ที่มั่วชิงเฉินคาดเดาเช่นนี้ก็เพราะว่านิกายอิ่นซือหนึ่งในแปดนิกายสี่สำนักของดินแดนเทียนหยวน เป็นพรรคที่ทำธุรกรรมกับศพประเภทต่างๆ โดยเฉพาะ
ศึกเต๋ามารรวมไปถึงความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูร นางเคยผูกสัมพันธ์กับคนนิกายอิ่นซือมาก่อน แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนักแต่ก็เคยเห็นพวกเขาใช้ศพกำราบศัตรู เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในวันนี้แลดูคล้ายคลึงกันอยู่มากนัก
ชายชุดขาวเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ตามจังหวะการเดินของเขาแลดูเหมือนมีเสียงกระดิ่งดุจมีดุจไม่มีดังออกมา
ชายหนึ่งและหญิงหนึ่งที่มาพร้อมกับพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนกลับโยนของวิเศษเหาะลอยออกมาท่ามกลางสายตาคนมากมาย หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินได้แต่ลอบทอดถอนใจ ดูท่าทั้งสองคนมายังเสวียนโจวก็เพราะมีจุดประสงค์ที่แน่ชัด ถึงได้จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย
แต่แม้ว่านางจะมาเสวียนโจวเพื่อหาไม้สะกดวิญญาณ แต่กลับไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ที่ใด แผนการที่ดีที่สุดคือตามหาเมืองสำหรับนักฝึกบำเพ็ญเพียรเข้าพัก ไต่ถามสืบเสาะให้ละเอียด
จวบจนตอนนี้บังเอิญพบกับชายหนุ่มคุมศพที่น่าประหลาดผู้นี้ สอบถามข่าวคราวก็คงจะดี
ชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้ามาใกล้ สายตากวาดมองมั่วชิงเฉินแล้วเลยจากไป สุดท้ายหยุดอยู่ที่ร่างเยี่ยเทียนหยวน ค้อมตัวลงเล็กน้อย “ข้าน้อยเข้าพบท่านอาวุโสทั้งสอง”
เมื่อเยี่ยเทียนหยวนพบกับชายบำเพ็ญเพียรที่มีระดับต่ำกว่าตนเองยังถือว่ามีท่าทีอ่อนโยนอยู่บ้าง น้ำเสียงกดต่ำเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องมากความ”
ชายชุดขาวตะลึงไป จากนั้นมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย แต่เดิมเขาเห็นว่าพื้นที่นี้จู่ๆ ก็มีคนสี่คนปรากฏขึ้นมา แล้วยังเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสิ้น ในใจจึงเกิดนึกสงสัยอย่างมาก
นี่ถึงได้เดินเข้ามาเอ่ยทักทาย ดูท่านักบำเพ็ญเพียรสองคนที่มาจากพื้นที่อื่นอย่างเห็นได้ชัดคงจะถามอะไรบางอย่าง แต่คิดไม่ถึงว่าชายบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณผู้นี้จะพูดเพียงสี่คำ กลับทำให้ตนเองดูเหมือนเข้ามาหาเพียงเพราะทำความเคารพโดยเฉพาะ
มั่วชิงเฉินบีบมือของเยี่ยเทียนหยวนอย่างแรงทีหนึ่ง สีหน้าเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวนไม่แปรเปลี่ยน สายตากลับมองไปที่นางด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราว
มั่วชิงเฉินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ส่งยิ้มกว้างให้ชายชุดขาว “พวกเรามาจากที่ห่างไกล ขอถามสหายหน่อยได้หรือไม่ว่านี่คือที่ใด”
ชายชุดขาวเสมือนปลดภาระหนัก มุมปากยกยิ้มแข็งเกร็ง “ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลเจี่ยง”
“สหายคือคนสกุลเจี่ยงเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินท่าทีอ่อนโยนนอบน้อม
