ชายชราเงยหน้า บนใบหน้าปรากฏความหวาดกลัว
ทันใดนั้นก็ปรากฏมือไร้ที่มาคู่หนึ่ง มือนั้นยกก้อนอิฐที่กลายเป็นภูเขาขนาดย่อมขึ้นและโยนออกไปประหนึ่งดาวตกที่กำลังมุ่งตรงไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินใช้มือขวาที่ว่างเปล่าคว้าก้อนอิฐที่กลับคืนร่างเดิมเอาไว้ในมือ มองไปทางผู้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายออกมาด้วยสายตาเย็นชา
คนผู้นั้นดูเหมือนจะอายุสามสิบกว่า คิ้วกระบี่ ใบหน้าเหลี่ยม ดูน่าเกรงขาม ใบหน้าติดจะม่วงคล้ำ แรงกดดันรุนแรงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์มุ่งไปทางมั่วชิงเฉินอย่างไร้ซึ่งความปรานี ส่วนชาวบ้านบนพื้นดินที่ได้รับคลื่นพลังนี้ต่างทรุดลงกับพื้นตั้งนานแล้ว
“ท่านประมุข!” ชายชราถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าแปลกใจระคนดีใจ
ผู้มาใหม่พยักหน้าเล็กน้อย เขามองไปทางมั่วชิงเฉิน ถามด้วยเสียงก้องกังวานดั่งระฆัง “สหายตั้งใจจะสร้างความยุ่งยากให้แก่ตระกูลอู๋ของข้าหรือ”
เป็นเพราะระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น น้ำเสียงจึงไร้ซึ่งความเกรงใจ
มั่วชิงเฉินหรี่ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างลง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ตระกูลอู๋ของพวกเจ้าตั้งใจจะสร้างความยุ่งยากให้ข้าหรือ”
ผู้มาใหม่เงยหน้าและหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ ผู้แซ่อู๋ขอคารวะให้กับความกล้าของสหาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝีมือของเจ้าจะสมกับความกล้าหรือไม่”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า” มั่วชิงเฉินพูดออกมาเสียงเรียบพลางนึกในใจ คนตระกูลอู๋นี่น่ารำคาญเช่นนี้ทุกคนหรือ
ผู้มาใหม่สีหน้าทะมึน “ดูแล้วสหายมั่นใจยิ่งนัก เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าผู้แซ่อู๋รังแกคนอ่อนแอก็แล้วกัน”
พูดพลางยื่นมือออกไป ขวานศึกสีม่วงทองหนึ่งด้ามค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“ช้าก่อน” มั่วชิงเฉินพูดจบก็ผายมืออกมา “ไยจักต้องให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วยเล่า พวกเราไปสู้กันตรงนั้นเถิด”
นางชี้ไปที่ทะเลนอกหมู่บ้านดอกสาลี่
“ได้!” ผู้มาใหม่พยักหน้า และรีบเร่งเมฆสีม่วงใต้ฝ่าเท้าให้มุ่งตรงไปยังทะเล
ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาทั้งสองคนก็ยืนประจันหน้ากันอยู่บนท้องฟ้ากลางทะเล
ผิวน้ำสงบไร้คลื่น ทั้งสองเพียงจ้องมองกันและกันไม่ผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมา บรรยากาศเหมือนพายุจะมายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“เชิญสหาย” ประมุขตระกูลอู๋เอ่ยปาก ขณะนั้นขวานศึกสีม่วงทองก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วหั่นฉับลงมา แสงสีม่วงสายหนึ่งแยกท้องฟ้าออกเป็นสองฝั่ง พื้นผิวทะเลเองก็ถูกหั่นจากหนึ่งเป็นสองอย่างเรียบเนียน ตามด้วยคลื่นยักษ์ที่พุ่งออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นลำแสงสีม่วงทรงพลังจากขวานศึกก็มุ่งตรงไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมา ไหมเกล็ดน้ำแข็งพุ่งออกมาจากปลายเท้าประหนึ่งแถบผ้าผูกผม มือซ้ายส่งพลังวิญญาณซึมเข้าไปในไหมเกล็ดน้ำแข็ง ปากเอ่ยออกมาเสียงเบา “ไป!”
