ของวิเศษเหินเวหาที่กลายเป็นเรือใบไม้ที่แล่นอยู่บนคลื่นน้ำสีมรกตดุจเส้นไหมของทะเลขนาบใจ ให้ความรู้สึกเหมือนบินอยู่บนปุยนุ่นก็ไม่ปาน
มั่วชิงเฉินนั่งอยู่บนเรือ นางท้าวคางมองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนกับผืนน้ำ
อาภรณ์สีแดงประดับด้วยไข่มุก มวยผมปักด้วยปิ่นจิงไช่ที่แสนธรรมดาและสวมกระโปรงผ้าฝ้ายของสตรีที่ออกเรือนแล้ว นิ้วทั้งสิบสวมใส่ปลอกเล็บเฟยอู่ นางมองดูแหตะข่ายตาถี่ถูกหว่านออกไป บนชายหาดมีหอยเม่นมากมาย ผู้คนเดินเล่นเท้าเปล่าอยู่ริมทะเล ในขณะที่นางเก็บเปลือกหอยที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาดู
ลมหายใจแห่งท้องทะเลอันบริสุทธิ์พัดผ่านใบหน้า ทำให้หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่ทันตั้งตัว ดูเหมือนว่าการหนีออกมาใช้ชีวิตที่นี่จะเป็นเรื่องที่นางอยากทำมานานแล้วจริงๆ
“มุกจื่อฮวาสงบจิตคือของวิเศษที่ดีที่สุดของทะเลขนาบใจ เทียนหยวนท่านดูสิ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างพวกนี้งมหามันไปแลกกับหินวิญญาณเพื่อฝึกบำเพ็ญเพียรตลอดชีวิต” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง
สายตาของเยี่ยเทียนหยวนจับจ้องไปที่ข้อมือของมั่วชิงเฉิน “มุกจื่อฮวาสงบจิตใช่ที่เจ้าสวมบนข้อมือหรือไม่”
หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินเคยชินกับการใส่กำไลข้อมือหงิกงอนี่โดยไม่ได้สนใจมันมานานแล้ว เมื่อเยี่ยเทียนหยวนทักขึ้นมาถึงนึกขึ้นได้ก่อนตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “ใช่แล้ว”
นางย้อนคิดไปถึงปีนั้น ปีที่ตนได้ตั้งใจปล่อยวางซึ่งเกียรติและความอัปยศ และด้วยศรัทธาอันแรงกล้าทำให้มุกจื่อฮวาสงบจิตอีกชิ้นถูกทิ้งไว้กับเหตุการณ์นั้น
“ชิงเฉิน” เยี่ยเทียนหยวนเรียกชื่อเบาๆ แล้วมองนาง
มั่วชิงเฉินเงยหน้า “หืม”
แววตาของเยี่ยเทียนหยวนเลื่อนลอยออกไป “เรามาถึงเกาะใจศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินสัมผัสได้ว่าเยี่ยเทียนหยวนไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องนี้กับนาง จึงเพียงยิ้มตอบไปเท่านั้น “หรือไม่ใช่เล่า ถ้ามองจากที่ไกลๆ เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไมต่างจากก่อน”
ใบไม้ที่ถูกแปลงเป็นเรือจากของวิเศษเหินเวหาแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงชายฝั่ง
หลายปีมานี้ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากเทียนหยวนผันตัวมาเป็นพันธมิตรบำเพ็ญเพียรไร้สำนักเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่
แน่นอนว่าสกุลหวังก็ได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย แม้ว่าสกุลหวังจะยังรู้จักเกรงใจอยู่บ้าง แต่ทั้งสองย่อมต้องเผชิญกับข้อพิพาทอย่างเลี่ยงเลี่ยงไม่ได้
ในฐานะที่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์เป็นของสกุลหวัง พวกเขาต้องหาวิธีรับมือไม่ให้อีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่า
มั่วชิงเฉินหยุดเรือที่นี่ ด้านหน้าจวนมีศิษย์ของสกุลหวังเดินเข้ามาตรวจสอบ
“พวกข้าผ่านมาที่นี่อยากมาคาระวะท่านประมุขแห่งสกุลหวังสักครา รบกวนพวกท่านเข้าไปรายงานด้วย”
เหล่าศิษย์ของสกุลหวังที่เป็นหน่วยลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งหัวเราะขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพวกตัวเองคนอื่นก็พาลหัวเราะออกมาตามๆ กัน “น่าขันนัก ประมุขของพวกข้าเป็นใครพวกเจ้าอยากพบก็พบได้งั้นรึ!”
