“พี่สิบสี่ ข้าคือชิงเฉิน ท่านนอนรึยัง” มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูถามออกไป
ไม่นานประตูก็เปิดออก มั่วหนิงโหรวยื่นมือออกไปหามั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน รีบเข้ามาเถอะ”
พูดจบก็ตกตลึงเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปยังเยี่ยเทียนหยวนและตู้รั่วที่อยู่ด้านข้าง
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก ชี้ไปยังเยี่ยเทียนหยวน “พี่สิบสี่ ผู้นี้คือคู่บำเพ็ญเพียรของข้า ลั่วหยางเจินจวิน เทียนหยวน ผู้นี้คือพี่สิบสี่ของข้า”
“ชิงเฉิน เจ้าแต่งงานแล้วหรือ” มั่วหนิงโหรวประหลาดใจอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาคู่งานราวผลเมล็ดซิ่งจับจ้องไปยังเยี่ยเทียนหยวน ก็รู้ว่าเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ชั่วเวลาหนึ่งพลันไม่รู้จะทักทายกันอย่างไรดี ใบหน้าขาวนวลถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยความเขินอายทันใด
เยี่ยเทียนหยวนก็มีความรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อยเช่นเดียวกัน เขาไม่ใช่คนเย็นชาที่ไร้หัวใจจริงๆ ใบหน้าที่เป็นภูเขาน้ำแข็งตลอดเวลา ความจริงแล้วเพื่อเอาไวปกป้องตัวเองเท่านั้น สำหรับมั่วชิงเฉินคนรักของเขา เทียบกันแล้วมีความสำคัญต่อเขายิ่งนัก เมื่อเห็นมั่วหนิงโหรวมองมาทางนี้ ปากของเขาก็โพล่งออกมาทันใด “พี่สิบสี่!”
สายลมเย็นระลอกพลันพัดผ่าน มั่วชิงเฉินอ้ำอึ้ง มั่วหนิงโหรวอ้ำอึ้ง ตู้รั่วก็อ้ำอึ้งเช่นเดียวกัน
ฟังผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งตะโกนทักทายพี่สิบสี่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับรากฐานขั้นต้นอย่างจริงๆ จังๆ เหตุใดถึงรู้สึกแปลกพิลึกชอบกล
มั่วหนิงโหรวยืนอยู่ประตูด้านใน กลุ่มของมั่วชิงเฉินทั้งสามคนยืนอยู่ด้านนอกประตู ในชั่วขณะหนึ่ง ชั้นบรรยากาศพลันแข็งค้าง
เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกโล่งใจแทนที่ประโยคนั้นได้ตะโกนออกมา แล้วยิ้มอย่างเป็นกันเอง “พี่สิบสี่ ชิงเฉินเคยพูดเรื่องท่านให้ลั่วหยางฟังนานแล้ว ดีใจที่วันนี้ได้พบ”
แววตาของมั่วหนิงโหรวเปล่งประกาย ก่อนกลับมาน่ารักไร้เดียงสาอีกครั้ง “รีบเข้ามานั่งด้านในก่อน ชิงเฉิน สายตาอันกว้างไกลของเจ้ายังดีเหมือนเดิมเลยนะ”
พูดจบก็มองมาที่ตู้รั่วที่อยู่ด้านข้าง ตากลมโตเบิกกว้าง “ชิงเฉิน นี่ นี่คงไม่ใช่บุตรของพวก…”
“ลูกศิษย์!” มั่วชิงเฉินรีบโพล่งออกมาก่อนทันใด ช่วยให้พ้นขีดอันตรายท่ามกลางผู้คน
ใบหน้าของมั่วหนิงโหรวแดงแล้วแดงอีก ยิ้มให้ตู้รั่วด้วยความขัดเขิน
ตู้รั่วที่วันนี้ได้เห็นเยี่ยเทียนหยวนผู้มีท่าทีเยือกเย็นอยู่เสมอกลายเป็นเช่นนี้ ก็ขอเรียนรู้เต็มรูปแบบเลยแล้วกัน เขาฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตอบกลับตามมารยาท
มั่วชิงเฉินแอบกลอกตา เจ้าหมอนี่ตีเนียนอีกแล้ว จะลูกศิษย์หรือลูกชายล้วนอายุน้อยกว่าทั้งนั้น กล่าวได้ว่าหากพูดผิดไปแล้วสีหน้าคงบึ้งตึงเช่นนี้แหละ
“พี่สิบสี่ ข้าพาพวกเขามาเพื่อให้พวกท่านทำความรู้จักกันสักหน่อย แต่ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับท่าน ท่านให้สาวใช้พาพวกเขาไปดื่มชาที่ห้องโถงด้านในก่อนเถอะ” มั่วชิงเฉินกล่าว
มั่วหนิงโหรวก็รู้สึกกดดันอย่างมากยามอยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน คนหนึ่งคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแต่กลับตะโกนเรียกนางว่าพี่สิบสี่ ก็ทำให้นางรู้สึกรับไม่ไหวแล้ว อีกคนหนึ่งจากลูกศิษย์ถูกคิดว่าเป็นลูกชาย ทุกคนล้วนหน้าดำคร่ำเครียดคงคิดอยากจะตบหน้าตนอยู่กระมัง “ไห่หลัน เจ้าพาทั้งสองคน…พาแขกทั้งสองคนนี้ไปที่โถงบุปผาดูแลให้ดีๆ”
หลังจากเยี่ยเทียนหยวนและตู้รั่วออกไปแล้ว สองพี่น้องก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ประตูถูกปิดลง มั่วชิงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ ถามอย่างตรงไปตรงมา “พี่สิบสี่ เรื่องในวันนี้ ท่านน่าจะได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”
มั่วหนิงโหรวพยักหน้าเผยให้เห็นถึงลำคอเรียวขาว ตอบเสียงเบาดั่งขนห่านกระทบพื้นว่า “ข้ารู้นานแล้ว ชิงเฉิน ข้าสร้างปัญหาให้เจ้าอีกแล้ว”
มั่วชิงเฉินกัดฟัน นางรับไม่ได้กับนิสัยที่แบกความรับชอบทุกอย่างไว้ของมั่วหนิงโหรวเลย พี่สิบสี่นะพี่สิบสี่ แม่พระยังไม่ดีเท่าท่านเลย!
“พี่สิบสี่ ท่านพูดเช่นนี้ ข้าฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก หากข้าโมโห ก็แค่ทุบหวังสี่นั่นสักทีนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายแล้ว”
มั่วหนิงโหรวกำมือไว้ใต้กระโปรงแน่น กัดริมฝีปากตอบว่า “ชิงเฉิน เหตุใดเจ้าต้องลำบากเพราะเรื่องเหล่านี้ของข้าด้วย หวังสี่เขา….” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็แดงก่ำ แล้วพูดต่อเบาๆ ว่า “ก็แค่ช่วงเวลานั้นเขาทำให้ข้าลำบากเล็กน้อย หนึ่งปีมานี้ก็มีไม่กี่ครั้ง”
“ดังนั้นท่านก็เลยทนไปเช่นนั้นหรือ” มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ร่างกายของมั่วหนิงโหรวสั่นสะท้าน ไม่เอ่ยวาจาอันใดต่อ
มั่วชิงเฉินแอบถอนหายใจ สันดอนขุดง่าย สันดารขุดยาก นิสัยของคนนี่แหละยากจะเปลี่ยนแปลง
“พี่สิบสี่ พวกเราตระกูลมั่วถูกฆ่าล้างตระกูลอย่างโหดเ**้ยม บัดนี้นอกจากท่าน ข้า ก็ยังมีหู่โถว พี่เก้าและพี่สิบที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น การแก้แค้นคือสิ่งแรก แต่สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการรักตัวเองก่อน ถึงจะทำให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วของเราสบายใจได้” มั่วชิงเฉินดึงมือของมั่วหนิงโหรวมาจับไว้ พูดอย่างอบอุ่น
มั่วหนิงโหรวยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว”