ไหมเกล็ดน้ำแข็งลอยตามลม ราวกับทางช้างเผือกที่ห้อยอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับผืนน้ำทะเล คอยกลืนคลื่นที่โหมกระหน่ำเข้ามาจนสิ้น
ประมุขตระกูลอู๋สั่นข้อมือ ขวานศึกสีม่วงทองก็หมุนวนด้วยความเร็ว ปราณสีม่วงทองสายแล้วสายเล่ามุ่งเข้าไปภายในทางช้างเผือกที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ทางช้างเผือกสั่นไหวเพียงเล็กน้อยประหนึ่งถูกสายลมพัด
ยิ่งปราณสีม่วงทองจำนวนมากเท่าใดมุ่งเข้าไปในทางช้างเผือก ทางช้างเผือกจากสีเงินก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นสีม่วงอ่อน แสงสีม่วงส่องแสงระยิบระยับ ดวงดาวเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ มากเสียจนแม่น้ำสายยาวคงจะจุได้ไม่หมด
ประมุขตระกูลอู๋กระดิกนิ้ว แสงสีม่วงสายหนึ่งก็ลอยเข้าไปในขวานศึกสีม่วงทองพร้อมตะโกน “ไป”
ขวานศึกสีม่วงทองถูกขว้างออกไปในทันที ขวานลอยสูงขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น มุ่งเป้าไปที่ทางช้างเผือกและตัดฉับลงมาอย่างแรง
เสียงระเบิดอย่างรุนแรงจากการปะทะกันของปราณวิญญาณดังขึ้น ทางช้างเผือกสีม่วงจู่ๆ ก็สั่นไหว ชั่วพริบตาเดียวก็แตกสลาย ขวานศึกสีม่วงทองพร้อมด้วยแสงวูบวาบพุ่งตรงไปทางมั่วชิงเฉิน
ตู้รั่วที่ยืนรออยู่บนชายฝั่งไม่ไหวติง มือกำหมัดแน่น
มั่วชิงเฉินยื่นมือทั้งคู่ออกมา กริชฟันปลาพลันปรากฏขึ้น นางส่งกริชฟันปลาขึ้นไปปะทะกับขวานศึกสีม่วงทองที่พุ่งมาทางนี้
เสียงปะทะดังสนั่น ผิวน้ำเกิดคลื่นจำนวนมากขึ้นอย่างฉับพลัน เงาร่างสีครามแลดูไม่มีกำลังยืนอยู่กลางคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น สั่นไหวไร้ที่พึ่ง
ขวานศึกสีม่วงทองขนาดยักษ์ น้ำหนักประมาณภูเขาขนาดย่อมกดลงมา
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ใช้ปลายเท้าทั้งสองข้างถีบและทะยานขึ้นในทันที แสงวิญญาณของกริชฟันปลาเปล่งประกาย บังคับให้ขวานศึกสีม่วงทองถอยร่นไปหลายฉื่อ
“ขวานศึกเก้าชั้นฟ้า!”ประมุขตระกูลอู๋เปล่งเสียงออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภาพมายาของขวานศึกมุ่งตรงมา ชั่วพริบตาเดียวก็ซ้อนทับกับขวานศึกสีม่วงทองที่ทับลงมาบนศีรษะของมั่วชิงเฉิน
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าขวานศึกสีม่วงทองหนักขึ้นหนึ่งส่วน นางถูกกดลงจนร่างกายไม่อาจฝืน
ตามมาด้วยภาพมายาที่เข้าไปในขวานศึกสีม่วงทองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในตอนที่ภาพมายาภาพที่หกเข้าไปในขวานศึก ปลายเท้าของมั่วชิงเฉินก็สัมผัสกับผิวน้ำเสียแล้ว