ชายชุดขาวส่ายหน้าพูดว่า “ไฉนเลยข้าน้อยจะมีโชคเช่นนั้น ข้าน้อยเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักผู้หนึ่งเท่านั้นเอง”
เห็นชายชุดขาวพูดน้อยแล้วยังบอกว่าตนเองเป็นนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก มั่วชิงเฉินเป็นคนมองทะลุปรุโปร่งมากเพียงใด มือพลิกทีหนึ่งปรากฏถุงเก็บหินวิญญาณขึ้นมาถุงหนึ่ง ส่งมอบให้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย “สหายน้อยเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก แต่กลับแตกฉานวิธีการหลอมศพถึงเพียงนี้ ช่างหาได้ยากเหลือเกิน”
ชายหนุ่มชุดขาวก็ไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล เขาเป็นเพียงนักบำเพ็ญระดับสร้างรากฐาน ได้รับมอบของจากผู้อาวุโสระดับก่อแก่นปราณ ไม่ใช่เรื่องน่าอาจอะไร และสิ่งที่ผู้อาวุโสท่านนี้อยากรู้ตนเองก็สามารถพออธิบายได้บ้าง ไม่ถือว่าเอามาโดยเสียเปล่า
คำพูดของชายหนุ่มชุดขาวเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ท่านอาวุโสทั้งสองอาจจะไม่ทราบ ตระกูลบำเพ็ญเพียรในเสวียนโจวมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่กลับมีสองตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่สุด หนึ่งคือตระกูลเว่ย อีกหนึ่งย่อมเป็นตระกูลเจี่ยงนี้แล้ว ทั้งสองตระกูลนี้ใช้วิชาหลอมศพ คุมศพจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้น้อยเคยได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสสกุลเจี่ยงท่านหนึ่งโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว ครานี้ถึงได้เดินตัดทางที่อ้อมค้อมเหล่านั้นมาได้”
มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับคำ ดวงตากรอกมอง กวาดมองไปยังกลุ่มที่เหมือนกับศพเหล่านั้นด้านหลังชายหนุ่ม
บนใบหน้าและผิวพรรณด้านนอกของศพเหล่านั้นล้วนเป็นสีดำคล้ำ ท่าทางตายด้าน ได้เพียงแต่ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ แต่กลับให้ความรู้สึกแข็งขืนออกมา
นางอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ร่างศพเช่นนี้ต่อให้เป็นคนปกติก็คงจะแยกออกด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้กลับพาพวกมันออกมาเดินอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ภาพบรรยากาศเช่นนี้ช่างน่าแปลกประหลาดเหลือเกิน
เห็นมั่วชิงเฉินมองไปข้างหลัง ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลเจี่ยงกำลังจัดงานคัดเลือกศพ ข้าน้อยจึงพาพวกพ้องเหล่านี้ไปลองโอกาสก็เท่านั้น”
“งานคัดเลือกศพ?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น โตมาขนาดนี้เคยได้ยินแต่งานคัดเลือกสาวงาม ยังไม่เคยได้ยินงานคัดเลือกศพมาก่อนเลย
ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้า “ตระกูลเจี่ยงและตระกูลเว่ยทุกๆ ห้าสิบปีจะจัดงานคัดเลือกศพครั้งหนึ่ง คัดเลือกร่างศพที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม ท่านอาวุโสเห็นพวกพ้องเหล่านี้ของข้าน้อยหรือไม่ หากว่าโชคดีถูกคัดเลือกไปสักตัวก็จะได้รับของรางวัลมหาศาล ในเสวียนโจวมีผู้คนไม่น้อยที่เลี้ยงศพ หลอมศพ แล้วขายให้กับตระกูลเว่ย ตระกูลเจี่ยงเป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพ”