เมื่อมีคนเปิดก็มีคนตาม พวกเขาต่างจ้องมองกลุ่มของมั่วชิงเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า
หัวหน้าผู้บำเพ็ญเพียรตะโกนเสียงดังอย่างโหดเ**้ยมออกมา ถลึงตาใส่ลูกน้องของตนก่อนจะรีบตรงไปคาราวะเยี่ยเทียนหยวน
“ประมุขของพวกเราต้อนรับแขกเสมอ พวกท่านเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย เพียงแต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่าอย่างไร ข้าน้อยจะได้แจ้งท่านประมุขถูก”
เยี่ยเทียนหยวนใบหน้าสงบนิ่งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ไม่เย่อหยิ่ง “เปิ่นจวินลั่วหยาง”
เพียงสี่คำธรรมดา กลับได้ยินเสียงฟ้าผ่าลงมากลางหมู่คน ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปยังเยี่ยเทียนหยวนในทันใด
ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียร ใครเล่าจะไม่รู้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ใช้คำว่า “จวิน” ได้!
“นัก…นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด!” เกิดความโกลาหนเกิดขึ้นในหมู่ผู้คน
ดูเหมือนว่าหัวหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจะตะลึงไปชั่วขณะ
“วุ่นวายอะไรกัน ไร้ระเบียบเสียจริง!” ชายในชุดอาภรณ์เหลืองไข่มุกใช้วิชาตัวเบาบินเข้ามา
“คุณชายสี่!” ทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกัน สีหน้าฉายแววเคารพและเกรงกลัวอย่างชัดเจน
คุณชายสี่แค่พยักหน้าตอบรับ มองไปยังกลุ่มของมั่วชิงเฉินทั้งสาม
ดวงตากลมโตดั่งลูกท้อของมู่ชิงเฉินเป็นเปล่งประกายออกมา ที่แท้เป็นเขา เพียงแปดสิบกว่าปีคุณชายสี่ผู้นี้ก็มีพลังระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นเสียแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีนั้นสกุลหวังถึงให้ความสำคัญกับเขาที่สุด
เจอคนแบบนี้ ยิ่งอยากไปหามั่วหนิงโหรวโดยไวเสียแล้ว แต่ดูท่าคงไม่มีอารมณ์พูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ แน่นอนว่ามั่วหนิงโหรวอยู่ที่นี่คงร้อนรนใจไม่น้อย เรื่องราวในอดีตคงไม่สามารถระบายออกมาได้ภายในวันเดียว และคงต้องใช้ความอดทนในการอยู่ที่นี่เท่านั้น ในที่สุดเหตุการณ์ระทึกใจได้ปรากฏอยู่ข้างหน้านี่แล้ว
ในใจของคุณชายสี่ หากคนที่เขาเกลียดที่สุดเป็นอันดับสองคือมู่ชิงเฉิน คงไม่มีใครได้ขึ้นครองอันดับหนึ่งเป็นแน่ ทว่าในปีนั้นนางมิอาจเปิดเผยตัวต่อหน้าผู้คนได้ แน่นอนว่าเขาคงจำไม่ได้กระทั่งตอนนี้
พลังของคุณชายสี่สูงกว่าหน่วยลาดตระเวนมาก ฟังจากบทสนทนาที่วุ่นวายเมื่อครู่ ก็ได้แต่มองตาเยี่ยเทียนหยวน เขาเปลี่ยนสีหน้าเดินเข้าไปคาราวะ “คาระวะผู้อาวุโส”
เขาแสดงความเคารพฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีที่จริงจัง แต่ใจกลับเต้นแรงดั่งคลื่นทะเลที่โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง
ทะเลขนาบใจมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่กัน เหตุใดแม้แต่ข่าวคราวยังมิทราบ ท่านประมุขเองมีหรือจะไม่รู้
มีคนแบบนี้ปรากฏกายออกมาหรือว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากดินแดนเทียนหยวนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้พันธมิตรนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักมีพลังอำนาจมากกว่าเมื่อก่อนหรือไม่ พันปีหลังจากนี้คงไม่มีที่ยืนสำหรับสกุลหวังอีกต่อไปแล้วกระมัง
คิดถึงตรงนี้คุณชายสี่ก็เหงื่อแตกซก รอจะเข้าไปรายงานกับท่านประมุขไม่ไหว
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าแค่ผ่านมาทางนี้ อยากจะขอเข้าพบท่านประมุขเท่านั้น” เพียงเอ่ยวาจาออกมาไม่กี่คำก็เผยให้เห็นถึงพลังอันล้นเหลือของชายผู้นี้แล้ว
ปราณระดับก่อกำเนิดก็เกือบจะเป็นจุดสูงสุดของใต้หล้าแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ชีวิตบนสวรรค์แต่กลับมีอิสระไร้ข้อผูกมัดใดๆ ไม่ว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไรก็เผยให้เห็นถึงพลังอำนาจออกมาทั้งหมด ผู้ใดก็ไม่กล้าล่วงเกินสมกับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด
คุณชายสี่แม้มีนิสัยหยิ่งผยองทั้งยังเป็นนายคน แต่กลับก้มหัวให้ผู้ที่เหนือกว่าตน แม้มีท่านประมุขคอยสนับสนุนแต่ก็ไม่กล้าวางอำนาจแต่อย่างใด รีบส่งสายตาตำหนิศิษย์หน่วยลาดตระเวนทันที
“พวกเจ้าทำอะไรลงไป ท่านเจินจวินมาถึงที่นี่แต่กลับไม่ให้ความเคารพ”
พูดจบก็รีบเข้าไปหาเยี่ยเทียนหยวน “ผู้อาวุโสโปรดตามข้าน้อยเข้าไปในจวนเถอะ ข้าน้อยจะเข้าไปแจ้งให้ท่านประมุขทราบ”
ของวิเศษค่อยๆ จางหายไป เยี่ยเทียนหยวนก้าวลงมาก่อนจะยื่นมือออกไปหามั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินมองด้วยสายตาไม่พอใจแต่ก็ยื่นมือออกไปจับ
คุณชายสี่มองมั่วชิงเฉินพินิจพิเคราะห์
ดวงตาของนางทำให้เขารู้สึกเสียสูญแต่ก็พยักหน้าให้มั่วชิงเฉินตามมารยาท
เดิมเขาไม่ใช่คนที่หลงใหลไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของสตรี ช่วงปีแรกๆ นั้นเพื่อสร้างเตาหลอมโอสถ เขาแทบไม่ได้ยุ่งกับสตรีเลย ได้แต่บำเพ็ญเพียรด้วยความบริสุทธิ์ใจเพียงเท่านั้น
ทว่ารปโฉมของนางนับได้ว่าเปนเลิศ พลังปราณของนางก็สูงกว่าเขาเล็กน้อย ทั้งความสัมพันธ์ของผู้บำเพ็ญระดับก่อนกำเนิดก็นับว่าไม่ธรรมดา แม่นางผู้นี้ยิ่งอยู่ห่างได้ยิ่งดี
“ตู้รั่ว มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบลงมา” มั่วชิงเฉินหันหลังมองตู้รั่วขวดคิ้วน้อยๆ อยู่
เจ้าเด็กนี่ไม่รู้เป็นอะไร เหมือนจะไม่ปกติที่พาลคนอื่นเข้าไปทั่ว หัดอยู่นิ่งๆ เสียบ้าง
ตู้รั่วเปลี่ยนสีหน้าท่าทางของตัวเองก่อนจะตอบกลับเสียงเบาๆ “ขอรับ”
ทั้งตัวของคุณชายสีแข็งค้างทันใด ตะโกนเสียงดังอย่างตกตะลึง “เจ้า…”
มั่วชิงเฉินมองอย่างไม่สบอารมณ์ “สหายมีเรื่องอะไรจะพูดกับข้ารึ?”