มุมปากของประมุขตระกูลอู๋ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา
มั่วชิงเฉินกัดฟัน หูได้ยินเสียงกริชฟันปลากับขวานศึกสีม่วงทองกำลังปะทะกันดังเอี๊ยดอ๊าด เสียงยิ่งแสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ
ภาพมายาภาพที่เจ็ดลอยมาแล้ว
ไหมเกล็ดน้ำแข็งหนีลงไปในน้ำ กลายเป็นดุจหางปลาเมื่อสัมผัสกับปลายเท้าของมั่วชิงเฉิน เกล็ดสีเงินสะท้อนแสงเรืองรองท่ามกลางคลื่นที่โหมกระหน่ำ
หางปลาและขาทั้งสองข้างของนางรวมเป็นหนึ่ง มั่วชิงเฉินเพิ่มพลังวิญญาณขึ้นทันที
เสียงปังดังขึ้น คลื่นสูงสิบจั้งบีบให้ขวานศึกสีม่วงทองต้องถอยไปหนึ่งก้าว
ครู่ต่อมา ก้อนอิฐก็หลุดจากมือตกลงไปใต้ท้องทะเล ขยายใหญ่ขึ้นจนสูงใหญ่ เพื่อหยุดยั้งขวานศึกสีม่วงทอง
ในตอนที่ภาพมายาที่แปดเข้าไปในขวานศึกสีม่วงทอง ขวานศึกที่กดทับลงมาก็หนักอึ้งประหนึ่งภูเขา
ก้อนอิฐแหวกฟ้าเสมือนมีรากยึดไว้กับใต้ทะเล ภูเขาไท่ซานก็มิอาจเทียบ
ในที่สุดภาพมายาที่เก้าก็ร่วงหล่นลง แสงวิญญาณขวานศึกสีม่วงทองกะพริบหนึ่งครา กดลงอีกครั้งบนพลังที่ไม่สามารถต่อต้านได้ซึ่งสูงเสียดฟ้า ตามด้วยเสียงสะเทือนแผ่วเบา ครู่เดียวก็ถูกหั่นเลื่อย
มั่วชิงเฉินเก็บกริชฟันปลา แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งครั้ง มือซ้ายถือคันธนูมือขวาดึงสายธนู ศรยาวสีทองพุ่งออกไป นางขู่เสียงเบา “หากไม่โต้ตอบเกรงว่าจะเสียมารยาท สหายอู๋คงต้องระวังตัวเสียหน่อยนะ!”
ศรแหลมคมพุ่งผ่านแสงวิญญาณคลื่นยักษ์ มุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของประมุขตระกูลอู๋
ประมุขตระกูลอู๋ยื่นมือขวาออกมา ปลายนิ้วมีแสงวิญญาณวาบประกาย ตามด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่คีบศรแหลมคมเอาไว้ได้
ใบมีดของศรแหลมคมไร้เทียมทาน ศรที่พุ่งออกไปราวกับคมมีด ทำให้ใบหน้าของประมุขตระกูลอู๋เป็นรอยแผลเล็กๆ
ด้วยแรงของศร ร่างกายของเขาถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดลง มือปัดศรแหลมคมออก ชั่วพริบตาขวานศึกสีม่วงทองก็กลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง พลันถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในขวานศึกสีม่วงทอง พยัคฆ์สีม่วงทองตัวหนึ่งก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากขวานศึกสีม่วงทอง มันเงยหน้ามองท้องฟ้าและคำรามออกมาก่อนจะพุ่งตัวไปทางมั่วชิงเฉิน
วิญญาณขวาน!
