อสูรปีศาจที่บินออกมาถูกโอบล้อมด้วยควันสีดำ ตามด้วยปีกน้อยๆ คู่หนึ่งที่กระพือเร็วขึ้นๆ ควันดำค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง
หนังถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำมันวาว หูตั้ง ปากยื่น และยังมีหางที่ส่ายไปมา
มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากอย่างใช้ความคิด ทำไมนางมองเจ้าอสูรปีศาจตัวนี้แล้วเห็นเป็นแค่ลูกสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
เอ๊ะ นอกจากดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งแล้ว ยังมีหางที่ใหญ่ไปหน่อยและปีกที่เกินมาอีกหนึ่งคู่
มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะกวาดตามองอีกาไฟหนึ่งครา
อีกาไฟยังคงยกปีกทั้งสองข้างป้องหัวตัวเองอยู่ ตาทั้งสองข้างแข็งค้าง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหม่อมองไปยังลูกหมาตัวน้อย
คงไม่ใช่เพราะได้รับแรงกระเทือนมากเกินไป จิตใจจึงไม่ปกติใช่หรือไม่
มั่วชิงเฉินคิดว่าในฐานะที่นางเป็นเจ้านาย เวลานี้จึงควรปลอบอสูรปีศาจของตน นางรวบรวมความกล้าและก้าวไปหนึ่งก้าว
คาดไม่ถึงว่าเมื่อนางขยับกาย ก็ได้ยินเสียง “อาฮู้” อันไร้เดียงสาดังขึ้น อสูรปีศาจน้อยตนนั้นกระพือปีกน้อยๆ ของมันตรงไปทางอีกาไฟ
มั่วชิงเฉินกวาดตามองกายของอสูรปีศาจน้อยอีกครา นางคิดอยู่นาน ที่แท้มันไม่ใช่สุนัข แต่เป็นหมาป่า!
อีกาไฟที่ยังคงนิ่งค้างเป็นหินถูกหมาป่าน้อยทับเอาไว้ แม้ว่าหมาป่าน้อยจะเพิ่งเกิดแต่ว่าขนาดตัวกลับเท่าๆ กับอีกาไฟ ในขณะที่ทับอีกาไฟอยู่นั้น ร่างกลมๆ สองร่างก็วูบไหวไปมา
ครู่ต่อมาหมาป่าน้อยก็ไถลลงมา มันรีบใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างกอดขาอีกาไฟไว้ จมูกขยับไปมาเสมือนหานมแม่
“เจ้า…เจ้ากินสามีของข้าเข้าไปแล้วหรือ” ในที่สุดอีกาไฟก็ได้สติ มันถามเสียงสั่น
ได้ยินคำถามของอีกาไฟ หมาป่าน้อยส่ายหัวอย่างเชื่อฟัง ตามด้วยเอาอุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างชี้ไปที่ตัวเอง หางที่ใหญ่เกินตัวข้างหลังกระดิกไปมา
“กา กา ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ” อีกาไฟยกปีกขึ้นตีหน้า ปากพึมพำ “ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเพราะข้าใจร้อนเกินไป ถึงได้ฝันร้ายเช่นนี้…”