“หากเป็นเช่นนั้น ท่านยินยอมกลับเทียนหยวนกับข้าหรือไม่” มั่วชิงเฉินถามเบาๆ ขณะมองร่างกายที่อ่อนแอขนาดเสื้อผ้ายังหนักกว่าของมั่วหนิงโหรว
“กลับเทียนหยวนหรือ” แววตาของมั่วหนิงโหรวเปลี่ยนแปลงจากเดิมเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว กลับเทียนหยวน พวกเราจะไปหาพี่เก้า พี่สิบ และหู่โถวด้วย จากนั้นร่วมมือกันแก้แค้นให้ตระกูลมั่ว ท่านยอมหรือไม่”
ร่างกายของมั่วหนิงโหรวสั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปไม่สามารถคาดเดาได้
มั่วชิงเฉินไม่ได้ถามต่อ รอฝ่ายตรงข้ามตัดสินใจอย่างเงียบๆ
เก้าสิบปีก่อน ที่นางไม่ยอมกลับเพราะเยี่ยนเยี่ยนยังเด็ก มิอาจแยกจากผู้เป็นมารดาได้ ทั้งมิอาจไปจากสกุลหวังสถานที่ที่ตนเกิด แต่บัดนี้ นางยังลังเลอะไรอยู่อีกเล่า
“ให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ” เนิ่นนาน มั่วหนิงโหรวก็ได้ตัดสินใจตอบออกไป
“เพราะเหตุใด” มั่วชิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“พลังยุทธ์ของข้าต่ำต้อยนัก อีกทั้งร่างกายอ่อนแอ กลับไปก็เป็นตัวถ่วงให้พวกเจ้าเสียเปล่า ทั้งยังมีเยี่ยนเยี่ยน ข้าไปจากนางไม่ได้จริงๆ…”
มั่วชิงเฉินทุบโต๊ะอย่างแรง ตอบกลับด้วยความโกรธา “มั่วหนิงโหรว หากท่านเป็นพี่ของข้า ก็ตอบข้าอย่างตรงไปตรงมา ท่านไม่อยากกลับไป เหตุผลที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ เป็นตัวถ่วงของพวกข้าอย่างนั้นหรือ ท่านอยู่ที่นี่มีแต่โดนรังแก ใจของพวกข้ามิอาจปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้ นี่ถึงเรียกว่าเป็นตัวถ่วงต่างหากเล่า! มิอาจตัดใจจากเยี่ยนเยี่ยน พี่สิบสี่ พวกเราคือผู้บำเพ็ญเพียร เยี่ยนเยี่ยนก็เช่นกัน ท่านมิอาจมัดนางไว้กับตัวได้ตลอดชีวิต ตอนนี้นางก็โตแล้ว ควรกางปีกบิน ออกไปเรียนรู้ด้วยเอง เหตุผลทั้งสองข้อนี้ ข้ามิอาจยอมรับได้!”
เห็นมั่วหนิงโหรวจะเปิดปากตอบ มั่วชิงเฉินก็พูดต่อทันที “ท่านไม่ต้องมาพูดอีกนะว่าการที่พาท่านออกไปจากที่นี่จะเป็นปัญหา พันธมิตรผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักก็เป็นสหายข้าทั้งนั้น ประมุขหวังก็ให้สัจจะสาบานต่อจิตมารไว้แล้ว ไม่อาจห้ามอะไรได้ แม้แต่หวังสี่ เขาห้ามอะไรได้หรือ ไม่ให้เขาสร้างปัญหาก็นับว่าเป็นพระคุณแล้ว ดังนั้นเหตุผลเหล่านี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน!”
นางดูออก นิสัยใจดีเกินไปของมั่วหนิงโหรวต้องใช้ยาแรงเท่านั้น มิเช่นนั้นนางจะยอมให้ตัวเองโดนกดขี่จนตายก่อนโดยไม่รังเกียจอะไรเลยกระมัง
มั่วหนิงโหรวมองมั่วชิงเฉินอย่างอ้ำอึ้ง สาวน้อยที่กล้าหาญผู้นี้ ใช่น้องสิบหกของนางจริงหรือ
เขาน้อยที่อยู่ในกระเป๋าวิญญาณอสูรปิดหน้าตัวเอง “นายท่าน ภาพลักษณ์ของท่านไปหมดแล้ว”
อีกาไฟยิ้มอย่างเยาะเย้ย “นายท่านเคยมีภาพลักษณ์ด้วยหรือ”
หมาป่าน้อยที่ยอมจำนนต่อความเท่ห์ของเจ้านายพูดขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่านายท่านเป็นเช่นนี้ดีมากเลย หมาป่าน้อยชอบมาก!”
