ดวงตาของเยี่ยเทียนหยวนท่ามกลางเงามืดของค่ำคืนแลดูสว่างสดใสกว่ากลุ่มดาวบนท้องฟ้า และแฝงความเย็นยะเยือกเอาไว้ แต่ความเย็นยะเยือกนี้แสดงอยู่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ข้างในนั้นกลับเป็นความร้อนแรง
เพราะสายตาที่ร้อนแรงนี้มั่วชิงเฉินค่อยๆ หุบรอยยิ้มลงไป หลุบตาลงช้าๆ
ก่อนหน้านี้นางเองก็พอรู้ความรู้สึกของศิษย์พี่ลั่วหยาง แต่ในตอนนั้นกลับสามารถจัดการได้อย่างเรียบง่าย เหตุใดตอนนี้กลับดูฝืนเกร็งไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
เห็นมั่วชิงเฉินหลุบตาลง มือของเยี่ยเทียนหยวนที่แต่เดิมจะยื่นออกมาต้องแข็งค้างอยู่กลางอากาศ
ลังเลอยู่นานก็ยังคงค่อยๆ ชักกลับไป
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ
อีกาไฟที่อยู่ในถุงเก็บสัตว์วิญญาณบินวนไปมาอย่างร้อนใจ ปากก็ด่าไม่หยุด “เจ้าคนโง่นี่ ช่างร้อนใจเหลือเกินๆ คราวที่แล้วข้าสอนเขาเอาไว้อย่างไร ผู้หญิง ยิ่งเจ้าเอาใจมากเท่าไร นางก็ยิ่งเชิด ลงมือไปเลย ขอเพียงครั้งแรกไม่โดนตบ ย่อมหมายความหมายว่าในใจของนางมีเจ้า รอให้เจ้าลงมือครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งต่อๆ ไปจนนับไม่ได้!”
เจ้าเขาน้อยฟังแล้วตะลึงไป พูดอย่างขลาดกลัว “พี่อู๋เย่ว์ ท่านกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ”
อีกาไฟใช้ปีกตบเข้าที่หัวของเจ้าเขาน้อยหลายที “ผู้ใหญ่พูดขาเจ้าฟังเอาไว้ก็พอแล้ว”
เจ้าเขาน้อยนั่งลงโดยใช้ขาหลังอย่างน้อยใจ หลังจากที่หลบหลีกจากปีกปีศาจของอีกาไฟมาได้ก็หันกลับไป ท่าทางน้อยใจ
“เขาน้อยๆ…” ตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งเจ้าเขาน้อยก็ยังไม่สนใจ อีกาไฟมีนิสัยพูดมาก ทำได้เพียงเอ่ยอธิบายว่า “เอาเถิด ข้าบอกเจ้าให้ฟัง ข้ากำลังร้อนใจว่าลั่วหยางเจินเหรินจะไล่จีบนายท่านไม่ได้ โกรธที่เขาไม่ฟังคำของขข้า!”
