดงามในน้ำดังปลาที่มีจิตวิญญาณ สายตาของเผยสิบสามที่ยืนอยู่ท้ายเรือตรึงตราอยู่บนเงาร่างนั้น
เฉิงหรูยวนที่ยกถ้วยชาจิบอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ หยอกล้อว่า “พี่เผย น้องรู้สึกว่าท่านค่อนข้างสนใจในตัวแม่นางมั่วทีเดียว?”
เผยสิบสามย่อมฟังออกถึงการหยอกล้อในคำพูด จึงเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “พี่เฉิงล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่าวิชาลับของแม่นางมั่วแขนงนี้พิเศษไม่เหมือนใครยิ่งนัก อีกประการหนึ่งแม่นางมั่วขยันฝึกฝนเช่นนี้ จึงเกิดเลื่อมใสขึ้นมาเท่านั้นเอง”
เฉิงหรูยวนไม่รู้ ทว่าเขากลับรู้ดีว่า วิชาลับที่มั่วชิงเฉินฝึกในยามนี้แขนงนี้ ก็ได้มาจากยี่สิบแปดค่ายกลที่ตั้งขึ้นโดยหญิงประหลาดที่น่านน้ำโกลาหลที่พวกเขาอยู่วันนั้น
นึกถึงตรงนี้ก็อดแอบคิดไม่ได้ว่า ก็ไม่รู้ว่าวันนั้นหลังจากที่พวกเขาสามคนถูกหญิงสาวใช้กำลังเคลื่อนย้ายไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นอีก
แม่นางมั่วท่านนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะความกระตือรือร้นที่นางบำเพ็ญเพียรอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ เทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรชายบางคนที่ขึ้นชื่อเรื่องบากบั่นบำเพ็ญเพียรแล้ว ยกตัวอย่างเช่นตนเอง
เขาต่างจากเฉิงหรูยวน เฉินหรูยวนเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด ตั้งแต่เด็กเรียนอะไรก็มักเข้าใจอย่างรวดเร็ว คนอื่นใช้เวลามากกว่าเขาเท่าตัว ยังเรียนได้ไม่ดีเท่าเขา
ดังนั้นเขาทระนงแต่กำเนิด ดูเหมือนอ่อนโยนมีมารยาท ความจริงมีเรื่องน้อยมากที่เข้าตาเขาได้
ส่วนตนเอง แม้พรสวรรค์ไม่เลว กลับไม่มีความสามารถเช่นนี้ ที่สามารถโดดเด่นกว่าคนหนุ่มมากความสามารถนับไม่ถ้วนในเซิงโจว กลับเพราะแยกไม่ออกจากการบากบั่นบำเพ็ญเพียรทุกวี่วัน
มั่วชิงเฉินฝึกคาถาวารีตามรูป ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามน่าอัศจรรย์ ยิ่งกว่านั้นยังแสดงคำว่า ‘อ่อนช้อย’ ออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งสองคนพิงกาบเรือคุยเล่นไปพลาง สายตากลับอดไล่ตามเงาร่างในทะเลไม่ได้
ในยามนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า “พี่สิบสาม คุณชายเฉิง ไยพวกท่านถึงมาอยู่นี่ล่ะ”
เผยสิบสามยกตาขึ้น เห็นเผยอวิ้นเอ๋อร์ในชุดสีเหลืองนวล เหมือนดอกตูมของดอกอิ๋งชุนที่รอบานสะพรั่งเดินมาทางนี้ กลับขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว แล้วคลี่ออกอย่างรวดเร็วอีกโดยไม่รอให้ผู้อื่นสังเกตเห็น
พริบตาเดียวเผยอวิ้นเอ๋อร์ก็เดินมาถึงข้างๆ ทั้งสองคน ทอดสายตากวาดมอง เหลือบเห็นมั่วชิงเฉินในทะเล ทันใดนั้นขมวดคิ้วขึ้น ฮึเสียงเย็นว่า “เก่งแต่ยั่วยวน!”
เสียงนางแม้เบา เฉิงหรูยวนและเผยสิบสามกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ความอ่อนโยนไม่แยแสบนใบหน้าของเฉิงหรูยวนหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียง มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้น
ส่วนเผยสิบสามกลับตะคอกโดยตรงว่า “น้องสิบเก้า ระวังคำพูดด้วย!”
ถูกต่อว่าต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ เผยอวิ้นเอ๋อร์รู้สึกเสียหน้า จึงกัดปากทันที ท่าทางจะร้องไห้ว่า “พี่สิบสาม ท่าน ท่านว่าข้าต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร? ฮึ ต้องเป็นเพราะนางแน่ อาศัยที่หน้าตาพอสะสวย วันๆ เอาแต่มาโอ้อวดต่อหน้าท่าน ถึงได้ทำให้ท่านหน้ามืดตามัว ใจร้ายกับน้องสาวตนเองเช่นนี้!”
