สายตานั้น มองเสียจนมั่วชิงเฉินขวัญกระเจิง
แล้วนางก็เป็นคนประเภทที่ยิ่งเผชิญหน้ากับความกดดันก็ยิ่งสงบนิ่งเด็ดขาดเสียด้วย
มุกผูกมัดใจเดียวพลันกะพริบวาบแสงสว่างเลือนลาง เยี่ยเทียนหยวนพลันปรากฏกายตรงหน้านาง
โอสถคงสภาพสีแดงอ่อนไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นบนมือเมื่อใด ขณะที่คว้าจับมือของเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้นั้น ก็นำเอาโอสถคงสภาพป้อนเข้าให้เขาทันที
อาศัยพลังวิญญาณชักนำ บังคับให้โอสถคงสภาพแตกตัว แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “ศิษย์พี่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
บาดแผลสีแสงสดสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่ลำคอของเขา บาดแผลนั้นลึกเสียจนมั่วชิงเฉินอกสั่นขวัญหาย นางยื่นมือออกไปหยุดโลหิตที่ทะลักออกมาไม่หยุดนั่น เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกทิ่มแทง
ริมฝีปากของเยี่ยเทียนหยวนขมุบขมิบ บาดแผลที่ลำคอนั้นทำให้เขาส่งเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงหายใจอย่างแผ่วเบา
“ศิษย์น้อง”
จากรูปปากของเขา มั่วชิงเฉินทราบได้ว่าสองคำนั้นคือคำใด นางยื่นมือออกไปปิดปากเขาเอาไว้ โลหิตไหลตามนิ้วนางลงมา ทั้งที่ควรจะอุ่นร้อน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บถึงกระดูก
“ศิษย์พี่ ท่านอย่าเพิ่งเอ่ยอันใด ท่านต้องพักผ่อน” มั่วชิงเฉินพึมพำออกมา เสียงของนางเอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับมิใช่เสียงของตัวนางเอง
เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นราวกับเต็มไปด้วยดวงดารา สว่างไสวเสียจนทำให้คนหวาดหวั่น เขาอ้าปากออก ก่อนเอ่ยออกมาหลายคำอย่างไร้เสียง “มีชีวิตต่อไป รอข้า…”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนนั้นจะจากไปก่อน เขานึกว่าตนนั้นจะสามารถเคียงข้างนางข้ามผ่านหนทางแห่งอุปสรรคทุกอย่าง มองดูทัศนียภาพที่งดงามที่สุด
เช่นนั้น ศิษย์น้อง เจ้าจะต้องมีชีวิตต่อไป มีชีวิตยืนนานยืดยาว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณบำเพ็ญเพียรหรือว่าเกิดใหม่ ข้าก็จะต้องมาตามหาเจ้า
เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งอีกครา ราวกับจะจดจำใบหน้างดงามเป็นเอกของนางไว้ให้ลึกถึงจิตวิญญาณ ไม่มีวันลืมเลือน
ต่อมา ดวงตาสุกสกาวที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้นก็ค่อยๆ ปิดลง ขนตายาวนั้นทอดเงาหนาบนใบหน้าที่เยือกเย็นราวหิมะ
มั่วชิงเฉินเงยหน้า นางอุ้มเขาค่อยๆ ยืนขึ้น ดวงตาบังเกิดไฟลุกโชน เผาไหม้โหมกระหน่ำ สายตานางทอดตกลงบนกายของมั่วเฉี่ยนหนิงอย่างเยือกเย็นไร้อุณหภูมิ
สำนักซู่ซินนั้น หากศิษย์พี่เกิดเรื่องใด วันหน้าข้ามั่วชิงเฉินจักต้องสังหารให้สิ้น!