เยี่ยเทียนหยวนฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด สายตาทอดมองไปยังศพเหล่านั้น
มั่วชิงเฉินยิ้มพลางพูดว่า “ขอบใจสหายน้อยที่บอกเล่า”
ชายหนุ่มชุดขาวรู้ว่าคราวนี้ถึงแก่คราวสมควรแล้ว คิดไปถึงหินวิญญาณถุงนั้น พลางพูดสมทบอีกว่า “ท่านอาวุโสทั้งสอง ตระกูลเจี่ยงอยู่ห่างออกไปจากที่นี่ทางทิศตะวันออกพันลี้ หากทั้งสองท่านสนใจก็สามารถไปดูได้ งานคัดเลือกศพในรอบห้าสิบปีก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน ข้าน้อยต้องขอลาก่อน”
ชายหนุ่มชุดขาวค้อมตัวทำความเคารพ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เสียงกระดิ่งที่ดุจมีดุจไม่มีดังขึ้นมา ศพเหล่านั้นก้าวเท้าอย่างเป็นระเบียบ เดินตามไปข้างหลังไม่ห่าง
รอจนไม่เห็นเงาของชายหนุ่มชุดขาวแล้ว มั่วชิงเฉินหันกลับมามองเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนถึงได้รู้สึกว่าตนเองจับมือศิษย์น้องเอาไว้ตลอดเวลา รีบปล่อยออก พูดขึ้นว่า “ศิษย์น้อง”
มั่วชิงเฉินยิ้มบาง “ศิษย์พี่ อยากไปดูงานคัดเลือกศพนั่นหรือไม่”
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเยี่ยเทียนหยวนถึงพูดว่า “ศิษย์น้อง ที่เจ้ามาเสวียนโจวครั้งนี้มาเพื่อตามหาของสิ่งใดหรือ”
มั่วชิงเฉินดวงตาเป็นประกาย ยิ้มอย่างรู้ทัน “เหตุใดศิษย์พี่ถึงถามเช่นนี้”
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นชา ดูแล้วเป็นปกติมากจนเกินไป แต่ติ่งหูกลับค่อยๆ แดงขึ้นเพราะรอยยิ้มอันแสนซุกซนของมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้องเจ้าไม่เคยมาสิบทวีปบูรพามาก่อน หากว่าท่องบำเพ็ญย่อมต้องพิถีพิถันเรื่องเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เจ้ากลับดึงดันจะมาเสวียนโจว เพราะเหตุนี้ยังจับจ่ายทุนทรัพย์ไปอย่างไม่เสียดาย เช่นนั้นย่อมต้องมีสิ่งที่ต้องการเป็นแน่”
“เช่นนั้นศิษย์พี่เดาว่าข้าต้องการอะไรเล่า” มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าเยี่ยเทียนหยวนที่แสร้งแสดงท่าทีปั้นปึ่งเย็นชาทั้งๆ ที่ตนเองเขินอายช่างน่าสนุกยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา
มุมปากเยี่ยเทียนหยวนยกขึ้น ดูเหมือนมองการหยอกเย้าของมั่วชิงเฉินอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดที่ในใจเหมือนมีดอกไม้สดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเบ่งบาน อารมณ์ดีอย่างมาก
“ลั่วหยางเดาว่าสิ่งที่ศิษย์น้องต้องการคือไม้สะกดวิญญาณ”
มั่วชิงเฉินตะลึงไปเล็กน้อย มองเยี่ยเทียนหยวนอย่างนิ่งอึ้ง
“ข้าเดาผิดไปแล้วหรือไม่” ใบหน้าเยี่ยเทียหยวนสะท้อนสีแดงระเรื่อขึ้นมา เหมือนว่าเปิดเผยจุดอ่อนต่อหน้ามั่วชิงเฉิน ช่างหน้าขายหน้ายิ่งนัก
มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักขึ้นมา “ศิษย์พี่ทายไม่ผิด เป็นมั่วชิงเฉินที่ตกใจไป ศิษย์พี่กลับทายถูกตั้งแต่ครั้งแรกเลย”
พูดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็เกิดความนึกสงสัยขึ้นมา “ศิษย์พี่ลั่วหยาง ท่านเดาได้อย่างไรว่าข้าต้องการตามหาไม้สะกดวิญญาณ”
เยี่ยเทียนหยวนพูดอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ “พบนักบำเพ็ญเพียรเมื่อครู่นี้ก็พาลนึกไปถึงสิ่งที่มีเขียนในหนังสือ เสวียนโจวเป็นแหล่งต้นกำเนินของนิกายอิ่นซือ นิกายอิ่นซือนับถือไม้สะกดวิญญาณเป็นของศักดิ์สิทธิ์ และในเสวียนโจวก็เป็นหนึ่งในสามพื้นที่ที่มีไม้สะกดวิญญาณ”
สาตามั่วชิงเฉินเป็นประกายจ้า
ในความคิดของนางศิษย์พี่ผู้นี้มักจะปั้นหน้าเย็นชาปั้นปึ่งให้คนเห็นตลอดเวลา แต่ยามที่เผชิญหน้ากับนางมีความทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กเพิ่มขึ้นมา แต่ตนเองกลับเส้นผมบังภูเขา ทุกคนล้วนมีหลากหลายนิสัย เพียงแต่จะแสดงด้านที่แตกต่างกันออกไปต่อหน้าคนที่ต่างกัน
ภายใต้สายตาร้อนแรงของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนใจกระตุกอย่างแรง แต่กลับกระแอมออกมาเบาๆ “ศิษย์น้อง หากเจ้าอยากจะตามหาไม้สะกดวิญญาณ ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องไปตระกูลเจี่ยง ข้ารู้ว่าที่ใดมี”
ในสายตามั่วชิงเฉิงประกายแววยินดี “อยู่ที่ใด”
เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกำลังครุ่นคิด “ข้าเคยเห็นในม้วนคัมภีร์หยกเล่มหนึ่ง บอกว่าเสวียนโจวมีพื้นที่หุบเขามังกรแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีป่าไม้สะกดวิญญาณแห่งหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นไม้สะกดวิญญาณ”
“พื้นที่หุบเขามังกร?” มั่วชิงเฉินพูดพึมพำ มุมปากอมยิ้ม “ศิษย์พี่ เช่นนั้นพวกเราไปในเมืองของผู้บำเพ็ญเพียรเสาะหาว่าพื้นที่หุบเขามังกรอยู่ที่ใด พวกเรามาจากที่ไกล และยังหัวเดียวกระเทียมลีบ สามารถหลีกเลี่ยงตระกูลบำเพ็ญตบะเหล่านั้นได้ก็หลีกไปจะดีกว่า”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าน้อยๆ เขาเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
การท่องบำเพ็ญอยู่ด้านนอกหลายปีมานี้ เพราะว่าคุณสมบัติร่างกายที่พิเศษหากไม่ถึงเวลาเข้าตาจนจริง น้อยครั้งที่เขาจะผูกสัมพันธ์กับนักบำเพ็ญเพียร แต่จะใช้ความสามารถของตนเองให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากครอบครอง
เมื่อทั้งสองคนตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็บินไปยังทิศตะวันออก
ในเมื่อตระกูลเจี่ยงอยู่ห่างออกไปกว่าพันลี้ ตรงนั้นย่อมต้องเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเป็นแน่ และยังพอดีกับงานฉลองใหญ่ การสืบหาข่าวย่อมเหมาะสมเป็นอย่างมาก
ฟ้าโล่งเมฆบาง ท้องฟ้าที่ไม่มีที่ติ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหนึ่งหญิงหนึ่งชายเดินทางตามแรงลม พวกเขาล้วนแต่งกายด้วยชุดเขียวที่เรียบง่าย แต่เสื้อผ้ากว้างใหญ่ แขนเสื้อลอยสะบัด แลให้ความรู้สึกเหมือนเซียนล่องลอย
บนพื้นชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งกำลังเดินไปตามทางด้วยความไม่รีบเร่ง เขาเหมือนจะจับสัมผัสได้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็ได้เห็นกับคู่ครองแห่งสรวงสวรรค์คู่หนึ่งกำลังโบยบินไปเหมือนเมฆลอย