มั่วชิงเฉินเพ่งสายตา มือประหนึ่งลูบไล้เครื่องสาย แสงของศรสายหนึ่งทาบทับลงบนธนูเขียวซ่อนเร้น กลายเป็นวิหคสีดำขนาดใหญ่ปากสีแดงเท้าสีแดงพุ่งตรงไปยังพยัคฆ์สีม่วงทอง
พยัคฆ์เฒ่าคำรามเสียงต่ำ วิหคขนาดใหญ่ร้องเสียงใส หนึ่งวิหคหนึ่งพยัคฆ์สู้รบกันอย่างดุเดือด
แสงสีม่วงและสีดำไล่กวดกัน ก่อนจะตกลงบนทะเลก่อให้เกิดหลุมเล็กที่มองไม่เห็นก้น
กระแสลมทวีความรุนแรงขึ้นในทุกขณะ หลุมเล็กๆ เหล่านั้นหมุนวนดูดกระแสลมรอบๆ เข้าไปจนสิ้น หลุมเหล่านั้นใหญ่ขึ้นและรวมเข้าด้วยกันช้าๆ จนกลายเป็นหลุมสีดำขนาดมหึมา
ด้านบน พยัคฆ์สีม่วงทองและวิหคสีดำขนาดใหญ่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลุมสีดำด้านล่างเองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แรงดึงดูดก็แรงขึ้นตามลำดับ ในตอนที่พยัคฆ์สีม่วงทองและวิหคสีดำขนาดใหญ่ปะทะกันอีกคราและประกายไฟที่กระจายออกมาถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ หลุมดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวารีสีฟ้าพุ่งตัวขึ้นมา
ยามทั้งสามฝ่ายชนกันก็เกิดเป็นแสงแวววาวเสียจนแสบตา หลังแสงสว่างดับลง เห็นเพียงวิหคสีดำขนาดใหญ่จู่ๆ ก็กลายเป็นประกายพลังวิญญาณกระจัดกระจายและค่อยๆ หายไป ร่างของพยัคฆ์สีม่วงทองเองก็กะพริบวาบเลือนราง มันกำลังฝืนร่างกายที่ยับเยินและยื่นกรงเล็บออกมาตะปบมั่วชิงเฉินเอาไว้
ที่แท้ก็เป็นเพราะระดับขั้นที่เหนือกว่านาง!
มั่วชิงเฉินหรี่ตาทั้งสองข้างลงครึ่งหนึ่ง ลงมือใช้ธนูเขียวซ่อนเร้นอีกครั้ง แสงสว่างสีฟ้าน้ำแข็งแหวกผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ตรงไปยังภายในกายของพยัคฆ์สีม่วงทอง
เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ร่างกายขนาดมหึมาของพยัคฆ์สีม่วงทองหยุดเคลื่อนไหวอยู่กลางท้องฟ้า
ลมหนาวเข้ากระดูกจากร่างของพยัคฆ์กระจายไปทั่วสารทิศ เกลียวคลื่นรอบกายพลันกลายเป็นแท่งน้ำแข็งในชั่วพริบตา
แท่งน้ำแข็งนับร้อยแท่งปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ที่มาเช่นเดียวกันกับผิวน้ำทะเลก็กลายเป็นน้ำแข็ง
ผิวน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้นก็มีภูเขาน้ำแข็งตั้งตระหง่านอยู่มากมาย
“สหายช่างมีฝีมือยิ่งนัก!” ประมุขตระกูลอู๋สีหน้าเย็นยะเยือก สองมือกางออกและเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ดวงแสงกลมๆ สีม่วงทองค่อยๆ เผยออกมา เพียงแค่ยื่นปลายนิ้วออกมาเล็กน้อย ดวงแสงสีม่วงทองเหล่านั้นต่างรีบลอยเข้าไปในขวานศึกสีม่วงทอง
แสงวิญญาณของขวานศึกสีม่วงทองพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าสีครามด้วยพลังอันน่าทึ่ง
ชั่วครู่นั้น ท้องฟ้าคล้ายกับถูกแบ่งเป็นสองส่วน มืดมิดลงโดยพลัน