คาดไม่ถึงว่าหมาป่าน้อยที่เพิ่งเกิดกลับดูฉลาดเกินตัวมาก มันเอียงหัวฟังอีกาไฟพึมพำอยู่ชั่วครู่ จู่ๆ ก็เขยิบไปข้างหน้า อ้าปากใหญ่คำรามเสียงออดอ้อนออกมาครั้งหนึ่ง
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องดังขึ้นหนึ่งครา อีกาไฟจู่ๆ ก็กระพือปีกขึ้น แล้วก็เห็นหมาป่าน้อยบินออกไปเป็นแนวเส้นโค้ง
มั่วชิงเฉินทะยานขึ้นไปทันที นางกอดหมาป่าน้อยไว้และหมุนตัวลงมา มองไปยังอีกาไฟ “อู๋เย่ว์เจ้ายังสติดีอยู่หรือไม่ หมาป่าน้อยเพิ่งจะเกิด ยังไม่เข้าใจอะไรนัก เจ้าอย่าเพิ่งเอาเขาไปคิดเล็กคิดน้อยเลย อย่างไรเสียเจ้าก็ฟักเขาออกมา…”
พูดไม่ทันจบ ก็เห็นอีกาไฟก็กุมหัวและบินหนีไป
ก่อนหน้านี้หมาป่าน้อยอยู่ในถุงเก็บอสูรวิญญาณมาโดยตลอด ถุงเก็บอสูรวิญญาณเองก็ผ่านการหยดเลือดพิสูจน์เจ้าของมาแล้ว เพราะเหตุนี้มันจึงคุ้นเคยกับกลิ่นอายของมั่วชิงเฉิน มันไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเป็นประกายหนึ่งคู่จ้องมองมั่วชิงเฉิน ใบหน้าน้อยใจ
ท่าทางเลียนแบบมนุษย์เช่นนี้ทำเอามั่วชิงเฉินรู้สึกออกจะเหลือเชื่อ นางรีบยกมือลูบศีรษะของมันเบาๆ และพูดอย่างอ่อนโยน “หมาป่าน้อยอย่าเศร้าไปเลย อู๋เย่ว์เพียงแค่วู่วาม…”
“อาฮู้” หมาป่าน้อยร้องเบาๆ เสมือนว่าเหนื่อยแล้ว มันฝังตัวลงในอ้อมกอดของมั่วชิงเฉินและเผลอหลับไป
เขาน้อยเดินเข้ามา ใบหน้ามองหมาป่าน้อยอย่างสงสัย “นายท่าน มันใช่ลูกของพี่อู๋เย่ว์หรือไม่”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก “แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาน้อย เจ้าอย่าเที่ยวไปทำท่าตื่นเต้นกับมันต่อหน้าอู๋เย่ว์เชียว”
“เจ้าค่ะ” เขาน้อยพยักหน้ารู้เรื่อง ตามด้วยถามว่า “แต่ว่าเมื่อกี้มันเรียกพี่อู๋เย่ว์ว่าแม่นะเจ้าคะ”
มั่วชิงเฉินซวนเซจนเกือบจะล้ม รีบทรงตัว ใบหน้าเคร่งขรึม นางถาม “เมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยิน”
เขาน้อยกะพริบดวงตาฉ่ำน้ำปริบๆ ตอบอย่างตั้งใจ “เมื่อกี้นี้เองเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อมันเรียกจบพี่อู๋เย่ว์ก็โยนมันออกไป โอ้ นายท่านคงจะฟังภาษาที่ใช้กันทั่วไปของพวกเราเผ่าอสูรไม่ออก”
สาวน้อยที่ดูเหมือนจะเก่งไปทุกเรื่อง ก็ต้องมีเรื่องที่ไม่รู้บ้างสิ!
มั่วชิงเฉินรู้สึกเห็นใจขึ้นมา ตัดสินใจจะไปดูว่าอีกาไฟเข้มแข็งพอจะมีชีวิตต่อไปหรือไม่
เดินเข้าไปในป่าดอกสาลี่เขตลึก ก็ได้ยินเสียงบ่นของอีกาไฟดังออกมา
ตอนแรกเป็นคำด่าทอมากมาย มันทบทวนคำศัพท์ทั้งหมดที่มันจำได้หนึ่งรอบ ตามด้วยร่ำไห้ว่าหลายสิบปีมานี้มันลำบากแค่ไหน พูดถึงประสบการณ์ฟักไข่ของตนเองอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
ในตอนที่มั่วชิงเฉินทนไม่ได้จนแทบจะเข้าไปปลอบ อีกาไฟก็เริ่มกล่าวสรุป “ท่านยายมันสิ สวรรค์ไร้คุณธรรม ถึงแม้ข้านี้จะไม่งามล่มเมือง แต่ก็นับว่างดงามดั่งบุปผา อีกาตัวผู้หน้าตาพอดูได้กว่าสิบตัวข้าก็เคยปฏิเสธมาแล้ว ให้ข้าสักตัวไม่ได้หรือ คิดไม่ถึงว่าเจ้า…เจ้าจะให้ข้าฟักลูกหมาป่าออกมา! ท่านยายมันสิ กระทั่งนายท่านเองก็ยังมีผู้ชายต้องการ ดูอย่างไรข้าก็สติปัญญาสูงส่งกว่านาง…”
มั่วชิงเฉินพลันหันหลังกลับ แล้วก้าวเท้าเดินอย่างไม่ลังเล
หมาป่าน้อยโตเร็วมาก สามเดือนต่อมา ศีรษะขนาดเท่ากับสุนัขขนาดใหญ่ทั่วๆ ไป และยังคงชอบโถมตัวเข้าใส่อีกาไฟ เพราะเหตุนั้นป่าดอกสาลี่จึงมีการแสดงกาเหินสุนัขกระโดดทุกวัน
มั่วชิงเฉินมองร่างที่กลมขึ้นทุกวันๆ หมาป่าน้อยมีส่วนที่แอบคล้ายกับอีกาไฟอยู่หลายส่วน พลันถอนหายใจออกมา
อสูรปีศาจตัวที่สามแล้ว พูดอีกทีก็คือนางเลี้ยงเจ้าตัวกินจุเพิ่มมาอีกหนึ่งตัวเช่นนั้นหรือ
“หมาป่าน้อย เจ้ามานี่” มั่วชิงเฉินกวักมือเรียก
หมาป่าน้อยที่กำลังไล่ตามอีกาไฟอยู่หันหลังกลับและรีบมาทันที แลบลิ้นออกมาเลียฝ่ามือของมั่วชิงเฉิน
“หมาป่าน้อย เจ้ารู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไรหรือไม่” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่ได้คาดหวัง
คาดไม่ถึงว่าหมาป่าน้อยจะพยักหน้าทันที
นี่ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ นางรีบถาม “คืออะไรหรือ”
หมาป่าน้อยอ้าปาก มันยกอุ้งเท้าหน้าชี้แล้วชี้อีก
มั่วชิงเฉินสีหน้าคล้ำขึ้น “หมาป่าน้อย พรสวรรค์ของเจ้าคงไม่ใช่กินหรอกใช่ไหม”
“อาฮู้…” หมาป่าน้อยคำรามเสียงหนึ่ง เสียงเด็กไร้เดียงสาดังขึ้นในหัวของมั่วชิงเฉิน “ไม่ใช่กิน กลืนต่างหาก!”
“กลืน?” มั่วชิงเฉินนั่งตัวตรง สีหน้ามึนงง
เพราะเคยชินกับอีกาไฟและเขาน้อย นางจึงไม่ชินกับการที่อสูรวิญญาณจะสามารถพูดคุยกับปกติเช่นนี้ได้
“อือ แต่สิ่งของที่หมาป่าน้อยกลืนได้ในตอนนี้น้อยมาก” หมาป่าน้อยบอก
มั่วชิงเฉินรู้สึกสนใจ “หืม เช่นนั้นหมาป่าน้อยกลืนอะไรได้บ้าง”
หมาป่าน้อยส่ายหัวพลางคิด จู่ๆ ก็หรี่ตา และวิ่งไปทางตู้รั่ว
มั่วชิงเฉินตกใจ เจ้านี่คงไม่ได้คิดจะกลืนศิษย์ของนางหรอกนะ
เมื่อรู้สึกถูกคุกคาม สองคนที่กำลังประลองพัวพันกันอยู่ก็แยกออกจากกันทันที หมาป่าน้อยจู่ๆ ก็กระโจนเข้าใส่อู๋สาม แล้วอ้าปาก
อู๋สามตะโกนร้องด้วยเสียงสิ้นหวัง อู๋ห้าแข้งขาอ่อน หันหน้าหนีไม่กล้ามอง
มั่วชิงเฉินมองจากข้างๆ อย่างนิ่งเงียบ กลับเห็นหมาป่าน้อยแลบลิ้นแล้วตวัดเข้าไป ดูเหมือนว่าจะกลืนอะไรลงไปสักอย่าง เลียปากอย่างพอใจ แต่ผมของอู๋สามกลับไม่หายเลยสักเส้น
“นายท่าน ข้ากินเสร็จแล้ว” หมาป่าน้อยวิ่งมา ใบหน้าพอใจ
มั่วชงเฉินยื่นมือมาลูบหัวหมาป่าน้อย ใบหน้าอ่านไม่ออก
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากลืนที่หมาป่าน้อยพูดถึงหมายถึงเช่นนี้
ที่มันเพิ่งกลืนไปไม่ใช่ของที่มีรูปร่าง แต่เป็นสิ่งของไม่มีรูปร่างที่อยู่อย่างอิสระระหว่างฟ้ากับดิน
ระหว่างฟ้ากับดินไม่ได้มีเพียงปราณวิญญาณหรือว่าปราณมารซึ่งมาจากพลังต้นกำเนิด แต่ยังมีสิ่งไร้รูปร่างที่พวกสิ่งมีชีวิตปลดปล่อยออกมา เช่น ความแค้น ความโลภ และอารมณ์ต่างๆ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ยากจะคงอยู่ ปลดปล่อยออกมาก็มลายหายไป
นอกเสียจากในตอนนั้นผู้ปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้มีจิตใจและความคิดอันแข็งกล้า เช่นพวกคนที่ตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ก่อนสิ้นลมได้ปลดปล่อยความแค้นออกมามากพอที่จะกลายเป็นวิญญาณ กลายเป็นผีที่หนีออกจากโลกวิญญาณและติดอยู่ในโลกมนุษย์
สิ่งที่หมาป่าน้อยกลืนลงไปก็คือความรู้สึกกลัวที่อู๋สามปลดปล่อยออกมาในตอนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย
ความสามารถเช่นนี้หายากจริงๆ
หลังจากนั้นมั่วชิงเฉินก็เฝ้าดูหมาป่าน้อยมากว่าเดิม แต่กลับไม่พบเรื่องพิเศษใดนัก
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
สี่ปีต่อมา ในที่สุดตู้รั่วก็เอาชนะสองคนนั้นได้สำเร็จ มั่วชิงเฉินหลอมยาลูกกลอนพิเศษให้สองคนนั้นกิน ลบความทรงจำช่วงเวลานี้ของพวกเขา แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป
นางเริ่มอนุญาตให้ตู้รั่วออกนอกป่าดอกสาลี่ได้แล้ว ไปติดต่อกับผู้บำเพ็ญเพียรเมืองใกล้ๆ ทำภารกิจดั่งผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก
ดูวัยรุ่นในอดีตเติบโตเป็นชาตรี การกระทำใจเย็นขึ้น มั่วชิงเฉินปลื้มอกปลื้มใจมาก หากแต่แววตาที่มองไปทางเรือนหลิงหลงกลับแย่ลงกว่าเดิม
แปดปีแล้ว ที่นั่นยังคงไม่มีวี่แวว
มั่วชิงเฉินตัดสินใจเงียบๆ รอเยี่ยเทียนหยวนออกมา จะฟาดเขาสักทีระบายความโกรธแล้วค่อยว่ากัน
ตู้รั่วเดินเข้ามาในป่าดอกสาลี่ มองเห็นอาจารย์มองไปทางเรือนหลิงหลงและใจลอยเช่นปกติ ความสงสัยวาบเข้ามาในจิตใจปราดหนึ่ง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า “อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้วขอรับ”