ไม่ถูก เจ้าเด็กบ้าสมควรตายนั่นจะมีหน้าตาเช่นนี้ได้อย่างไร
สมองของคุณชายสี่สบสนวุ่นวาย เขาจำหน้าตาของเด็กบ้านั่นได้เพียงเลือนลาง ทว่ายังรู้สึกได้ว่าดวงตาของผู้หญิงคนนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว แต่เล็กจนโตใช้ชีวิตอยู่ที่ทะเลขนาบใจแห่งนี้ ไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณขั้นสูงเท่านั้น ขอแม่นางโปรดอย่าถือสา” คุณชายสี่เรียกสติกลับคืนก่อนตอบอย่างใจเย็น
ใช่แล้ว ปีนั้นเจ้าเด็กบ้าสมควรตายนั่นมีพลังปราณอยู่แค่ระดับรากฐานชั้นกลางเท่านั้น เวลาเพียงสั้นๆ จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นสูงได้อย่างไร ต้องจำผิดไปแน่ๆ เพียงมีน้ำเสียงคล้ายกันก็เท่านั้น
คุณชายสี่คิดว่าตัวเองคิดถูกต้องแล้วจึงเดินนำทางต่อ แต่ในใจกลับมีความทรงจำนั้นเกิดขึ้น ราวกับมีเมฆดำครึ้มปกคลุมหนาแน่น
เมื่อเข้าสู่ห้องโถง คุณชายสี่หันหลังก็มาเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกรุณารอสักครู่ ท่านประมุขกักตัวฝึกฝนตน ขออนุญาตให้ข้าน้อยนำเรื่องไปรายงานท่านประมุข”
“ขอบใจมาก” เยี่ยเทียนหยวนตอบเบาๆ
ที่กักตนของประมุขตระกูลหวังตั้งอยู่ใต้ทะเลสาบเกาะใจศักดิ์สิทธิ์
คุณชายสี่รายงานยันต์ส่งสารออกไป ใช้เวลาไม่นาน ร่างของชายกลางคนสวมชุดนักพรตก็เดินท้าวเปล่าปรากฏตัวออกมา “หวังสี่ หาข้ามีเรื่องอันใด”
“ท่านประมุขมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมาขอพบขอรับ” คุณชายสี่ตอบ
“อะไรนะ” ประมุขหวังมีท่าทีตกใจ “อยู่ที่ใด”
“ข้าน้อยให้พวกเขารออยู่ที่ห้องโถงกลางแล้วขอรับ”
“พวกเขา”
คุณชายสี่ตอบอย่างทันท่วงที “ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณขั้นสูง น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แล้วก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับรากฐาน เกรงว่าจะเป็นศิษย์ของเขาขอรับ”
“พอแล้ว ข้ารู้แล้ว หวังสี่ เจ้าออกไปข้างนอกหลายวันกลับไปหาเจ้าหนูหนิงโหรวเถอะ ไม่ต้องตามข้ามา” ประมุขหวังพูดจบก็ขยับตัวบินออกไป
คุณชายสี่เห็นประมุขหวังออกไปแล้ว แต่ในใจดั่งจมอยู่ในมหาสมุทร เขายืนนิ่งสักพักก็บินกลับไปที่ห้องแล้วเตะประตูเข้าไป
หญิงสาวในชุดสีชมพูอ่อนที่บำเพ็ญเพียรอยู่กลางห้องถึงกับผงะ ทันใดนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าเป็นคุณชายสี่ แววตาหม่นหมองลงพูดเสียงเบาว่า “ท่านกลับมาแล้ว”