เจ้าเขาน้อยถึงได้หันหน้ากลับมา ดวงตาเป็นประกายในฉับพลัน ใบหน้าเลื่อมใส “พี่อู๋เย่ว์ ท่านช่างสุดยอดไปเลย แม้แต่เรื่องพวกนี้ยังเข้าใจ”
หลงใหลไปกับสายตาเลื่อมใสของเจ้าเขาน้อย อีกาไฟพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ ในใจกลับลอบคิด ว่า สุดยอดบ้าบออะไรกัน คิดถึงตอนนั้นที่ตัวข้าไล่จีบอีกาตัวผู้มาไม่รู้ว่ามากมายเพียงใด ไม่เห็นจะมีสำเร็จเลยสักครั้งเดียว
ถังมู่เฉินเจ้านั่นแม้จะเป็นเทพแห่งความซวย แต่เรื่องนี้กลับสุดยอดมากนัก ไม่น่าผิดหวังที่ตนเองยอมลดตัวลงไปขอความรู้จากเขา
‘ลั่วหยางเจินเหรินอ่า ท่านอย่าได้ทำให้ความหวังดีของอู๋เย่ว์ต้องผิดหวังนะ’
บางทีอาจเพราะได้ยินเคียดแค้นของอีกาไฟ ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็เอ่ยปากทำลายความเงียบ “ศิษย์น้อง…”
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมโตดั่งลูกท้อดูสว่างสดใสกว่าที่เคย สะท้อนเงาคนร่างเล็กๆ ออกมา
เยี่ยเทียนหยวนลืมสิ่งที่ต้องการจะพูดไปในทันใด มือไม้พันกันไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหนเพราะสายตาของมั่วชิงเฉิน “คือว่า ดึกมากแล้ว พวกเรานอนเถิด…”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปในทันใด สีหน้าแดงกล่ำ
มุมปากของมั่วชิงเฉินแข็งค้าง นางยังพอเข้าใจเยี่ยเทียนหยวนอยู่บ้าง นางรู้อย่างแน่ชัดว่าคำพูดของเขานี้คงไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น เกรงว่าคงอยากจะเรื่องพูดอื่นขึ้นมาตามใจชอบ
อีกาไฟหัวเราะจนกรามค้าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันเวลาในอนาคตอาจสวยงามขึ้นมา
เพราะความหลงระเริงจนลืมตัวจึงถูกมั่วชิงเฉินพบว่าแอบดู นางใช้กระแสจิตตะคอกว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าอยากโดนอัดหรือไร”
อีกาไฟยิ้มอย่างแฝงความนัย “นายท่าน ดึกมากแล้ว ท่านและลั่วหยางเจินเหรินรีบไปนอนเถิด”
พูดจบก็รีบตัดกระแสจิตที่เชื่อมต่อกับมั่วชิงเฉินในทันใด
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา เหตุใดข้างกายตนเองถึงไม่มีอะไรที่ปกติเลย รวมไปถึงสัตว์วิญญาณ
เยี่ยเทียนหยวนเห็นว่ามั่วชิงเฉินเหมือนจิตใจไม่อยู่เนื้อกับตัว เขาเม้มริมฝีปากเบาๆ เงยหน้านอนลงบนพุ่มหญ้า มองไปยังท้องฟ้าอย่างค่ำคืนไม่กระพริบตา
มั่วชิงเฉินเองก็นอนลงเคียงข้างกัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนยังไม่พูด รู้สึกบรรยากาศกดดันขึ้น นางหันไปมองก็เห็นว่าเขาเหม่อลอยมองดวงดาวอยู่
ดาวดวงน้อยที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนลงมารอบกายเขา ใบหน้าแลสว่างแลมืด มีความรู้สึกเหงาหงอยอย่างบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่ ท่านมีเรื่องในใจหรือ” มั่วชิงเฉินไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เมื่อครู่นี้ยังดีอยู่เลยไม่ใช่หรือ หรือว่าบรรยากาศจะพาลให้นึกถึงเรื่องเศร้า
คิดถึงเรื่องนี้นางเงยก็เงยหน้าขึ้นมองดาวพราวที่เกลื่อนเต็มท้องฟ้า ในใจกลับคิดว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบ
เยี่ยเทียนหยวนเอียงหน้า จ้องมองใบหน้าด้านข้างที่เป็นเส้นโค้งสวยของมั่วชิงเฉิน เสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้อง ข้า…ซื่อบื้อใช่หรือไม่ แม้แต่คำพูดก็ยังพูดไม่ถูก…”
มั่วชิงเฉินเองก็เอนหน้ามอง “ไม่นี่ ศิษย์พี่เป็นเช่นนี้ดีมากแล้ว”
“จริงหรือ” ดวงตาของเยี่ยเทียนหยวนสว่างเป็นประกายขึ้นมา
“จริงสิ” ดวงตาของมั่วชิงเฉินยิ้มจนขึ้นเป็นรอยโค้ง ประหนึ่งจันทร์เสี้ยว
เยี่ยเทียนหยวนมองนิ่ง
มั่วชิงเฉินเกิดรู้สึกเก้งก้างขึ้นมา ระยะห่างของทั้งสองคนดูเหมือนจะใกล้เกินไปหน่อยกระมัง
นางคิดจะออกห่างมาอีกหน่อยตามสัญชาตญาณ แต่จู่ๆ มือกลับถูกเยี่ยเทียนหยวนจับเอาไว้ จากนั้นลมหายใจที่บุรุษพึงมีก็เข้ามาครอบคลุมอย่างเต็มพิกัด
ลมหายใจที่คุ้นเคยเช่นนี้มาพร้อมกับความร้อนรนของไฟจริง ทำให้หัวสมองของมั่วชิงเฉินขาวโพลน จากนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบของริมฝีปากที่แนบขึ้นบนริมฝีปากของนาง
มั่วชิงเฉินตกใจ “ศิษย์พี่…”
บางทีแม้จะเป็นผู้ชายที่ซื่อมากเพียงใดในเรื่องเช่นนี้ก็คงมีพรสวรรค์ติดตัวอยู่บ้าง เพียงนางอ้าปากฝ่ายตรงข้ามกลับฉวยโอกาสส่งลิ้นเข้ามา เกี่ยวพันเข้ากับลิ้นอุ่นของนาง
การเกี่ยวรัดกันเช่นนี้มั่วชิงเฉินไม่เคยสัมผัสมาก่อน นางพยายามออกแรงผลัก แต่กลับผลักร่างที่แลดูผอมเพรียวไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออัดแน่น นางออกแรงทุบตามสัญชาตญาณ เยี่ยเทียนหยวนกลับพลิกตัวกดทับลงมา
มั่วชิงเฉินถูกจูบจนรู้สึกเวียนหัวตาลาย นิ้วมือขยับเล็กน้อย ก้อนอิฐปรากฏขึ้นในมือ
นางยกมือขึ้น ก้อนอิฐกลับนิ่งค้างไม่ร่วงลงมาเสียที สุดท้ายแล้วก็ถูกเก็บกลับไปอย่างไร้ซึ่งเสียง
‘นางเป็นอะไรไป หรือว่าถูกจูบก็จะเคยชินเช่นนั้นหรือ’
มั่วชิงเฉินคิดด้วยหัวสมองที่เริ่มมึนงง รู้สึกว่าทั้งสองคนทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง นางก็ไม่ได้ชอบเขา เหตุใดถึงยอมให้เขาล่วงเกิน…
ร่างกายที่ตึงคัดของเยี่ยเทียนหยวนผ่อนคลายลง ตอนแรกเขาเตรียมตัวรับแรงตบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ศิษย์น้องกลับเก็บก้อนอิฐลงไป
‘ทำเช่นนี้หมายความว่านาง นางก็มีใจให้ตนเช่นนั้นหรือ’
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี่ เยี่ยเทียนหยวนก็รู้สึกว่าในใจถูกเติมเต็มจนล้นปริ่ม ความอดทนเหล่านั้น ความรู้สึกในใจที่เก็บงำไว้ ความรู้สึกกระสับกระส่ายเหล่านั้นในอดีตล้วนถูกอารมณ์ยินดีบางประการขับไล่หายไปจนหมดสิ้น
ความยินดีของเขากลายเป็นการกระทำ จูบที่ยิ่งร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระหน่ำลงมาเหมือนฝนที่ตกพรำ มือที่เรียวยาวกระดูกแบ่งชัดเจนเป็นข้อประหนึ่งไผ่เรียวค่อยๆ สัมผัสเอวของคนใต้ร่าง
คนใต้ร่างส่งเสียงหอบหายใจเบาๆ เอวบางอ่อนนุ่มอย่างคาดไม่ถึง สั่นสะท้านเล็กน้อยเพราะการปลอบประโลมของเขา
เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกว่าตนเองใกล้จะระเบิดแล้ว กลับยากจะควบคุมกว่าพิษเสน่หาที่ตนเองติดกับในวันนั้นเสียอีก
ไม่รู้เนื้อตัว เสียงร้อง “อืม” ดังออกมาจากในลำคอ
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นน้อยๆ มองดูใบหน้าที่อยู่ห่างจากตนไม่ถึงคืบ
สีหน้าของเขาไม่ได้ขาวซีดเย็นชาเหมือนที่เคยเป็นมา แต่กลับย้อมด้วยสีแดงระเรื่อจากแรงอารมณ์ เหมือนกับน้ำแข็งหมื่นปีสุดท้ายก็ถูกละลายลงด้วยความเคลิบเคลิ้มแห่งห้วงกามารมย์
มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ
หัวใจเต้นแรงที่มาอย่างกะทันหันทำให้นางรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ในช่วงเวลาที่ล่องลอยอยู่นั่นเองความรู้สึกแสบร้อนก็ลามขึ้นมาจากหน้าท้อง
ความแสบร้อนนั้นโจมตีนางด้วยความร้อนรน รู้สึกเจ็บอยู่บ้างแต่กลับทำให้ใจของนางเต้นเร็วมากขึ้น
‘นางคงป่วยกระมัง หรือว่าเจ้าอู๋เย่ว์นั่นแอบวางยาพิษเสน่หาให้นางกัน’
ตอนที่มั่วชิงเฉินคิดล่องลอยไปไกลจู่ๆ ร่างกายก็พลันค้อมเข้าหากัน ยอดปทุมถันข้างหนึ่งตรงหน้าอกถูกเขาดูดดึงอยู่ในปาก
“ศิษย์พี่…” มั่วชิงเฉินเบิกตาโต แต่ภายในร่างกายกลับทีความอุ่นร้อนกระแสหนึ่งไหลเวียน พัดพาสิ่งที่นางอยากจะพูดให้ลอยหายไป สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจนอีกต่อไป
ท่ามกลางความมึนงงสับสนเสื้อผ้าถูกถอดออกที่ละชิ้น ไม่รู้ว่าเป็นของนางหรือของเขา…
“ศิษย์…ศิษย์น้อง ข้าขอได้หรือไม่…”
เสียงของเยี่ยเทียนยวนเบาเหมือนมีเหมือนไม่มี ขาดๆ หายๆ เป็นครั้งคราว แต่มั่วชิงเฉินกลับได้ยินอย่างชัดเจน
“ไม่…ได้…” ยอดปทุมถันดูกดูดดัน มั่วชิงเฉินไม่อาจพูดจนจบได้
เยี่ยเทียนหยวนชะงักงัน นี่…สุดท้ายแล้วได้ หรือไม่ได้กันแน่
ในจังหวะที่เขาไม่รู้ต้องทำเช่นไร ร่างกายของมั่วชิงเฉินก็ขยับพอดี
ความรู้สึกที่ทำให้คนขนลุกไหลพุ่งขึ้นมาจากปลายเท้า ทำให้เส้นฟางเส้นสุดท้ายที่ลังเลของเขาขาดลงในฉับพลัน
ฝ่ามือใหญ่ของเขาระลงต่ำ บีบเค้นเนื้ออวบอิ่มแสนเรียบเนียน จากนั้นก็พลิกกายคนใต้ร่างขึ้นมา สิ่งที่ปะทะคลองสายตาก็คือแผ่นหลังที่เรียบเนียนงดงาม
แววตาเยี่ยเทียนหยวนตึงเครียด ความเรียบลื่นและอ่อนละมุนบนสัมผัสมือทั้งสองข้างทำให้เขายากจะควบคุมตัวเอง เขายกร่างขึ้นมาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงไป
ในช่วงที่ถูกลมหายใจร้อนรินรดใส่ ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของมั่วชิงเฉิน นั่นคือภาพร่างสองคนที่เกี่ยวรัดพันผูกเข้าด้วยกัน
คนผู้หนึ่งผมสีเงิน นอนราบอยู่บนโขดหินใหญ่ อีกคนหนึ่งกดทับเอวของเขา สอดลึกเสียดแทงจากด้านหลัง
มั่วชิงเฉินรู้สึกเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ภายในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่าข้างหนึ่งยันเยี่ยเทียนหยวนให้กระเด็นออกไป รีบสวมเสื้อผ้าในฉับพลัน
‘สวรรค์ หากเป็นดั่งที่นางคิด ถูกเขากระทำ…เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องมีชีวิตต่อแล้ว!’
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าตะลึงพรึงเพริศ แต่กลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว สวมใสเสื้อผ้าให้เข้าที่อยู่เงียบๆ นั่งขัดสมาธิลงตรงบริเวณที่ถูกมั่วชิงเฉินถีบกระเด็นมา เม้มปากไม่พูดจา
ยามฟ้ามืด ใบหน้าที่ซีดขาวประหนึ่งแสงจันทร์ที่ส่องกระทบบนดอกไม้
มั่วชิงเฉินเองก็นั่งนิ่งเกร็งไม่พูดจา
นางรู้ว่าศิษย์พี่ลั่วหยางย่อมต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่ แต่นางจะอธิบายเช่นไร?
หรือจะบอกเขาว่า ข้ากังวลว่าท่านจะทำผิดที่เลยถีบท่านลอยออกไป หากท่าทำไม่ผิดข้าก็จะยินยอมเช่นนั้นหรือ
คำพูดนี้ตีให้ตายนางก็พูดออกมาไม่ได้
มีชีวิตอยู่ยิ่งไม่มีทางพูดออกมาได้
เช่นนั้นก็นั่งนิ่งๆ เถิด
มั่วชิงเฉินที่ตัดสินใจได้แล้วก็นั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน แล้วยังหลับตาสนิท
คิดจะบำเพ็ญตบะเป็นการฆ่าเวลา แต่กลับรู้สึกยากจะสงบจากใจจริง ไม่มีทางเข้าสู่สมาธิได้
ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางเองก็ไม่ลืมตาขึ้นมาอีก
เวลาไม่สนใจว่าคนจะรู้สึกว่ามันเดินเร็วหรือช้า ไม่ได้ไหลผ่ายเพียงเพราะของสิ่งใด ในที่สุดท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นเยี่ยเทียนหยวนนั่งนิ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล หว่างคิ้วและหางตายังมีน้ำค้างที่สั่นคลอน ขนตาของเขาก็สั่นน้อยๆ เช่นเดียวกัน
มั่วชิงเฉินรู้ว่าค่ำคืนนี้จิตใจของเขาย่อมทรมานกว่าตนเป็นแน่ แต่นางกลับไม่มีหน้าไปอธิบาย
ส่งโอสถลอกใบหน้าสีชมพูไปให้เม็ดหนึ่ง เสียงของมั่วชิงเฉินดูนิ่งสงบกว่าที่เคย “ศิษย์พี่ พวกเรากลับกันเถิด”
เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น รับโอสถลอกใบหน้าแล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล น้ำเสียงแหบแห้ง “ได้ พวกเรากลับ”
เห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินนำไป ร่างกายยืดตรงดุจต้นสน อกผ่ายไหล่ผึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดมั่วชิงเฉินถึงรู้สึกเสียใจขึ้นมา นางอ่าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
“ศิษย์พี่ วันนี้มาถึงยามประลองฝีมืออีกแล้ว ชิงเฉินขอตัว” เมื่อเข้าไปในห้อง มั่วชิงเฉินพูดจบก็รีบจากออกมา แทบจะเรียกว่าหนีหัวซุกหัวซุน
พอพ้นประตูก็พบกับถังมู่เฉินพอดิบพอดี