มั่วชิงเฉินหันกลับมามอง หัวคิ้วขมวด “ตู้รั่ว วันนี้เจ้าดื่มเหล้ามาหรือ”
ตู้รั่วที่สูงกว่ามั่วชิงเฉินมากแล้ว ก้มหัวลงไปส่งเสียงอือ “วันนี้เพิ่งไปถึงฝั่งหมู่บ้าน ก็ถูกพวกจางหยางลากไปดื่มเหล้า”
“อืม พวกเจ้าโตกันแล้วนี่” มั่วชิงเฉินยิ้ม
ตู้รั่วเงียบไปครู่ ฉับพลันนั้นก็พูดขึ้นมา “เสี่ยวยาแต่งงานแล้ว”
มั่วชิงเฉินมึนงงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “ตู้รั่ว คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ทำให้เจ้าเศร้า จึงไปดื่มจนเมาหรอกนะ”
ตู้รั่วชะงัก ใบหน้าบึ้งตึง “อาจารย์ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้มจนคิ้วโค้งตาโค้ง “เจ้าเด็กคนนี้นี่แปลกจริง เสียใจก็เสียใจสิ ยังจะปากแข็งอยู่ไย”
ตู้รั่วกำหมัด หายใจเข้า เตือนตัวเองในใจว่า ‘นางคืออาจารย์ของข้า’ ในที่สุดก็กลับมาสงบ “อาจารย์ ท่านคิดมากไปแล้ว เป็นจางหยางที่เสียใจมาก ดึงพวกเราไปดื่มหนัก พวกเราทั้งหมดเองก็คิดว่าพวกเขาจะลงเอยกันเสียอีก”
มั่วชิงเฉินฟังเงียบๆ นางคิดว่าศิษย์ของนางในวันนี้ดูต่างไปเล็กน้อย
เพราะดื่มเหล้าไป เสียงที่ตู้รั่วเปล่งออกมาจึงต่ำลงเล็กน้อย “คนในหมู่บ้านต่างพูดว่าจางหยางเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียร เสี่ยวยาไม่เหมาะ ความตั้งใจที่จางหยางคิดจะสู่ขอเสี่ยวยานั้นไม่เคยเปลี่ยน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ยอมแพ้จะเป็นเสี่ยวยา นางบอกว่านางทนไม่ได้ที่จะแก่และอัปลักษณ์ลงในทุกๆ วัน ผมสีขาวแกมเทาแล้วแต่สามียังคงดูดีอยู่ นางยอมแต่งกับคนธรรมดา ยอมแก่ไปด้วยกัน ให้เขาจดจำตอนที่นางงดงามที่สุด จางหยางบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวยา เพราะอย่างนั้นเลยเคารพการตัดสินใจของนาง”
พูดถึงตรงนี้ก็มองตรงมายังมั่วชิงเฉิน “คำพูดของพวกเขาฟังดูมีเหตุผลดี หากแต่ศิษย์กลับไม่สบายใจ อาจารย์ หากท่านเป็นเสี่ยวยา ท่านจะทำเช่นไรหรือ”
การบำเพ็ญเพียรขั้นแรกคือความรู้สึก มั่วชิงเฉินรู้ดีว่าคำถามนี้สำคัญกับตู้รั่วมาก นางคิดดีแล้วจึงตอบ “ไม่ใช่ทุกคนจะกล้าหาญพอให้คนที่รักที่สุดเห็นใบหน้าตัวเองในตอนที่ไม่น่าดูนัก สิ่งที่เสี่ยวยาตัดสินใจนั้นพูดไม่ได้ว่าถูกหรือผิด หากแต่ถ้าเป็นอาจารย์ จะต้องเลือกคนรักแน่นอน”
“เพราะเหตุใด”
มั่วชิงเฉินยิ้มบางๆ “เพราะว่าความกล้ากับความเชื่อนั้นผลลัพธ์มักไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หากข้ามีสองอย่างนี้ ใครก็พรากมันไปไม่ได้ หนทางแห่งเซียนเองก็เป็นเช่นนี้”
ตู้รั่วเม้มปาก ท่าทีครุ่นคิด
ในตอนนั้นเอง แสงวิญญาณสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเรือนหลิงหลง พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า