ท้องฟ้ามืดแค่ชั่วเวลาสั้นๆ หลังกลับมาสว่าง แสงแดดจ้าก็ไม่เหลือให้เห็นแล้ว ท้องฟ้าสีครามถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ขวานศึกสีม่วงทองส่งแสงสีม่วงสายหนึ่งเข้าไปกลางรอยแยกนั้น
สายฟ้าผ่าลงกลางท้องฟ้าผืนมหึมาที่กำลังแปรปรวน ส่องสว่างใบหน้าหวาดกลัวจำนวนนับไม่ถ้วน สายฟ้าสีม่วงพลันพุ่งตรงไปยังมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินที่รู้ว่าถึงเวลาสำคัญเมื่อประมุขตระกูลอู๋ใช้พลังวิญญาณ นางรีบเก็บของวิเศษทุกอย่างจนเกลี้ยง มือทั้งสองข้างประกบกัน จากนั้นก็ขยับอย่างอ่อนช้อยและรวดเร็ว ประหนึ่งผีเสื้อหยอกเหย้าบุปผา
ชั่วพริบตานั้น ระบำนิ้วมือก็สิ้นสุดลง เกิดเป็นเคล็ดวิชานิ้วพันหมื่นสาย สุดท้ายรวมกันเป็นเส้นสีมรกตแขวนอยู่ระหว่างมือ
มั่วชิงเฉินรับไว้กลางระหว่างอก และดันออกมาข้างนอก จากนั้นพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คลื่นมรกตเทใจ…”
เส้นสีมรกตเสมือนลำแสงที่ถูกยิงออกไป กลายเป็นกระบี่ยาวหนึ่งเล่มที่โอบล้อมไปด้วยรัศมีมรกต ฟันลงบนอัสนีสีม่วงอย่างรุนแรง
เสียงดังกึกก้อง คลื่นสูงเทียมฟ้า เมฆหนาทึบบนท้องฟ้าม้วนตัว เสมือนท้องฟ้ากำลังถล่มแผ่นดินกำลังทลาย
ชาวบ้านหมู่บ้านดอกสาลี่ต่างกลัวจนก้าวเท้าไม่ออก
ผู้บำเพ็ญเพียรในระยะหมื่นลี้ต่างได้ยินการเคลื่อนไหวนี้ ต่างพากันเหาะขึ้นไปในอากาศเพื่อดูการปะทะปราณวิญญาณอันดุเดือดนี้จากระยะไกล
ที่แห่งหนึ่ง คนสองคนที่กำลังเล่นหมากรุกก็หยุดในฉับพลัน ต่างลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ และมองไปทางหมู่บ้านดอกสาลี่
“ปราณวิญญาณปะทะกันรุนแรงเยี่ยงนี้ ก่อเกิดฟ้าดินแปรปรวน การประมือกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณครั้งนี้ไม่ธรรมดาเลย” คนผู้หนึ่งเอามือไขว้หลัง เอ่ยเสียงเบา
คนข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงลังเล “ฝ่ายหนึ่งคงเป็นเจ้าหนุ่มตระกูลอู๋ ขวานม่วงสะท้านฟ้าของเขาขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยม แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกคนสามารถสู้กับเจ้าหนุ่มตระกูลอู๋ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ได้อย่างเท่าเทียม ข้าคิดว่าน่าสนใจไม่น้อย ”
ชายก่อนหน้าเอียงหน้ามายิ้ม พลางพูดด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก “หรือว่าไม่เท่าเทียม”
บนท้องฟ้าเหนือผิวน้ำทะเล ต้นเหตุทั้งสองอยู่ห่างกัน หยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันตรายครู่ใหญ่ จนท้องฟ้าปลอดโปร่ง ผิวน้ำทะเลเรียบสงบไร้คลื่น มองสีหน้าเป็นปกติของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดประมุขตระกูลอู๋ก็ถอยหลังครึ่งก้าว พูดอย่างจำใจ “ผู้แซ่อู๋ แพ้แล้ว”
พูดจบก็โบกแขนเสื้อ พาอาวุโสอู๋และเจ้ารองตระกูลอู๋หนีไปไกล