ทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งก็คือพื้นที่บริเวณกลางจันทร์เสี้ยวที่มั่วชิงเฉินวาดเอาไว้ มีพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง ทุกๆ ครึ่งชั่วยามจะเปลี่ยนครั้งหนึ่ง
จากนั้นมั่วชิงเฉินคำนวณเวลาเอาไว้แล้ว ตอนนี้รีบวิ่งไปที่นั้นก็พอดีกับช่วงเวลาที่ไม่มีปราณมังกร เข้าไปฟื้นบำรุงพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ในที่แห่งนั้นถึงจะสามารถยืนหยัดให้พวกเขาไปยังที่ต่อไปได้
นักบวชยกมั่วชิงเฉินวิ่งไปยังที่แห่งนั้น จากนั้นก็วางเขาลง พลางส่งยิ้มไร้เดียงสา “โยม ถึงแล้ว”
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “หลังจากนี้ถ้าจะวิ่ง ขอให้เจ้าอย่ายกข้าอีกได้หรือไม่”
นักบวชยิ้มด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องราว “โยม เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว”
มั่วชิงเฉินกรอกตามองบน “ได้ เจ้ารีบใช้เวลาฟื้นบำรุงพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์โดยเร็วเถิด การลอบโจมตีเมื่อครู่นี้เกินเวลาไปอยู่บ้าง ที่แห่งนี้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถูกปราณมังกรปกคลุมจนมิดแล้ว”
เห็นนักบวชนั่งยกขาขัดสมาธิ เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นดอกบัวสีทองหนึ่งดอกปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้างของเขาสะท้อนแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เขาหลับตาท่องบทสวดมนต์ที่แปลกประหลาดยากสืบต่อ รอบกายมีแสงสีขาวบางล้อมรอบ สุขุมนุ่มลึกอยู่ในที ทำให้คนมองเกิดรู้สึกบริสุทธิ์อย่างยากจะสบประมาท
มั่วชิงเฉินแอบคิดแปลกใจนักบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณเป็นเช่นนี้หรืออย่างไร นักบวชน้อยผู้นี้ปกติดูแลซื่อบื้อ บางครั้งก็ยังมีความเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่หากเมื่อเขานั่งเรียบร้อยเป็นระเบียบหลับตาสวดมนต์กลับวางพระพุทธไว้เพียงลำพังนอกสังคมโลกีย์
สิ่งโสมมเป็นหมื่นพัน ก็ไม่อาจระรานเขา
นักบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณทั้งหมดเป็นเช่นนี้หรือว่ามีเพียงนักบวชน้อยผู้นี้คนฉลาดมีความสามารถมักไม่แสดงตนออกมา ความเฉลียวปักซ่อนอยู่ลึก
มั่วชิงเฉินเข้าใจต่อนักบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณน้อยอย่างมาก แม้แต่ตบะบำเพ็ญตอนนี้ของนักบวชน้อย แท้จริงแล้วเท่ากับระดับใดของนักบำเพ็ญเพียรสายเต๋านางเองก็ไม่สามารถบอกได้ เหมือนจะเคยเห็นจากม้วนคัมภีร์หยกบางเล่มมาก่อน ระบบนักบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณ นักบำเพ็ญเพียรสายเต๋า นักบำเพ็ญเพียรสายมาร และนักบำเพ็ญเพียรสายปราชญ์ล้วนไม่เหมือนกัน ไม่ได้แบ่งออกเป็นสร้างรากฐาน ก่อแก่นปราณจำพวกนี้ สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญคือบุญกุศลและความเชื่อมันเหล่านี้ที่คนอื่นมองเป็นเรื่องเพ้อฝันลวงตา