เผยอวิ้นเอ๋อร์ยิ่งพูดยิ่งโมโห จ้องมั่วชิงเฉินที่อยู่ในทะเลอย่างเย็นชาแล้วกระทืบเท้า น่าสงสารมั่วชิงเฉินที่ตั้งใจฝึกวิชาลับกำลังถึงยามเคลิบเคลิ้มลืมตัว ไม่รู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนเรือโดยสิ้นเชิง
เผยสิบสามสีหน้าเย็นชาหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ต้นไผ่เขียวสดใหม่ที่โผล่พ้นดินในฤดูใบไม้ผลิอีกแล้ว หากแต่เป็นต้นไผ่เหมันต์ที่ต้านลมและหิมะในฤดูหนาว “น้องสิบเก้า เจ้าเป็นสตรี พูดจาร้ายกาจเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าทำขายหน้าตระกูลเผย? หากไม่รู้จักสำรวมอีก ต่อไปข้าจะไม่พาเจ้าไปที่ใดๆ และไม่เห็นเจ้าเป็นน้องสาวอีกเด็ดขาด!”
เผยอวิ้นเอ๋อร์เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อว่า “พี่สิบสาม ท่าน ไม่คิดว่าท่านจะพูดกับข้าเช่นนี้ ท่าน ท่านเพื่อนางแล้วถึงกับจะตัดความสัมพันธ์พี่น้องกับข้า?”
ฟู่ เฉิงหรูยวนทนไม่ไหวหัวเราะออกมา ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าอะไรเรียกว่าก่อกวนไร้เหตุผล
เผยสิบสามที่ท่วงท่าสง่างามมาตลอดกระตุกมุมปาก มองเผยอวิ้นเอ๋อร์อยู่ครึ่งค่อนวันแล้วพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เคยคิดมาก่อน ยังมีผู้หญิงที่รับมือยากเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นญาติผู้น้องที่ความสัมพันธ์สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด เพราะอะไรนางถึงเป็นดังแม่นางมั่วไม่ได้…
นึกถึงตรงนี้จู่ๆ ก็นึกถึงวันนั้น การมองเพียงปราดเดียวก็ไม่อาจลืมใต้ทะเลลึกนั้น แม้ต่อให้หลังจากนั้นไม่กล้ารำลึก เพราะรู้สึกเสื่อมเสียความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าภาพนั้นจะให้ลืมจริงๆ ได้อย่างไร
“พี่สิบสาม หรือว่าที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง?” เผยอวิ้นเอ๋อร์เห็นเผยสิบสามไม่พูดอยู่นาน เบิกตาโตขึ้นกว่าเดิมอีกว่า “ได้ รอข้ากลับไปแล้วก็จะบอกท่านปู่ ดูท่านปู่จะจัดการปีศาจจิ้งจอกนั่นอย่างไร”
พูดจบก็ไม่รอเผยสิบสามตอบ ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันอีกทีหนึ่งแล้วบิดตัวจากไป
นิ่งงันไปพักใหญ่ เฉิงหรูยวนถึงเอ่ยว่า “พี่เผย แม่นางมั่วไปล่วงเกินน้องสาวท่านเมื่อไร? หากเป็นไปได้ หวังว่าพี่เผยจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์สักหน่อย แม่นางมั่วสองพี่น้องเป็นผู้ช่วยที่น้องอุตส่าห์เชิญมา ครั้งนี้ได้ความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างใหญ่หลวง ถึงสามารถเด็ดดอกสำลีตกสวรรค์ได้อย่างราบรื่น หากพวกเขาต้องเจอความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น กลับเป็นบาปของข้าแล้ว”
เผยสิบสามหน้าดำอย่างหาได้ยาก ครึ่งค่อนวันถึงหลุดออกมาว่า “พี่เฉิงวางใจ”
เขาสามารถเดาได้รางๆ ว่าเหตุใดเผยอวิ้นเอ๋อร์ถึงจู่ๆ มองแม่นางมั่วขวางหูขวางตาขึ้นมา น่าจะเพราะการพาลโกรธกระมัง
