พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 476 ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถือกำเนิด

แสงวิญญาณใช้อานุภาพอันมิอาจต้านทานได้ทะลุเกราะกำบังทั้งหมด พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า ชั่วขณะนั้นทั้งฟ้าครึ่งซีกก็สว่างจ้า

 

 

อยู่ๆ ลมก็กรรมโชกแรง เหล่าเมฆก้อนมหึมาก็พรั่งพรูมาจากทั่วทุกสารทิศ มารวมตัวกันอยู่รอบๆ แสงวิญญาณ ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ชั้นอากาศสูงกดลงมา เหมือนกับภูเขาก้อนเมฆลูกใหญ่ตกลงบนผืนดิน ถ้าหากมีคนขึ้นไปบนภูเขา ก็คงจะไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

 

 

เกราะกำบังของป่าดอกสาลี่ถูกทลายออกนานแล้ว ปราณวิญญาณโบกพัดเป็นลมวิญญาณอยู่ระลอกหนึ่ง ทำให้กลีบดอกสาลี่ม้วนวน และโปรยปรายลงมาเป็นฝนดอกไม้

 

 

มั่วชิงเฉินที่พาตู้รั่วออกมาจากป่าดอกสาลี่นานแล้ว ยืนทอดมองอยู่ในระยะไกล

 

 

ชาวบ้านหมู่บ้านดอกสาลี่ต่างพากันออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า

 

 

ปราณวิญญาณพรั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำก็รู้สึกว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช้าลง หลังจากไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวเช่นไรจึงหยุดการบำเพ็ญเพียร พลางแอบบ่นว่าโชคร้ายในใจ

 

 

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่พอมีความแข็งแกร่งกลับรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้ ต่างพากันเหยียบลงบนอาวุธเวทเหาะเหินเพื่อมุ่งตรงไปยังที่ที่ปราณวิญญาณรวมกันอยู่

 

 

“พี่จ้าว นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือว่ามีสมบัติฟ้าดินปรากฏขึ้น” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้หนึ่งเหยียบลงบนกระบี่บินถามสหายที่บังเอิญเจอกัน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จ้าวผู้นั้นส่ายหน้า “ข้าก็เดาไม่ถูก แต่ว่าที่แห่งนี้นั้นไม่เคยปรากฏการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปดูสักหน่อย”

 

 

“ถูกต้องแล้ว น้องชายเองก็คิดเช่นนั้น” สองคนมองหน้าและยิ้มให้กัน ก่อนจะเร่งความเร็ว

 

 

ณ จวนตระกูลอู๋

 

 

หลังจากประมือกับมั่วชิงเฉินเมื่อหลายปีก่อนจนบาดเจ็บภายใน ประมุขตระกูลอู๋ก็เก็บเนื้อเก็บตัว ประการหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ อีกประการหนึ่งคืออยากให้ตนแกร่งกว่านี้ วันหน้าจะได้กลับไปแก้แค้น

 

 

วันนี้เขาเพิ่งบำเพ็ญตบะเสร็จสิ้น ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พลันสะบัดแขนเสื้อเพื่อเหาะขึ้นไปในอากาศ

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นก็รุดมาและพูดเสียงสั่น “ท่านประมุข ท่านดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าสิ หรือว่านี่คือ…นี่คือ…”

 

 

ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะมันยากจะบรรยาย

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ใบหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งสายน้ำ หลังจากตั้งใจดูจนหายใจครบสิบครั้งถึงจะพูดออกมาเสียงต่ำ “เป็นอย่างที่เจ้าคิด มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว!”

 

 

“มีผู้บรรลุถึงระดับก่อกำเนิดแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ” อาวุโสตระกูลอู๋แอบเดาเงียบๆ ถึงแม้จะได้ฟังคำตอบของผู้นำตระกูลอู๋แต่ก็ยังยากจะเชื่อ

 

 

ถึงแม้ว่าเกาะเสี้ยวจันทร์จะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไม่มากนัก นอกจากผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดเจินจวินผู้ลึกลับแล้ว นอกจากประมุขตระกูลอู๋ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์จนแทบจะเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นว่าเป็นรองระดับก่อกำเนิดอันดับหนึ่งแล้ว ยังเป็นคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่สามของเกาะจันทราเสี้ยว ตอนนี้เหตุใดถึงได้มีผู้มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดโผล่มากัน

 

 

มองไปทางที่ปรากฏการณ์ประหลาดถือกำเนิดขึ้น ใบหน้าชราของอาวุโสตะกูลอู๋พลันตกตะลึง “ท่านประมุข ดูเหมือนว่าจะเป็นทางหมู่บ้านดอกสาลี่!”