“พวกเจ้าสามตัวพอได้แล้ว หากแอบฟังอีกก็อย่าคิดจะออกมาได้ทั้งชีวิต!” สีหน้าของทั่วชิงเฉินไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ความเป็นจริง เจ้าบ้าสามตัวนี่ นับวันยิ่งไร้ขื่อไร้แป ไม่มีอะไรที่จะเอามาข่มขู่ได้แล้ว ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคืองยิ่งนัก
มั่วหนิงโหรวที่เห็นมู่ชิงเฉินกัดปากอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เงียบๆ ก็ปิดหน้าร้องไห้ทันที
“ชิงเฉิน ที่เจ้าพูด ข้า เหตุผลที่ข้าไม่อยากไปจากที่นี่คือ…คือข้าอยากเจอเขาเป็นครั้งคราว ข้า…ข้าเป็นคนที่ไร้ยางอายใช่หรือไม่”
“เขาหรือ” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว วันนี้นางจะต้องบีบบังคับให้มั่วหนิงโหรวพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาให้หมดให้ได้
“เป็น…คุณชายหก…” มั่วหนิงโหรวพูดสามคำออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าหมดซึ่งพลังที่นางมีแล้ว
มั่วชิงเฉินแทบอยากจะเข้าไปตะครุบหัว กัดฟันตอบ “พี่สิบสี่ หากท่านทั้งสองมีใจรักผูกพันธ์กัน หลายปีผ่านมานี้ทำอะไรกันอยู่!”
มั่วหนิงโหรวตะลึง “ชิงเฉิน เจ้าไม่รู้สึกว่าข้า…พวกเราอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรือ”
มั่วชิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ “พี่สิบสี่พวกเราคือผู้บำเพ็ญเพียร รู้เพียงว่ากฎของโลกใบนี้มีเพียงมนุษย์ปีศาจอาจารย์และลูกศิษย์เท่านั้นที่มิอาจผูกรักสานสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้!”
พูดถึงตรงนี้ ในใจราวกับว่ามีเข็มที่มองไม่เห็นทิ่มแทงลงมาอย่างเจ็บปวดในชั่วพริบตา
โลกใบนี้ล้วนมีแต่สิ่งที่ไร้ทางออกเต็มไปหมด หากอยากเติมเต็มชีวิตที่สมหวังแต่กลับให้ตัวเองผูกติดกับโซ่ตรวน เช่นนั้นจะโทษใครได้อีกเล่า!
มั่วหนิงโหรวพูดออกมาอย่างไม่ชัดเจนนัก ราวกับอยู่ห่างไกลออกไป “ชิงเฉิน เจ้าไม่ใช่ข้า ข้าทำอย่างที่เจ้าพูดไม่ได้ ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้ายังไม่ใช่แม่คน”
พูดถึงตรงนี้มั่วหนิงโหรวยิ้มออกมาอย่างกลัดกลุ้มใจ ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ “ข้ายังจดจำวันนั้นได้มาโดยตลอด เยี่ยนเยี่ยนถามข้าด้วยความไร้เดียงสาว่า ‘ท่านแม่ พี่น้องมากมายต่างถามข้าว่าท่านแต่งงานกับอาหกแล้วใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น เยี่ยนเยี่ยนต้องเรียกอาหกว่าท่านพ่อ หรือเรียกอาหกเหมือนเดิมเจ้าคะ’”
มั่วชิงเฉินกัดปากเงียบไม่ได้ตอบอันใด
มั่วหนิงโหรวมองมั่วชิงเฉินด้วยความอ่อนโยนอย่างลึกซึ้ง “ชิงเฉิน ข้าคือมารดาของเยี่ยนเยี่ยน ข้าจะให้เด็กน้อยอายุไม่ถึงแปดขวบแบกรับความรับผิดชอบไว้ได้อย่างไร”
“เยี่ยนเยี่ยน เจ้าเข้ามาเถอะ” มั่วชิงเฉินพูดอย่างราบเรียบ
ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักออก หญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้าไป หน้าตาของนางราวกับมั่วหนิงโหรวไม่มีผิด แต่ระหว่างคิ้วกลับมีความมั่นคงและหนักแน่นปรากฏออกมาอยู่บางส่วน นางกระโดดหามั่วหนิงโหรว พูดด้วยน้ำเสียงสั่นระริก “ท่านแม่…”
“เยี่ยนเยี่ยน เจ้ามาถึงเมื่อไรกัน” มั่วหนิงโหรวตระหนกตกใจใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด
มั่วชิงเฉินยิ้มเล็กน้อย ตั้งแต่ที่ทั้งสองพูดคุยกัน นางก็รู้แล้วว่ามีคนมา ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบจึงรู้ว่าเป็นเยี่ยนเยี่ยน ได้ยินนางหยุดเดินและฟังอยู่ด้านนอกทั้งยังไม่ได้เปิดประตูเข้ามา
นางตั้งใจให้เยี่ยนเยี่ยนได้ฟังความคิดของมั่วหนิงโหรว ดูสิว่าเด็กคนนี้จะมองเรื่องนี้อย่างไร
“ท่านแม่ ล้วนเป็นความผิดของเยี่ยนเยี่ยน เยี่ยนเยี่ยนตอนนั้นไม่รู้ความ เลยพูดทำร้ายท่าน…” หวังเยี่ยนเยี่ยนในตอนนี้ร้องไห้โฮออกมาแล้ว
นางไม่เคยรู้เลยว่าท่านแม่ปฏิเสธอาหกมาโดยตลอด เพียงเพราะประโยคที่นางพูดตอนเด็กนั้น ไม่แปลกใจเลยพอนางโตขึ้นแล้วยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทุกครั้งก็ถูกท่านแม่พูดปัดมาโดยตลอด
มั่วหนิงโหรวเป็นผู้หญิงที่อยู่ในกฎระเบียบ วันนี้ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเพราะถูกมั่วชิงเฉินบีบบังคับอย่างไม่มีทางเลือก แต่ถูกลูกสาวได้ยินเข้า ตอนนี้รู้สึกละอายใจไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ ได้แต่นั่งอย่างอ้ำอึ้ง
“เยี่ยนเยี่ยน เจ้าออกไปก่อน” มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าสมควรแก่เวลาได้ จึงพูดออกไป
“เจ้าค่ะ น้าสิบหก” หวังเยี่ยนเยี่ยนลุกขึ้น เด็กสาวอายุสิบเก้าปีที่ทั้งน่ารักและเฉลียวฉลาด หมุนตัวออกไปอย่างเงียบๆ
“พี่สิบสี่ ท่านล้วนได้ยินหมดแล้ว เยี่ยนเยี่ยนไม่ได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ของท่านและคุณชายหก” มั่วชิงเฉินพูด
“แต่ว่า…” มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปากบาง
มั่วชิงเฉินพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย พี่สิบสี่ท่านไม่ต้องหนีอีกแล้ว ท่านทำเพื่อชีวิตที่ดีของเยี่ยนเยี่ยน ความจริงการที่เยี่ยนเยี่ยนรู้ความจริง ว่านางทำร้ายจิตใจท่าน ในใจจะรู้สึกผิดเพียงใด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าความจริงแล้วท่านก็กังวลเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ผู้อื่นอาจจะไม่ได้สนใจเลย แต่การที่ท่านหนีต่างหาก คือการใช้มีดทำร้ายใจคนอย่างแท้จริง!”
มั่วหนิงโหรวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย บ่มพึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้หรือ”
ให้เวลานานได้คิดทบทวน มั่วชิงเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา “เพราะฉะนั้นแล้วพี่สิบสี่กลับเทียนหยวนด้วยกันเถอะ คุณชายหกมิใช่กักตัวบำเพียรตนอยู่หรือ ทิ้งข้อความบอกเขาไว้ หากออกมาแล้วก็สามารถไปหาท่านที่เทียนหยวนได้ แม้ว่ามิอาจมาได้ มาหรือไม่มา ทั้งหมดล้วนแต่วาสนาดีหรือไม่”
เนิ่นนาน ในที่สุดมั่วหนิงโหรวก็พูดออกมาอย่างยากลำบากหนึ่งคำว่า “ได้”