ระยะนี้ ถังมู่เฉินห่างเหินเผยอวิ้นเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เผยอวิ้นเอ๋อร์ไม่อาจเกรี้ยวกราดใส่ใบหน้าหล่อเหลาไร้เทียมทานของถังมู่เฉินได้ อีกทั้งล่วงรู้ว่าเขาและมั่วชิงเฉินไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ หากแต่เป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน จึงสงสัยว่ามั่วชิงเฉินเกี่ยวหัวใจของเขาไว้ นี่พอเห็นมั่วชิงเฉินปุ๊บถึงได้เหมือนไก่ชนปั๊บ
หากมั่วชิงเฉินเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกรงว่าคงถูกตบหน้าไปนานแล้ว
นึกถึงตรงนี้เผยสิบสามส่ายศีรษะอย่างจำใจ คนในตระกูลต่างปวดศีรษะกับนิสัยของน้องสิบเก้าคนนี้ ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ สาเหตุมิใช่อื่นใด หัวหน้าตระกูลเผยเป็นปู่แท้ๆ ของนาง เนื่องจากนางเสียบิดาแต่เด็ก อีกทั้งมารดาสาบานว่าจะไม่แต่งงานอีก หัวหน้าตระกูลจึงใจกว้างต่อสองแม่ลูกนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะหลานสาวเผยอวิ้นเอ๋อร์ ต่อให้รู้ๆ อยู่ว่านางนิสัยเอาแต่ใจ กลับรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาและลำเอียง ส่วนคนในตระกูลรู้เรื่องนี้ อีกทั้งเพราะบิดาของน้องสิบเก้าดับสูญเพื่อตระกูล จึงไม่ถือสาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นานวันเข้า นางก็ยิ่งไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว
น่าสงสารเพียงท่านอาสะใภ้สี่ หลังจากเสียสามีแล้วเศร้าโศกเกินขนาด ใช้ชีวิตอย่างมึนๆ งงๆ มาหลายสิบปี รอถึงยามที่ได้สติกลับมาคิดจะสอนสั่งบุตรสาว กลับมีใจแต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“สหายเต๋าทั้งสอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินไม่รู้ขึ้นเรือมาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินบทสนทนาของเฉิงหรูยวนและเผยสิบสามรางๆ
เฉิงหรูยวนมองเผยสิบสาม
เผยสิบสามเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “เพราะน้องสาวข้าไม่รู้เรื่อง เห็นแม่นางมั่วบำเพ็ญเพียรอยู่ในทะเล พูดจาไม่เหมาะสม แม่นางมั่ว หากการเดินทางต่อจากนี้ น้องสาวข้าหากล่วงเกินสิ่งใด ขอให้เห็นแก่หน้าข้าน้อย อย่าได้ถือสานาง”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะว่า “สหายเต๋าเผยหมายความว่า ต่อให้น้องสาวเจ้าพอเห็นข้าก็ชี้จมูกข้าด่า ข้าก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนหรือ?”
“แม่นางมั่ว ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนี้…” เผยสิบสามพูดถึงตรงนี้ก็พูดต่อไปไม่ได้ เขาหวังว่ามั่วชิงเฉินจะสามารถมองข้ามการกระทำของเผยอวิ้นเอ๋อร์จริงๆ เพราะเขารู้ว่าน้องสิบเก้าคนนั้นบ้าขึ้นมาไม่สนใจไยดีแค่ไหน
มั่วชิงเฉินมองเผยสิบสามเงียบๆ เนิ่นนาน จู่ๆ ก็หัวเราะเย็นชาว่า “สหายเต๋าเผย เรามีวาสนาร่วมมือกันหลายครั้ง วันนี้พูดตรงๆ ออกมา ขออย่าได้ถือโทษที่ข้าไม่ไว้หน้าเจ้า ข้าน้อยเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ น้องสาวเจ้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ข้าไม่สนว่าตระกูลเผยของพวกเจ้าอิทธิพลล้นฟ้าเพียงใด ฐานะสูงส่งเพียงใด หากน้องสาวเจ้าไม่มีสัมมาคารวะเช่นนี้ ชี้มือชี้ไม้ต่อข้าโดยไร้สาเหตุ ก็อย่าโทษที่ข้าเอาก้อนอิฐตบนางกลับไป!”