 

 

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!” ประมุขตระกูลอู๋พูดจบก็รีบเร่งเมฆสีม่วงใต้ฝ่าเท้า เขาพูดเสียงต่ำ “แม้ว่าหญิงคนนั้นจะมีกำลังไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถก้าวไปถึงระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่ปี นับประสาอะไรกับระดับก่อกำเนิด ไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปดู โอกาสที่จะได้สัมผัสปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดนั้นยากมาก”

 

 

ณ ที่แห่งหนึ่ง ชายในชุดสีน้ำหมึกมือถือหมากสีดำพลันหยุดมือ เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า

 

 

อีกคนหนึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นเดียวกัน ยืนตรงและพูด “พี่มั่ว ดูเหมือนพวกเราจะได้สหายเล่นหมากรุกเพิ่มแล้ว”

 

 

ชายในชุดสีน้ำหมึกมองหมากในมือก่อนจะพูดยิ้มๆ “น่าสนใจจริงๆ ดูเหมือนว่าที่นั่นจะเป็นที่ที่เจ้าเด็กตระกูลอู๋ไปมีเรื่องเมื่อหลายปีก่อน”

 

 

พูดไปมือก็โยนหมากในมือทิ้ง “ไม่เล่นแล้ว ไปกันเถอะ ไปดูอะไรสนุกๆ กันดีกว่า วันๆ อยู่แต่กับกระดานหมากรุกเหม็นๆ นี่ ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”

 

 

อีกคนโมโหสะบัดแขนเสื้อ ยิ้มเสียงเย็นและพูด “ข้าเองก็เหมือนกัน”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขึ้นๆ ร่อนลงยังบริเวณใกล้ๆ กับหมู่บ้านดอกสาลี่

 

 

อัสนีสวรรค์ฟาดลงมา ฟ้าแลบทั่วทั้งท้องฟ้า ถึงแม้ว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่คลื่นลมจะสงบ แต่พลังของท้องฟ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าหายใจ

 

 

ความปรารถนาจากก้นบึ้งของจิตใจทำให้ทุกคนตื่นเต้น ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะยังคงสับสน ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์เบื้องหน้านั้นคืออะไร

 

 

จากนั้นร่างสองร่างก็ร่อนลงบนพื้น ทำเอาทุกคนตกตะลึง

 

 

“ดูสิ นั่นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ”

 

 

“ท่านประมุขกับอาวุโสตระกูลอู๋ก็ยังแตกตื่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ไม่ไยดีความวุ่นวายแม้แต่น้อย เขาใช้จิตตระหนักอันแข็งแกร่งหาร่องรอยของมั่วชิงเฉิน

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน แม้ว่าจะยังต่างขั้นกันอยู่ ทว่ามัวแต่หลบซ่อนก็คงจะใจแคบเกินไป มั่วชิงเฉินวางปลายเท้าลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็งและเหาะไปร่อนลงตรงหน้าของสองคนนั้น “สหายทั้งสอง ไม่เจอกันตั้งนาน”

 

 

“มาอีกแล้ว มาอีกท่านแล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านรวมตัวกัน นำพาคลื่นพลังขนาดมหึมามาแก่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำอย่างลืมตัว

 

 

คนที่มีสติปัญญาปราดเปรียวผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ที่แท้ท่านเซียนแห่งหมู่บ้านดอกสาลี่ที่เล่าต่อๆ กันมาคืออาวุโสท่านนี้นี่เอง”

 

 

ทุกคนหันมาจ้องมอง ทั้งสามคนเหาะขึ้นไปโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหยุดลงกลางอากาศเหนือผิวน้ำทะเลขึ้นไปสิบจั้ง

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋เห็นรอยยิ้มสดใสของมั่วชิงเฉิน เขาเองก็ยิ้มเย็นและพูดออกไป “ไม่เจอกันนานแล้วจริงๆ ข้าคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นจะเป็นท่านเสียอีก!”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนหลังได้ยินคำพูดของอาวุโสตระกูลอู๋ นางโต้ตอบกลับไปตามปกติ “สหายยกย่องข้าเกินไปแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณยังทราบว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช่างลำบากยากเย็น จากระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายจะบรรลุระดับก่อกำเนิดได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี นี่คงเป็นเรื่องล้อเล่นกระมัง”

 

 

อาวุโสตระกูลอู๋แอบขบกรามแน่น  นางเด็กนี่ หาว่าข้ามีสติปัญญาด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณอย่างนั้นหรือ

 

 