มั่วชิงเฉินกลืนโอสถหิมะไหลที่เอาไว้รักษาอาการบาดเจ็บภายในโดยเฉพาะลงไปเม็ดหนึ่ง ความรู้สึกเย็นสบายแพร่กระจายจากกลางท้องไหลผ่านแขนขาองคาพยพไม่นานก็รู้สึกสบายขึ้นอย่างมาก ความรู้สึกเจ็บปวดค่อยๆ ลดลงไป รอจนใกล้ถึงเวลาอาการบาดเจ็บที่แต่เดิมไม่ได้รุนแรงมากนักก็หายดีไปกว่าครึ่ง
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือต่อเมื่อมาถึงพื้นที่โล่งอีกแห่งหนึ่งก็เป็นยามอู่หนึ่งเค่อพอดี
เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ได้รับการฟื้นบำรุงพลังพุทธญาณอีกราวหนึ่งชั่วยาม ณ ที่แห่งนี้ พอดีกับการที่นำพาทั้งสองคนไปยังพื้นที่โล่งด้านเหนือสุดของรูปจันทร์เสี้ยวแล้วถึงได้สบายใจขึ้นมา
“เจ้าเผชิญหน้ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายสามารถเอาชีวิตรอดได้หรือไม่” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ถามขึ้น
นักบวชตะลึงงัน จากนั้นก็พยักหน้า “พอฝืนได้”
มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจ “เช่นนั้นเจ้ารีบฟื้นบำรุงพลังพุทธญาณให้เมฆทองบัวศักดิ์สิทธิ์ รอฟื้นฟูจนเต็มที่แล้วพวกเรารีบกลับไปทันที”
“ยังจะต้องกลับหรือ?” นักบวชน้อยเบิกตาโต
ริมฝีปากมั่วชิงเฉินกระตุก “มิเช่นนั้นเล่า เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้ยินบทสนทนาของคนกลุ่มนั้นหรืออย่างไร พวกเขามีน้องหกที่ไม่นานจะเอาสมบัติล้ำค่าชื่อว่าไม้เท้ากลืนมังกรมาให้ รอจนถึงตอนนั้นพวกเขาจะเข้ามาในนี้ได้ เกรงว่าพวกเราคงต้องหนีเอาชีวิตรอดอย่างน่าเวทนาแล้ว ฉะนั้นจะต้องใช้เวลาช่วงนี้พยายามกำจัดทั้งสามคนนั้นให้ได้”
นักบวชน้อยส่ายหน้าเป็นพัลวัน “นอกจากนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางผู้นั้น ยังมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายอีกสองคน โยมย่อมรับมือไม่ไหวเป็นแน่”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าคำพูดของนักบวชไม่ผิด จากความสามารถของนางตอนนี้เอาของวิเศษและวิชาลับทั้งหมดมาใช้สามารถฝืนสู้กับนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายได้หนึ่งคน หากต้องรับมือกับนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายหนึ่งคนและนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นกลางอีกหนึ่งคนนั่นก็มีแต่มอบความตายไปให้เท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถหลบซ่อนอยู่ในปราณมังกรได้ ใช้ปราณแห่งลมหายใจมังกรปิดบัง หากว่าสู้กันขึ้นมาจริงก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิต แต่หากอีกฝ่ายเข้ามาในนี้ได้เช่นกัน พวกเขาก็จะสูญเสียข้อได้เปรียบทั้งหมดไป จะหลบก็ยังไม่มีที่ให้หลบ
อย่างน้อยจะต้องกำจัดนักบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายหนึ่งคนก่อนที่น้องหกอะไรนั่นจะมา!