อาภรณ์สีครามที่ชุ่มไปด้วยสีแดง โลหิตที่แห้งกรังไปแล้วคือโลหิตของนาง โลหิตที่ยังคงไหลอาบคือโลหิตของศิษย์พี่ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นหมอกเบาบางตกลงสู่ใต้ฝ่าเท้า มั่วชิงเฉินกระโดดข้ามไป
มั่วเฉี่ยนหนิงมองอยู่เงียบๆ นางไม่เสียใจที่ได้สังหารชายที่แหกกฎเกณฑ์ผู้นั้นเสีย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้สามารถบุกทะลวงค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลได้
เมื่อมองปราดนั้น นางก็มองเห็นความโกรธแค้นไร้ขอบเขต ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ล้วนรู้สึกหนาวเหน็บเช่นกัน
เดิมนางไม่มีเหตุผลจะสังหารหญิงผู้นี้ แต่เมื่ออายุใกล้ถึงฝั่งแล้ว รอจนนางโรยราในภายหลัง เกรงว่าหญิงผู้นี้จักต้องชักคำภัยพิบัติไม่น้อยมาสู่สำนักซู่ซินเป็นแน่
ถ้าอย่างนั้นก็เก็บนางไว้เถิด ไม่ต้องสังหารนาง แต่ก็อย่าปล่อยนางจากไปที่ใด!
มั่วเฉี่ยนหนิงสะบัดแขนเสื้อ เมฆก้อนหนึ่งก็ติดตามมั่วชิงเฉินไป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายก็มิอาจต้านทานได้ นับประสากระไรกับมั่วชิวเฉิน
นางโอบกอดเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้แน่น ก่อนมองไปที่มั่วเฉี่ยนหนิงด้วยสายตาเย็นชา ปลายนิ้วของนางดีดเส้นไหมสีครามออกมา
ควันสีขาวพวยพุ่งออกมา ขวางกั้นหมู่เมฆเบื้องหน้าเอาไว้ ก่อนปรากฏร่างของผู้หญิงอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งออกมาช้าๆ เข็มขัดสีแดงที่ผูกอยู่ข้างเอวนางราวกับเพลิงไฟ ดึงดูดสายตาทุกผู้คน
สีหน้าของมั่วเฉี่ยนหนิงเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง ภายใต้ความตกใจ นางคุกเข่าลงอย่างควบคุมไม่ได้ เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านบรรพชน…“
บรรดาลูกศิษย์ของสำนักซู่ซินต่างก็ตกตะลึง แต่กลับรีบทำความเคารพตามนาง
ทว่ามั่วชิงเฉินนั้นได้อาศัยไหมเกล็ดน้ำแข็งจากไปไกลแล้ว ไม่มีผู้ใดใส่ใจ
นางกอดเอาเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นเย็นขึ้นทุกขณะ ชั่วเวลาหนึ่งนางไม่รู้ว่าควรไปที่ใด ทราบแต่เพียงว่าต้องเร่งรุดไปให้ไกลจากเกาะราชันย์พำนัก และก็ไม่มีทางจะกลับไปยังเมืองหลิวเยียน!
ขอบฟ้า มีแสงสีเขียวสว่างวาบผ่านไป
ที่ท่าเรือมีคนผู้หนึ่งเงยหน้าพรวดพราด ก่อนตะโกนสุดเสียง “หู่โถว นั่นคือชิงเฉิน!”
หู่โถวลืมตาโต “เป็นชิงเฉินจริงๆ นางจะไปที่ใดกัน”
ถังมู่เฉินตบศีรษะไร้ผมของหู่โถวฉาดหนึ่ง “อย่าพูดมาก พวกเรารีบตามไป พวกแม่ชีเฒ่าแห่งสำนักซู่ซินนั่นต้องทำเรื่องไม่ดีเอาไว้แน่ ข้าว่าที่ชิงเฉินโอบกอดอยู่คล้ายกับสหายลั่วหยางอย่างมาก”
ทั้งสองวางเท้าบนอาวุธวิเศษเหาะเหิน เพื่อติดตามมั่วชิงเฉินไป แต่มั่วชิงเฉินไม่ทราบเรื่องนี้ นางเร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งอย่างสุดแรง บินข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ ไม่รู้ว่าบินอยู่นานเท่าใด ในที่สุดก็เห็นเกาะเล็กๆ ก่อนจะถลาลง