พูดจบผงกศีรษะแผ่วเบาให้ทั้งสองคน ก้าวเท้าเดินไปที่ห้องโดยสาร เดินไปสองสามก้าวแล้วหันมายิ้มว่า “สหายเต๋าเผย และข้าน้อยก็มิใช่นักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก”
พูดจบก็เข้าห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ผ่านไปชั่วครู่ จู่ๆ เฉิงหรูยวนก็หัวเราะขึ้นว่า “แม่นางมั่วท่านนี้ ที่จริงอารมณ์ก็ร้อนไม่เบานะ พี่เผย ท่านโตมาถึงตอนนี้ เกรงว่าคงเป็นครั้งแรกที่มีหญิงสาวพูดกับท่านเช่นนี้กระมัง เอ่อ นอกจากน้องสาวท่าน…”
เฉิงเผยสองตระกูลอยู่ใกล้กัน ลูกหลานไม่น้อยของทั้งสองตระกูลล้วนสนิทกันตั้งแต่เด็ก ส่วนเฉิงเจ็ดและเผยสิบสาม แม้มักถูกนำมาเปรียบเทียบกัน แข่งกันมาตลอด กลับไม่เป็นอุปสรรคในการชื่นชมกันและกันของพวกเขากระทั่งพูดได้ว่า เพราะพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของแต่ละตระกูล จึงยังมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกัน
ดังนั้นเฉิงหรูยวนพูดกับเผยสิบสาม จึงมักจะพูดเล่นเรื่องที่ไม่ทำให้เสียหาย
เผยสิบสามสีหน้าประหลาดว่า “แม่นางมั่วเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน นางไม่ใช่อารมณ์ร้อน หากแต่ไม่เคยลืมศักดิ์ศีรของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต่างหาก”
พูดถึงตรงนี้ทั้งสองคนนิ่งเงียบเล็กน้อย ในเซิงโจว ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคนจะทำได้เช่นนี้ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณบางคนเนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ มักก้มศีรษะให้นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ว่าไปแล้วก็น่าเศร้าน่าสะท้อนใจ กลับก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“ดูท่าทาง ฐานะของแม่นางมั่วก็ไม่ธรรมดา” เผยสิบสามเหม่อมองทิศทางที่มั่วชิงเฉินหายไป
เฉิงหรูยวนดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เข้าใกล้มาก้าวหนึ่ง แล้วส่งเสียงทางจิตบอกการคาดเดาของตนให้เผยสิบสามรู้
“พูดจริงหรือ?” เผยสิบสามเลิกคิ้ว ยากจะปิดบังความตะลึง
เฉิงหรูยวนยิ้มว่า “น้องก็ไม่กล้ายืนยัน เพียงแต่เดาเช่นนี้ ทว่าคบหากับแม่นางมั่วมานานถึงเพียงนี้ ดูจากท่วงท่าสง่างามของนาง ก็เป็นไปได้มากจริงๆ”
เผยสิบสามนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “เช่นนี้ก็ดี ต่อให้น้องสิบเก้าคิดจะทำเหลวไหล เกรงว่าหัวหน้าตระกูลก็คงไม่ตามใจอีกแล้ว”
หากขาดการช่วยเหลือจากหัวหน้าตระกูล อาศัยตัวน้องสิบเก้าเองคิดจะลงมือกับแม่นางมั่ว เกรงว่าจะมีใจแต่ไร้กำลัง
เฉิงหรูยวนยิ้มแผ่วเบาอยู่ตลอดเวลา จู่ๆ ก็ขยิบตาว่า “ไม่ว่าอย่างไร พูดเช่นนี้กับหัวหน้าตระกูลเผยก่อน ก็ไม่เสียหาย พี่เผยว่าใช่หรือไม่?”
เผยสิบสามอึ้ง จากนั้นยิ้มเรียบๆ ขึ้นมา
ส่วนด้านนั้น มั่วชิงเฉินเข้าห้องคิดๆ ดูแล้ว ยังคงลุกขึ้นไปหาถังมู่เฉิน
“น้องพี่ หาพี่ใหญ่มีธุระหรือ?”
เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่คิดอะไรของถังมู่เฉินแล้ว มั่วชิงเฉินก็อารมณ์เสีย เป็นดอกท้อเน่าที่หมอนี่ตอแยมาทั้งนั้น อิสระมีความสุขคือเขา ปัญหากลับโยนมาให้ตน
“พี่ใหญ่ เผยอวิ้นเอ๋อร์นาง ต่อไปเกรงว่าจะเป็นตัวปัญหา”
ถังมู่เฉินเหลอหลา “เป็นอันใดหรือ น้องพี่ นางหนูนั่นหาเรื่องเจ้าหรือ?”
มั่วชิงเฉินพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ สุดท้ายว่า “ข้าเคยได้ยินสหายเต๋าเฉิงพูดถึงมาก่อน ตระกูลเผยก็อยู่บนเกาะหมายเลขเจ็ดนี่แหละ เผยเฉิงสองตระกูลปกติอยู่ใกล้กัน หากเป็นเช่นนี้ รอถึงถิ่นของตน เกรงว่าเผยอวิ้นเอ๋อร์จะไม่ยอมเลิกรา”