มั่วชิงเฉินวางเป้าหมาย ในหัวรีบคิดเป็นพัลวัน
ครึ่งวันผ่านไป แสงอาทิตย์ยามสายัณห์หายลับฟ้า แสงดาวยังคงมืดมิด ท้องฟ้ากลับโล่งแจ่มใส แต่ร่างเงาตะคุ่มที่มองลอดผ่านไออากาศสีม่วงอมเขียวออกไปแลดูไม่สมจริง เหมือนว่ามีม่านบางคอยกางกั้น
มั่วชิงเฉินและนักบวชน้อยหลบซ่อนอยู่ในไออากาศสีม่วงอมเขียว ทอดสายตามองสามคนที่นั่งล้อมรอบอยู่ด้านนอก
สูญเสียพี่น้องไปแล้วสองคน ทั้งสามคนนั้นดูเหนื่อยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ต่างฝ่ายต่างหันหน้าไปคนละทางสังเกตความเคลื่อนไหว
“พี่ใหญ่ เจ้าลาหัวล้านกับเด็กบ้านั่นคงไม่กลับออกมาเร็วขนาดนั้นกระมัง” ชายหนวดครึ้มรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาจนคอเริ่มรู้สึกเกร็ง
ชายหนุ่มหน้าซีดขาวพูดเสียงเย็น “น้องสาม จุดจบของน้องสี่และน้องห้าเจ้าก็เห็นหมดแล้วใช่หรือไม่ เจ้าลาหัวล้านนั่นก็ยังแล้วไป แต่เจ้าเด็กบ้านั่นกลับใจคอโหดเ**้ยมฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ เจ้าเล่ห์เพทุบาย หากข้าเป็นนางย่อมต้องลงมือลอบทำร้ายอีกครั้งในช่วงเวลานี้เป็นแน่ เพราะหากรอให้น้องหกมาถึงก็จะเป็นเวลาตายของพวกเขา!”
มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ เป็นไปตามที่คิดไว้ มีเพียงหัวหน้าที่สติปัญญาเป็นปกติ นอกนั้นล้วนอยู่ต่ำกว่าเส้นมาตรฐาน หากเป็นนิยาย เป็นเรื่องในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ที่สามารถฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับก่อแก่นปราณได้จะเป็นเพียงคนไม่เอาไหนได้อย่างไร!
เสียงที่แฝงความโกรธแค้นของชายหนวดครึ้มลอยมา “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว เป็นน้องสามที่เลอะเลือนไปเอง พี่ใหญ่ น้องสี่พูดถูก เจ้าเด็กบ้านั้นไม่อาจปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้! ข้าจะต้องทำลายพรหมจารีของนางให้ได้ แล้วค่อยทำลายตบะบำเพ็ญของนาง เอาไปขายในหอนางโลมให้ได้!”
มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่น นางผิดไปแล้ว ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ยังมีอีกตั้งมากมายที่เป็นพวกตะกรันกากไม่ควรค่าถูกเรียกว่ามนุษย์!
ชายหนุ่มหน้าเหลืองแค่นยิ้มพูดว่า “น้องสาม เจ้ามักจะเอาจริงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คิดจะแก้แค้นให้น้องสี่และน้องห้า พวกเราสามคนก็มาพอกับเจ้าเด็กบ้านั่นแล้ว เอาไปขายหอนางโลมทำไมหัน หรือเจ้าไม่รู้จักคำว่าถอนรากถอนโคนอย่างนั้นหรือ”
ชายหนวดครึ้มยิ้มกว้าง “เพียงแต่รู้สึกว่าเสียเปรียบเจ้าเด็กบ้านั่นเกินไปต่างหาก! พวกเราพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่ร่วมสาบานกันก็สามัคคีสมัครสมานกันจนถึงวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมาเรือล่มในหนอง ตกอยู่ในกำมือเจ้าเด็กบ้าคนหนึ่ง…พี่ใหญ่ ท่านดูตรงนั้น!”