นางค่อยๆ วางเยี่ยเทียนหยวนลง มองดวงตาที่ปิดสนิทของเขา ก่อนเม้มริมฝีปากแน่น ในที่สุดความตื่นตระหนกใหญ่หลวงก็แผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของนาง
“ศิษย์พี่ ท่านตื่นสักหน่อยเถิด” มั่วชิงเฉินยื่นมือเย็นเฉียบออกไป ลูบไล้ใบหน้าของเขาทุกตารางนิ้ว “ศิษย์พี่ ท่านรับประทานโอสถคงสภาพไปแล้ว ต้องไม่เป็นไรแน่”
นางก้มหน้าเอ่ย ไม่รู้ว่าบอกกับเยี่ยเทียนหยวน หรือว่าบอกกับตนเอง
โอสถคงสภาพนั้นเป็นยาลูกกลอนที่มีชื่อนัก บาดแผลใดๆ ก็ตามหลังจากที่รับประทานเข้าไปแล้วล้วนสามารถรักษาสภาพนั้นไว้ได้ ไม่ร้ายแรงขึ้น แน่นอนว่าก็ไม่ดีขึ้นเช่นกัน
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต บางคราการคงสภาพบาดแผลไว้ หมายความถึงความเป็นไปได้อันไร้สิ้นสุด ดังนั้นโอสถคงสภาพนั้นก็มีคุณค่าหาซื้อไม่ได้ นางหลอมยาเหล่านี้ออกมาเพื่อท่านปู่ในปีนั้นนั่นเอง
หลับตาลง มั่วชิงเฉินนำนิ้วไปอังใต้จมูกของเยี่ยเทียนหยวน ที่ตรงนั้นเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งลมหายใจใด
มั่วชิงเฉินตัวแข็ง นางมองไปยังใบหน้าราวกับหยกสลักของเยี่ยเทียนหยวนนิ่ง
ภาพฉากในห้วงเวลานั้นปรากฏขึ้นในความคิดของนางอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโจมตีคราหนึ่ง เขาหลับตาลง สีหน้าสงบนิ่ง รวมถึงบุปผาโลหิตงดงามที่หลั่งรินจากลำคอนั้น
เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่ศิษย์พี่รับโอสถคงสภาพไปนั้นยังตะโกนเรียกศิษย์น้องอยู่เลย ขอเพียงขณะนั้นเขายังไม่ตาย บาดแผลก็ควรคงสภาพ ณ ตอนนั้นเอาไว้ เขาจะตายลงภายใต้การป้องกันและการปกปิดจากค่ายกลทั้งสองได้อย่างไร มั่วชิงเฉินเอนกายลง เอียงกายโอบกอดเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ สิบนิ้วประสาน ริมฝีปากไร้สีเลือดของนางประกบเข้ากับริมฝีปากสีขาวซีดเย็นเฉียบของเขา
พลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายเขาผ่านปลายนิ้ว เพลิงแก้วใจกระจ่างถาโถมออกมาจากปาก พุ่งเข้าสู่ริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างชำนาญและแผ่วเบา หลั่งรินเข้าสู่กายอย่างอบอุ่น
พลังวิญญาณในชีพจรของเยี่ยเทียนหยวนนั้นเหือดแห้งไปแล้ว เพลิงวาสนาตะวันมิได้โผขึ้นมาต้อนรับเยี่ยงปกติ แต่กลับส่งเสียงแสดงความยินดียามที่เพลิงแก้วใจกระจ่างเคลื่อนเข้าไปสู่ด้านใน
ในกายเขานั้นว่างเปล่านัก เพลิงแก้วใจกระจ่างก็ราวกับอาคันตุกะผู้เย็นชา มันล่องลอยในกายเขาอย่างไร้แผนการ
สีหน้าของมั่วชิงเฉินซีดขาว นางใช้จิตสัมผัสบังคับให้เพลิงแก้วใจกระจ่างเข้าสู่จุดตันเถียนของเยี่ยเทียนหยวน
ในเวลาอันสั้น สำหรับมั่วชิงเฉินแล้วมันช่างเนิ่นนานนัก เพลิงแก้วใจกระจ่างมาถึงยังจุดตันเถียนและวนเวียนไปมา นางกลัวเหลือเกิน กลัวว่าหากเข้าไปแล้วจะมองเห็นจุดตันเถียนที่ว่างเปล่า กลัวว่าจะใช้พลังมหาศาลพลิกสถานการณ์ช่วยเหลือเขาเอาไว้ไม่ได้!