คุณชายสี่เม้มริมฝีปากแน่นความโกรธประทุออกมา สาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวในชุดชมพูอ่อนข้างเตียงแล้วจับข้อมือของนางไว้ มืออีกข้างฉีกเสื้อของนางขาดตกลงด้านล่างอย่างไม่ลังเล
“ท่าน….” หญิงสาวในชุดชมพูสบถออกมาได้เพียงคำเดียวก็ถูกคุณชายสี่ผลักลงบนเตียงอย่างแรง เขาเลิกกระโปรงที่ของนางขึ้น ยัดเยียดความร้ายกาจเข้าไปอย่างไร้ความปราณี
หญิงสาวในชุดชมพูได้แต่ร้องไห้กล้ำกลืนฝืนทน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “เหตุใดท่านถึงทำเรื่องอัปยศกับข้าเช่นนี้”
“ทำอัปยศกับเจ้า” คุณชายสี่หรี่ตามอง กระแทกความโหดเ**้ยมเข้าไปอีกครา
“ภรรยากับสามีอาศัยอยู่ห้องเดียวกัน เป็นเรื่องเป็นธรรมมิใช่หรือ มิเช่นนั้นเจ้าก็ไปสิ ไปร้องทุกข์กับท่านประมุขเลย แล้วก็ยังมีน้องหกขี้โรคของเจ้าด้วย!”
เพราะปีนั้นเจ้าเด็กบ้าสมควรตายนั่น ทำให้ตัวเขานอนหลับไม่สนิทถึงสิบกว่าปี ยังไม่ทันที่พระอาทิตย์จะขึ้นเขาก็ฝันร้ายตื่นขึ้นมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือนางบำเรอของเขาถูกนางแพศยานั่นจัดการซะเรียบ หากเขาไม่กลายเป็นบ้าพี่สะใภ้และอาเล็กของเขาคงร่วมมือกันทำเรื่องผิดศีลธรรมไปแล้ว
เกรงว่าเขาจะกลายเป็นตัวตลกของบ้านสกุลหวังแล้วกระมัง
และสิ่งที่ทำให้เขาทรมานที่สุดก็คือ แท้จริงแล้วท่านประมุขปฏิบัติกับนางแพศยานั่นด้วยความเคารพอย่างมาก ในฐานะคำสั่งของประมุขทำให้เขาต้องปล่อยนางบำเรอทั้งหมดออกไป
หลายครั้งเขาเองก็รู้สึกว่า หากไม่ใช่เพราะว่าเขาคือชายหนุ่มที่มีคุณสมบัติมากที่สุดของสกุลหวัง และเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ เกรงว่าท่านประมุกคงให้หวังหกขึ้นมาทำหน้าที่แทนเขาแล้วกระมัง
เหตุผลทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้าเด็กน่าตายนั่น
ดวงตาของคุณชายสี่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขากระพริบตาแล้วพบว่ามีถาพทับซ้อนหน้าของคนที่นอนอยู่ใต้ล่าง กับผู้บำเพ็ญเพียรสาวระดับก่อแก่นปราณเมื่อครู่
หญิงสาวที่นอนอยู่ใต้ร่างถึงจุดสุดยอด จากนั้นแท่งทวนของเขาก็ทำให้คนใต้ร่างสั่นสะท้าน เขาจ้วงแทงด้วยความเร็วที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและเกลียดชังไปพร้อมกัน จนในที่สุดน้ำแร่ที่ร้อนดังไฟเผาก็ระเบิดออกมา หญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจแล้วสลบไปในที่สุด
ตอนนั้นเองสาวใช้ก็ผลักประตูเข้ามารายงานอย่างเร่งรีบ
“ฮูหยินสี่ ท่านประมุขเชิญท่านไป เอ่อ….”