ชายหนวดครึ้มยื่นนิ้วชี้ออกไป สีหน้าตื่นเต้นแล้วยังแฝงความไม่คิดเชื่อเอาไว้
อีกสองคนที่เหลือมองไปตามทางที่นิ้วชี้ เห็นว่านักบวชที่สวมใส่ชุดบวชสีขาวนวลมุดออกมากจากไออากาศสีม่วงอมเขียว วิ่งเบี่ยงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของก้นผาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหน้าเหลืองขยับขาวิ่งไล่ตามเงาร่างสีขาวอย่างรวดเร็วดุจดาวตก
ชายหนวดครึ้มนำเอาขวานยักษ์ออกมา เห็นนักฝึกบำเพ็ญเพียรหน้าตาซีดขาวยืดกายตรง แต่ฝีเท้ากลับไม่ขยับ เขาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่ไล่ตาม”
นักฝึกบำเพ็ญเพียรหน้าตาซีดขาวเม้มปาก “รอดูก่อน ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวไม่ง่ายเช่นนี้ อีกอย่างหากเป็นนักบวชจริง ให้น้องสองไปขวางเขาไว้ชั่วคราวย่อมไม่ใช่ปัญหา”
เพิ่งพูดจบก็หมุนตัวในฉับพลัน เห็นว่าในทิศทางตรงกันข้ามก็มีนักบวชที่สวมใส่ชุดบวชสีขาวนวลกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต หัวล้านที่เคลื่อนไหวไปมาและแผ่นหลังที่คุ้นเคย เหมือนกับร่างของนักบวชที่เพิ่งวิ่งออกมาเมื่อครู่นี้เหมือนคัดลอก
“เป็นเช่นนี้จริงด้วย!” นักฝึกบำเพ็ญเพียรหน้าตาซีดขาวส่งเสียงฮึดฮัด สืบฝีเท้าไล่ตามไป
ชายหนวดครึ้มตะลึงงัน มองไปทางนั้น และหันกลับมามองทางนี้ สุดท้ายตัดสินใจวิ่งไปทิศที่พี่ใหญ่เพิ่งจากไป
ในเวลานี้เองเสียงใสก็ตะโกนลอยมา “จะวิ่งไปไหน!”
ชายหนวดครึ้มหันกลับมา ถลึงตาโตด้วยความโมโห ตะคอกเสียงดัง “พี่ใหญ่ ข้าไปฆ่าเจ้าเด็กบ้านั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะไปช่วยท่านเดี๋ยวนี้!”
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณซึ่งมีสีหน้าออกเหลืองใกล้ไล่ถึงตัวนักบวช ธงสีดำในมือของเขาปะทะแรงลมจนเกิดเสียง บนนั้นปักรูปอีแร้งสีทองตัวหนึ่งเอาไว้
เคล็ดวิญญาณถูกปล่อยออกไป จู่ๆ ผืนธงปลิวไสวหมุนเคว้ง กลายเป็นพายุเย็นพุ่งไปข้างหน้า
ในเวลานี้เองนักบวชที่วิ่งหนีมาตลอดจู่ๆ ก็หันกลับมา เผยรอยยิ้มให้ได้เห็น
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณซึ่งมีสีหน้าออกเหลืองตะลึงไป รอยยิ้มนี้ เหตุใดมองดูแล้วถึงได้ดูเจ้าเล่ห์นัก?
สัญชาตญาณบอกว่าไม่ถูกต้อง จู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาเสียงเย็น นิ้วมือถูกดีดติดต่อกัน แสงวิญญาณหลากหลายกระแสหายเข้าไปในผืนธง อีแร้งทองบนผืนธงส่งเสียงร้องแหลมออกมาทีหนึ่ง ยื่นกรงเล็บแหลมออกมาจับหัวล้านของนักบวชเอาไว้
ร่างนักบวชน้อยไม่ขยับ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีเข่งปุ๋ยขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา เขางกๆ เงิ่นๆ พยายามออกกำลังทั้งหมดที่มีโยนมาทางนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขยับมือ ผืนธงยกขึ้นสูงตามการกระทำ ทันใดนั้นก็ขยายใหญ่ออกมาเป็นผืนธงยักษ์ผืนหนึ่งครอบคลุมทุกอย่างเข้าไป
มุมปากเขามีรอยยิ้มเย็นประดับ เพราะกรงเล็บแหลมคมทั้งสองข้างของอีแร้งทองตัวนั้นจับคอเสื้อของนักบวชเอาไว้ได้
แต่หลังจากนั้นรอยยิ้มก็ต้องแข็งค้าง นักบวชที่อยู่ไม่ไกลแสดงรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ
อีแร้งสีทองที่บินออกไปจู่ๆ ก็สูญเสียเป้าหมายในการโจมตี กลายเป็นงงงวย หัวสมองหันกรอกกลับไปมาส่งเสียงร้องล่องลอย
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณซึ่งมีสีหน้าออกเหลืองนิ่งค้าง แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าจะขับเคลื่อนกระแสจิตออกไปมั่วซั่ว
ยังไม่ทันรอให้เขามีปฏิกิริยาขั้นต่อไป เสียงดังสนั่นก้องก็ลอยมาให้ได้ยิน ผืนธงที่คลุมเข่งปุ๋ยยักษ์สะบัดออกและหดตัวกลับมา หดกลับมาและสะบัดออกเป็นอยู่เช่นนี้หลายครั้ง และระเบิดอย่างรุนแรงตอนที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณตกอยู่ในภวังค์ความตื่นตะลึงอย่างแรงกล้า
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณซึ่งมีสีหน้าออกเหลืองกระอักเลือกออกมาระลอกใหญ่ พุ่งออกไปไกลกว่าสามนิ้ว จากนั้นร่างกายก็ล้มลงไปด้วยความอ่อนแรง สันชาตญาณการต่อสู้ที่สั่งสมมานานหลายปีทำให้เขาปักธงลงบนพื้น ประคองร่างให้มั่นคง
ในเวลานี้เองเสียงดังสนั่นกึกก้องลอยมาจากที่ห่างไกลให้ได้ยินอีกครั้ง
ควันหนารอบข้างฟุ้งกระจาย นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณซึ่งมีสีหน้าออกเหลืองใช้ธงประคองตัวเองเอาไว้ รีบวิ่งกลับไป
“พี่สอง ท่านเป็นอะไร!” ท่ามกลางหมอกควัน ชายหนวดครึ้มผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาหา เห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าเหลืองมีสีหน้าซีดขาว แฝงความตื่นตะลึง
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าเหลืองน้ำเสียงอ่อนแรง “ติดกับดักแล้ว สมบัติวิเศษเจ้าชะตาของข้าถูกทำลายไปไม่น้อย อาการบาดเจ็บสาหัสนัก เจ้ามาได้อย่างไร”
ชายหนวดครึ้มพูดด้วยความโมโห “พี่สอง เจ้าลาหัวล้านที่ท่านไล่ตามไปเป็นตัวปลอม พี่ใหญ่ไล่ตามเจ้าลาหัวล้านตัวจริงไปแล้ว ข้ามาหาท่าน”
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าเหลืองกัดฟันพูด “ช่างเจ้าเล่ห์นัก น้องสาม พวกเรารีบไป เมื่อครู่นี้มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกแล้ว พี่ใหญ่อย่าได้ติดกับดักของอีกฝ่ายจะดีกว่า…น้องสาม!”
ปลายเสียงของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าเหลืองสั่นเครือ ก้มลงไปมองหน้าอกของตนเองในฉับพลัน
กริชสีงาข้างเล่มหนึ่งจมหายเจ้าไปในหน้าอก จากนั้นก็ถูกดึงออก เลือดกระอักพุ่งออกมา ร่างของเขาซวนเซไปข้างหลังหนึ่งก้าว “น้องสาม เพราะเหตุใด”
ชายหนวดครึ้มยิ้มบาง “เพราะข้าไม่ใช่น้องสามของเจ้า ฉะนั้นเจ้าอย่าเสียใจไป พวกเจ้ายังคงเป็นพี่น้องที่ดี ยังมีโอกาสได้เจอหน้ากัน”
พูดจบก็ไม่หันไปมองนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหน้าเหลืองอีก หมุนตัววิ่งกลับไป