แม้จะเดือดดาลแต่อาวุโสตระกูลอู๋กลับทำเพียงแค่มอง ไม่ได้ตอบโต้

 

 

“ปรากฏการณ์ฟ้าระดับก่อกำเนิดปรากฏขึ้นแล้ว ดูท่าว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นผู้หนึ่ง ไม่ทราบว่าสหายรู้จักหรือไม่” ประมุขตระกูลอู๋มองไปยังมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ลอบถอนหายใจหนึ่งครา แต่สีหน้ากลับสุภาพ “รอหลังผู้อาวุโสออกมา ยังหวังให้สหายชี้แนะสักครา ก่อนหน้านี้ที่พี่น้องของพวกเราล่วงเกินท่าน ขอท่านโปรดอย่าถือสา”

 

 

ที่แท้ก็เป็นพวกยืดได้หดได้

 

 

มั่วชิงเฉินพูดเสียงเรียบ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป สหายอย่าได้กังวล” พูดจบนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เอาแต่มอองไปทางป่าดอกสาลี่

 

 

ได้เห็นปรากฏการณ์ฟ้าดิน และรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินในตอนที่กำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิด ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คนตระกูลอู๋ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก ต่างพากันใช้ช่วงเวลานี้อย่างสงบ

 

 

ภาพปรากฏการณ์นี้ต่อเนื่องยาวนานถึงสามเดือน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรอบๆ ต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อไม่หนีไปไหน พวกเขารู้ว่ากำลังจะมีผู้บรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว

 

 

การบรรลุระดับก่อกำเนิดสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ยากจะพานพบ การพบเจอผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดครั้งแรก สำหรับพวกเขานั้นน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการปรากฏของสมบัติฟ้าดินเสียอีก

 

 

อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้มองสมบัติฟ้าดินเหล่านั้นแม้แต่ปราดเดียวอยู่แล้ว แต่กับคนที่มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ขอเพียงแค่พวกเขาไม่ไปไหน อยากดูแค่ไหนก็ดูได้ตามต้องการ

 

 

ภายหลัง หลังจากคนเหล่านั้นแยกย้ายกันกลับไปแล้วล้วนได้รับประโยชน์อย่างมาก กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ในจุดคอขวดจำนวนหนึ่ง หลังจากปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพราะได้เห็นปรากฏการณ์นี้ก็เลื่อนเข้าสู่ระดับใหม่ได้อย่างราบรื่น

 

 

ป่าดอกสาลี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของผู้บำเพ็ญเพียรหลายคน เกิดเป็นพรรคใหม่ภายใต้โอกาสนั้น ทั้งยังนำเรื่องนี้บันทึกไว้ในประวัติโดยย่อของพรรค แน่นอนว่าค่อยพูดถึงในภายหลัง

 

 

เวลานี้ อัสนีแสนน่ากลัวกลับหยุดลง  เมฆทะมึนที่บดบังแสงตะวัน ค่อยๆ ม้วนตัว  บรรยากาศน่าหวาดหวั่น

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ต่างยืดตัวตรง ท่าทางจริงจัง

 

 

มั่วชิงเฉินที่รู้สึกได้ก็กำหมัดแน่น กลั้นหายใจและตั้งสติให้มั่น

 

 

จู่ๆ อัสนีเพลิงก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้าและระเบิดออกกลางอากาศ ทำเอาสั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า เกิดเป็นเสียงสะท้อนเสียงต่ำ

 

 

สายฟ้าดุจมีดเล่มใหญ่ผ่าชั้นเมฆหนาออกจากกัน  ชั่วเวลาที่สว่างนั้น เห็นเป็นมังกรยักษ์สีแดงเพลิงชูคอขึ้น และเลื้อยไปมาในหมู่เมฆ

 

 

ทุกคนถูกปรากฏการณ์นี้ทำให้ตกใจจนถึงขั้นลืมหายใจ

 

 

มังกรอัคคีแกว่งหาง ทำให้ชั้นเมฆกระจายออก แสงตะวันสาดส่องลงมา

 

 

มังกรอัคคีที่โอบล้อมไปด้วยแสงตะวันดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น จมูกและปากพ่นไอสีขาวออกมา เกิดเป็นเสียงคำรามต่ำแต่ยาวนาน มันเหาะไปมาตามใจตัวเองอยู่กลางอากาศ

 

 

สามวันเต็มหลังจากนั้น มังกรอัคคีชูคอขึ้น ก่อนจะเหาะตรงไปยังชั้นอากาศสูง ร่างกายขนาดมหึมาในสายตาคนมองยิ่งเล็กลงเล็กลง ในตอนที่มังกรดูเหมือนจะพุ่งชนดวงตะวันให้กระเด็นออกไป หยาดฝนก็หล่นลงมาดังเปาะแปะ

 

 

“นี่คือฝนวิญญาณ ฝนวิญญาณเชียวนะ!”