เขาถอนหายใจเบาๆ ในดวงตาประกายแววอิจฉา จากนั้นก็หมุนตัวยกมือขึ้นเสียงกระดิ่งที่ดุจมีดุจไม่มียิ่งดังเร่งมากยิ่งขึ้น คนที่เหมือนศพแข็งเหล่านั้นยิ่งแสดงการกระทำเร็วมากขึ้น
“ศิษย์พี่ ข้าพบว่าดูเหมือนท่านจะอ่านม้วนคัมภีร์หยกมามาก” มั่วชิงเฉินเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็ง ยิ้มพลางถามขึ้น
เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกว่าศิษย์น้องของตนเองมีความรู้สึกสงสัยมากมายเพียงนี้ แต่กลับพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เรื่องวุ่นวายน้อย เวลาอ่านหนังสือก็ยิ่งเยอะมากขึ้น”
มั่วชิงเฉินพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เยี่ยเทียนหยวนต้องทนทรมานจากร่างพลังหยางบริสุทธิ์ บวกกับความลับของเพลิงวาสนาตะวัน ทำให้เขาเกิดนิสัยยโสโอหัง ไม่เอาใคร คนเช่นเขาเวลาส่วนใหญ่แล้วคงจะเพียงลำพังกระมัง
ฉะนั้นถึงได้มีเวลามากมายอ่านหนังสือมากจนมีวิชาความรู้มาก
เยี่ยเทียนหยวนตั้งใจบินไปข้างหน้า มั่วชิงเฉินมองใบหน้าคมด้านข้างของเขาพลางครุ่นคิดว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีนิสัยเย็นชามาแต่เดิม แต่กลับแข็งนอกอ่อนในดูน่าสนิทชิดใกล้กว่าหน่อย
“ศิษย์พี่”
เยี่ยเทียนหยวนหันข้างมาหา มองมั่วชิงเฉิน “ทำไมหรือ ศิษย์น้อง ยังอยากถามอะไรหรือ”
เจ้าคนซื่อบื้อนี่!
มั่วชิงเฉินกัดฟัน “ไม่มีอะไร ข้าจะพูดว่าใกล้ถึงแล้วกระมัง”
เยี่ยเทียนหยวนปล่อยกระแสจิตออกไปสืบเสาะอย่างจริงจัง “อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว”
“ศิษย์พี่ พวกเราต้องหลบซ่อนบำเพ็ญตบะเสียหน่อยกระมัง นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนปรากฏตัวพร้อมกันดูเหมือนจะเป็นที่ดึงความสนใจไปเสียหน่อย”
เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าค้อมรับ จากนั้นแสงวิญญาณบนร่างเป็นประกาย มองไปอีกครั้งก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานชั้นปลายแล้ว
มั่วชิงเฉินเองก็ควบคุมตบะบำเพ็ญไว้เพียงระดับสร้างรากฐานชั้นปลายเช่นเดียวกัน
“ศิษย์พี่ คราวนี้ตบะบำเพ็ญของพวกเราก็ถือว่าเท่ากันแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มแย้มพูดขึ้นมา
เยี่ยเทียนหยวนกระตุริมฝีปากอย่างยากจะหาได้พบ “ศิษย์น้อง นี่มันเป็นของปลอม”
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก “เช่นนั้นศิษย์พี่ลองดูก็ได้ว่าพวกเราใครจะไปถึงระดับก่อกำเนิดก่อน”
นางพูดล้อเล่นแต่ในใจกลับรู้สึกจริงจังอยู่บ้าง ไม่ว่าหลังจากนี้ไปทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์เช่นไร นางก็ไม่คิดจะอยู่ข้างหลังเขาตลอดไป มักจะเงยหน้าขึ้นมองตบะบำเพ็ญของเขา
บางทีตอนนี้นางยังห่างจากเขาอยู่มาก เขาเข้าถึงระดับก่อกำเนิดก่อนตนเองย่อมเป็นเรื่องแน่นอน แต่นี่ก็ไม่อาจขวางกั้นการตัดสินใจและความมั่นใจในการไล่ตามของนาง
แต่เดิมคิดว่าเยี่ยเทียนหยวนจะหัวเราะที่นางคุยโวโอ้ออวดอย่างไม่รู้สึกละอายใจ ใครจะรู้ว่าเขาเพียงยื่นมือออกมา ลูบผมนางอย่างไม่รู้ตัว “ดี ข้าเองก็จะไม่เกียจคร้าน”