บนจุดตันเถียน เปลวไฟขนาดเท่าเมล็ดถั่วลอยละล่องอยู่นิ่งๆ เปล่งแสงสีม่วงออกมาอ่อนจาง
ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมาจากมุมดวงตาของมั่วชิงเฉิน ตกกระทบลงบนใบหน้าที่เย็นเฉียบของเยี่ยเทียนหยวนอย่างเงียบเชียบ
ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านจะไม่ตาย!
เพลิงแก้วใจกระจ่างเคลื่อนเข้าไปกอดกระหวัดรัดเกี่ยวกับเพลิงวาสนาตะวันผู้อ่อนแรง
ไฟทั้งสองโรมรันเข้าด้วยกัน แสงสว่างไหววาบ บางครั้งก็เป็นสีฟ้า บางครั้งก็เป็นสีม่วง และเปลวไฟสีม่วงก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามกาลเวลาที่ผันผ่าน
เพลิงแก้วใจกระจ่างอีกกลุ่มหนึ่งโถมขึ้นมา กลืนๆ คายๆ เมื่อรวมเข้ากับเพลิงวาสนาตะวันแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็มีขนาดเท่ากำปั้น นางแยกส่วนหนึ่งออกมาไว้ที่จุดตันเถียน อีกส่วนหนึ่งติดตามเพลิงแก้วใจกระจ่างดำเนินไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แขนขาทั้งหมดไม่มีจุดใดที่ไม่ไหลผ่าน สุดท้าย ก็ค่อยๆ รวมตัวอยู่ด้านล่างของท้องน้อย
มั่วชิงเฉินชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ไฟจริงของทั้งสองต่างดึงดูดเข้าหากัน มีเพียงการเคลื่อนเปลวไฟเข้าสู่ร่างกายนาง แล้วหมุนวนมันกลับมาที่ร่างกายเขา ผสมผสานกันอย่างแนบชิดเท่านั้น จึงจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งรอบ การรักษาถึงจะสัมฤทธิ์ผลอย่างอัศจรรย์
นางหลุบสายตาลงมาปลดอาภรณ์ของเยี่ยเทียนหยวน ลูบไล้อย่างนิ่มนวล เพลิงแก้วใจกระจ่างที่ออกจากปลายนิ้วเข้ารวมตัวกับดวงไฟที่อยู่ ณ ท้องน้อยในร่างกายเขา จุดนั้นค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
นางค่อยๆ ยื่นมือไปปลดกระโปรงของตน ทั่วทั้งกายนางมีบาดแผลนับร้อยนับพัน บ้างก็ลึกบ้างก็ตื้น บางส่วนเผยให้เห็นเลือดเนื้อที่ชอกช้ำและซีดขาว อาภรณ์ที่ขาดวิ่นแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับเลือดเนื้อนาง
เมื่อฉีกทึ้งเสื้อผ้าก็เจ็บปวดเสียจนนางขมวดคิ้ว หลังจากนั้นก็ดึงรั้งอาภรณ์อย่างรุนแรงโดยไม่ลังเลก่อนโยนไว้ด้านข้าง นางไม่ได้ส่งเสียงใด แต่เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง
นางที่ไม่มีแม้ความลังเล ค่อยๆ เอนตัวเข้ามา กอดเอวเขาไว้ เพื่อให้เขาความอบอุ่นของเขาค่อยๆ เข้าสู่ร่างกายตน เข้าสู่ชะตาชีวิตตน
ไฟจริงนั้นราวกับหาที่ระบายความอัดอั้นพบแล้ว มันเข้าสู่ร่างกายของมั่วชิงเฉินตามกายที่ประสานของทั้งคู่ มันเข้าสู่กายฝ่ายตรงข้ามทางริมฝีปากที่เชื่อมต่อกัน เสาะหาไปตามกฎเกณฑ์ในกายนาง
ซ้ำไปมาเช่นนี้ พิษน้ำแข็งเหมันต์ที่เข้าสู่กายนางโดยกระบี่ธิดาหิมะซึ่งทำให้นางบาดเจ็บนั้นค่อยๆ ถูกขับออกไป เยี่ยเทียนหยวนถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขยับ แต่ไฟจริงในกายเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว
เวลาผ่านไป ไม่รู้นานเท่าใด ทั้งร่างของมั่วชิงเฉินนั้นถูกเหงื่ออาบจนชุ่ม นางเข้าใกล้ข้างหูของเยี่ยเทียนหยวนก่อนร้องเรียก “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ ท่านตื่นเถิด”
สิ่งที่ตอบนางกลับมานั้น เป็นความเงียบที่ทำให้คนแทบจะหยุดหายใจอย่างไม่มีขอบเขต
ไฟจริงในกายของเยี่ยเทียนหยวนกำลังแผดเผาอย่างรุนแรง แต่กายนั้นกลับยิ่งหนาวเหน็บ
มั่วชิงเฉินไม่กล้าหยุดแม้แต่นาทีเดียว นางชักนำไฟจริงในกายทั้งสองให้ดำเนินไปในร่างกายเรื่อยๆ เมื่อไฟจริงในกายของเยี่ยเทียนหยวนนั้นยิ่งใหญ่เสียจนเรียกได้ว่าเฟื่องฟูสุดขีด ค่อยรวมตัวเข้ากับเพลิงแก้วใจกระจ่างอีกครั้ง มันสั่นเทา ก่อนจะกลายเป็นของเหลวราดรดลงบนแก่นทองคำ
แก่นทองคำนั้นจู่ๆ ก็โชติช่วง หลังจากนั้นก็เริ่มหมุนตัว กระแสพลังวิญญาณแต่ละสายพรั่งพรูออกมาจากแก่นทอง ค่อยๆ หลั่งไหลเข้าสู่เส้นชีพจรที่แห้งเหือดแล้ว
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย รีบส่งพลังวิญญาณเข้าสู่กายของเยี่ยเทียนหยวน ชักนำให้พลังวิญญาณเขาดำเนินไป
รอบแล้วรอบเล่า พลังวิญญาณของเยี่ยเทียนหยวนในที่สุดก็สามารถโคจรได้ด้วยตนเอง ที่ไหลวนเวียนยังแขนขาก็หมุนวนกลับมาในแก่นทอง ต่อมาก็ไหลออกอีกครั้ง เหมือนกับร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรปกติอย่างนั้น
มั่วชิงเฉินยกใบหน้าตนแนบกับใบหน้าเขา สัมผัสเย็นยะเยือกนั้นทำให้นางว้าวุ่นใจ
ร่างกายของศิษย์พี่มีท่าทีดีขึ้น เหตุใดยังไม่อุ่นขึ้นเลย
หรือว่านี่…
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง มั่วชิงเฉินก็แผ่จิตสัมผัสออก ส่งเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียนหยวน ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปในทะเลแห่งความตระหนัก
ดวงจิตของเขา อาจจะเป็นเพราะความบอบช้ำครั้งใหญ่ จึงหลบซ่อนกายอยู่ในทะเลแห่งความตระหนัก หากไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เมื่อไม่มีดวงจิตประคับประคอง ร่างกายก็จะค่อยๆ เน่าสลายไป
มหาสมุทรแห่งความตระหนักของผู้บำเพ็ญเพียร หากมีผู้อื่นลักลอบเข้ามา ก็จะเปิดปฏิกิริยาต่อต้าน แต่มั่วชิงเฉินบัดนี้ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงแล้ว พลังวิญญาณและไฟจริงของทั้งสองนั้นล้วนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี การต่อต้านนั้นก็ไม่มีแล้ว ไม่ต้องใช้เวลามากก็สามารถเข้าสู่ทะเลแห่งความตระหนักได้อย่างระมัดระวัง มองเห็นดวงแสงกลมเล็กสีแดงได้แล้ว
จิตสัมผัสเขยิบเข้าใกล้ดวงแสงกลมสีแดงอย่างช้าๆ ดวงแสงกลมสีแดงสั่นเทา ราวกับตกตะลึง แต่เมื่อจิตสัมผัสจากด้านนอกเข้ามาใกล้ กลับสงบนิ่งลงอย่างเหนือความคาดหมาย
จิตสัมผัสราวกับหนวดของแมลง มันค่อยๆ สัมผัสดวงแสงกลมสีแดงอย่างแผ่วเบา
“ศิษย์พี่ อย่านอนอีกเลย”