 

 

“อา แผลที่ซ่อนไว้ของข้าหายแล้ว!”

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างตะโกนโหวกเหวก พากันร้องเล่นเต้นระบำท่ามกลางสายฝนประหนึ่งคนเสียสติ

 

 

ในตอนที่ลมฝนหยุดลง สะพานวิญญาณสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ นกกระจอกวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ เหมือนกับว่ามีเทพเซียนแห่งดุริยางค์ดนตรีเสด็จลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

 

 

“มังกรอัคคีตะวันจรัสแสง ปรากฏการณ์สวรรค์ระดับก่อกำเนิดเช่นนี้ ดูท่าผู้บำเพ็ญเพียรท่านนี้จะแข็งแกร่งมาก” ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองปรากฏกายออกมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เป็นเพราะปรากฏการณ์กลางอากาศนั่นถึงไม่มีผู้ใดตระหนักถึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินได้ ในตอนที่ใกล้สำเร็จจะเกิดภาพมายาอสูรร้อยตน นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ในกรณีที่เกิดมังกร หงส์ หรือกิเลนซึ่งถือเป็นสัตว์ชั้นสูง เหล่านี้เป็นลางบอกล่วงหน้าว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงไหน

 

 

แม้ว่าทั้งสองคนจะบรรลุถึงขั้นก่อกำเนิดมานานแล้ว อารมณ์ไม่อ่อนไหว เห็นปรากฏการณ์สวรรค์เช่นนี้ก็ยังอดใจไม่ไหว พูดให้ถูกก็คือ ไม่ชอบใจนัก

 

 

ยิ่งมาถึงระดับที่สูงอย่างพวกเขาแล้ว การทะลวงระดับขั้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยิ่งยากเย็น

 

 

งานเลี้ยงเซียนจบลงแล้ว สะพานวิญญาณค่อยๆ สลายลงกลางอากาศ ท้องฟ้ากลับมาสงบเหมือนเดิม

 

 

เงาเลือนรางสีครามปรากฏขึ้นกลางอากาศ ต่อให้อยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ก็ยังเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน

 

 

เขายืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้างดงามไร้ที่ติ เยือกเย็นดั่งหิมะ ประหนึ่งเทพสวรรค์ผู้สูงส่ง ความน่าเกรงขามของเขาแผ่กระจายไปทั่ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนต้านทานไม่ไหวจนต้องทรุดตัวลงคุกเข่า

 

 

พลังค่อยๆ เลือนหายไป บุรุษในชุดสีครามปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีที่มา

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น นางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

 

 

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีคนเร็วกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนก้าวเข้าไปก่อนแล้ว พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงใจดีพร้อมทั้งยิ้มให้ “ขอแสดงความยินดีที่สหายบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว”

 

 

สายตาของเยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ กลับมาชัดเจน เขาพยักหน้าให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ขอบคุณสหายทั้งสอง”

 

 

พูดจบเขาก็มองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนเองก็มองตาม เห็นสตรีในชุดสีครามนางหนึ่งกลางอากาศ

 

 

พริบตาเดียว เยี่ยเทียนหยวนก็ใช้วิชาลับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน เขาหันกลับไปยังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคน “ข้าน้อยเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น มีเรื่องราวมากมายต้องจัดการ ไว้ข้าน้อยจะไปเยี่ยมเยียนสหายทั้งสอง ขอทั้งสองโปรดอย่าถือสา”

 

 

พูดจบก็จูงมือมั่วชิงเฉิน ก่อนจะหายไปในพริบตาท่ามกลางหมู่คนมากมาย

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ “ดูเหมือนพวกเราจะมาทำลายบรรยากาศ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

 

 

พูดจบก็หายวับไปกับตา

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะรู้ตัวว่าเยี่ยเทียนหยวนพานางมายังใต้ทะเล เพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นเขาโบกมือหนึ่งที ใต้ทะเลก็เกิดเป็นห้องหนึ่ง

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าบรรลุระดับก่อกำเนิดแล้ว ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดงึมงำเสียงต่ำ มือลูบเส้นผมมั่วชิงเฉินอย่างทะนุถนอม

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง นัยน์ตาปรากฏแววขบขัน จากนั้นเงยหน้ามองเยี่ยเทียนหยวน ยิ้มสดใสและเอ่ย “อาจารย์อา”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset