เวยเซิงลิ่วเอ่ยจบ ก็จ้องเขม็งไปยังมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าตึงเครียด
ในความคิดของมั่วชิงเฉิน หากนางกล้าพูดออกมา เจ้าหมอนี่ไม่โบกกรงเล็บมาตะปบหน้าของนางก็คงแปลก
แต่นางก็ทนไม่ไหวคิดจะหัวเราะออกมา ตัวใหญ่ขนาดนี้แค่กระตุ้นนิดเดียวก็พองขน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกระรอกตัวหนึ่ง!
“สหายมั่ว พอหรือยัง!” เวยเซิงลิ่วแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มั่วชิงเฉินหักห้ามสายตาไม่ให้มองไปทางเขา ขบคิดในใจว่าตนเองดูเหมือนจะไม่สุภาพขึ้นเรื่อยๆ และขบคิดไม่หยุด มันคือกระรอก กระรอก…
“แค่กๆ สหายทั้งสอง ไม่สู้ให้ข้าขึ้นไปตรวจสอบก่อนเป็นอย่างไร”
เวยเซิงลิ่วโมโหแล้ว จึงตะโกนออกมา “สหายมั่ว วาจาเจ้าเชื่อถือไม่ได้!”
มั่วชิงเฉินรีบร้อนปลอบใจ “สหายเวยพูดเกินไปแล้ว สถานการณ์ด้านบนไม่ชัดเจน ข้าแค่จะไปดูก่อน และไม่ได้ไปคนเดียว”
เซี่ยหรันมองด้วยความเย็นชา รู้สึกว่าสองคนนี้มีแอบแลกเปลี่ยนอะไรกันลับๆ แม้ว่าในใจจะไม่สบอารมณ์แต่กลับทำอะไรไม่ได้ จึงเอ่ยออกมาว่า “สหายมั่วรีบทำเวลาเถิด พวกเราจะรออยู่ที่นี่”
มีศัตรูที่ต้องต่อกรคนเดียวกัน เขาไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะทิ้งพวกเขาสองคนแล้วหนีไปคนเดียวจริงๆ
มั่วชิงเฉินแตะปลายเท้า บินขึ้นไปด้านบนอย่างอ่อนช้อย
เห็นนางไม่มีไอวิญญาณแผ่ออกมาเลยสักนิด เวยเซิงลิ่วพลันลูบใต้คางแล้วเอ่ยว่า “สหายมั่วบินไปได้อย่างไร หรือว่า…ความจริงแล้วนางเป็นปีศาจวิหคตนหนึ่ง”
มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้บินไปไกล เมื่อได้ยินก็ซวนเซจนเกือบจะร่วงลงมา
เซี่ยหรันจ้องเขม็งไปยังเงาแผ่นหลังของมั่วชิงเฉินเนิ่นนาน นั่งขัดสมาธิ เข้าฌานฝึกบำเพ็ญเพียร
เวยเซิงลิ่วรู้สึกไม่ค่อยชอบอยู่กับเซี่ยหรัน และไม่วางใจที่จะฝึกบำเพ็ญเพียร จึงควักเปลือกแมงมุมที่ซ่อนเอาไว้ออกมาอย่างเบื่อๆ แล้วกินเข้าไปดัง กร้วมๆ
ใบหน้าของเซี่ยหรันถมึงทึง ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามทางนั้นก็ยังมีเสียง กร้วมๆ ดังออกมา ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ลืมตาขึ้น “สหายเวยเซิง โปรดมีมารยาทด้วย!”
เวยเซิงลิ่วมีสีหน้าแปลกประหลาด “สหายเซี่ย ก็แค่เปลือกแมงมุมเท่านั้น จะไม่มีมารยาทได้อย่างไร”
เซี่ยหรันกัดฟัน “สหายเวยเซิง ข้าน้อยกำลังเข้าฌาน เจ้างดอาหารได้ตั้งนานแล้ว เช่นนี้ไม่จงใจรบกวนข้าหรือ”
เวยเซิงลิ่วมีแววตาไร้ซึ่งความผิด “สหายเซี่ย ปีศาจบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราไม่เหมือนกับพวกเจ้า แม้จะบอกว่างดอาหารได้แล้วไม่กินอะไรก็ไม่อดตาย แต่ไม่มีปีศาจบำเพ็ญเพียรตนไหนที่ทำเช่นนี้ เพราะว่ามีเพียงเลือดและเนื้อที่มีไอวิญญาณแฝงอยู่เท่านั้น ถึงจะทำให้พวกเราเพิ่มพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว” เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทีไม่พอใจ “อีกอย่าง เมื่อครู่ข้าก็ไม่ได้กิน!”
“แล้วมันคืออะไร!” เซี่ยหรันเองก็โกรธเกรี้ยว
“ลับฟัน!” เวยเซิงลิ่วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เซี่ยหรันพลันยืนขึ้น มองเวยเซิงลิ่วด้วยความโมโห
เวยเซิงลิ่วเองก็ไม่ยอมถอย ถลึงตาที่ใหญ่กว่าใส่เซี่ยหรัน
มั่วชิงเฉินร่อนลงมา มองเห็นท่าทางพร้อมรบ ก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “สหายทั้งสองกำลังทำอะไรกันหรือ”
เวยเซิงลิ่วเห็นมั่วชิงเฉิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบอกร่างเดิมกับนางแล้วหรือไม่ จึงรู้สึกสนิทสนมกับนางขึ้นมา พลางกระโจนเข้าไปฟ้อง “สหายมั่ว เขาไม่ยอมให้ข้าลับฟัน!”
เมื่อเห็นเวยเซิงลิ่วขมวดคิ้วหนาๆ คู่นั้น ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความกล้ำกลืนได้รับความไม่เป็นธรรม มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกว่าเซี่ยหรันทำเกินไป ไม่ให้กระรอกลับฟัน นั่นมันไม่มีเมตตาเลยสักนิด
“สหายเซี่ย สหายเวยเซิงและพวกเราไม่เหมือนกัน เจ้าก็เห็นใจหน่อย”
เซี่ยหรันโกรธจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ด สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามฮือกแล้วถึงได้เยือกเย็นขึ้น “สหายมั่ว สถานการณ์ด้านบนเป็นอย่างไร”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ “หลังจากบินขึ้นไปได้พันจั้ง กระแสปราณก็ซับซ้อนเกินไป ไม่มีทางบินขึ้นไปได้อีก”
นั่นก็หมายความว่า ออกไปทางด้านบนไม่ได้
หลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากัน ก็ตัดสินใจใช้เหมือนวิธีการตามหาส้มโอมือสีทอง ตามหาทางออกทีละชั้นๆ
การตัดสินใจครั้งนี้ต้องเดินตรงไปข้างหน้าก่อน แล้วค่อยดูว่าปลายทางเป็นอย่างไร
เช่นนั้นหลังจากเดินไปได้กว่าครึ่งเดือน ทางเดินก็เริ่มลาดเอียงไปด้านใน ต่อมาก็ค่อยๆ มาบรรจบกันในที่แคบ
“ทำอย่างไรดี จะเดินต่อไปหรือไม่” เวยเซิงลิ่วมองร่างของตนเอง แล้วมองทางเดินแคบๆ ตรงหน้า ท่าทางกังวลเล็กน้อย
เซี่ยหรันเอ่ยอย่างเย็นชา “เดินมาถึงตรงนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องเดินต่อ สหายมั่วคิดอย่างไร”
มั่วชิงเฉินไม่มีความเห็น
“ข้าก่อนก็แล้วกัน” เซี่ยหรันเดินเข้าไปก่อน
ทั้งสามคนเข้าไปตามลำดับ ตอนแรกยังพอเดินไปได้ ต่อมาทางเดินก็ยิ่งเตี้ยลงๆ จนต้องค้อมตัวลงเดิน และเมื่อเดินไปได้อีกระยะหนึ่งก็ทำได้เพียงคลานไปเท่านั้น
เป็นเพราะทางเดินด้านหน้าคับแคบเช่นนี้ ทุกๆ ระยะหนึ่งจึงต้องหยุดฟื้นฟูพลัง เมื่อเดินไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปลายทางอย่างไรอย่างนั้น
เดินๆ หยุดๆ ไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นร่างของมั่วชิงเฉินก็แข็งทื่อ แล้วหยุดลง
เวยเซิงลิ่วที่ตามด้านหลังเกือบจะชนเข้า จึงรีบร้อนเอ่ยถามว่า “สหายมั่ว มีอะไรหรือ”
มั่วชิงเฉินไม่ได้เอ่ยปาก แต่ยื่นมือออกไปหยิบส้มโอมือสีทองออกมา
เห็นส้มโอมือสีทองลอยขึ้นกลางอากาศ เปล่งแสงสีทองออกมาเป็นชั้นๆ กะพริบวาบอยู่ชั่วครู่ แสงนั่นก็ค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นวงแหวนชั้นหนึ่ง แผ่ลงมาจากบนศีรษะ ซ่อนอยู่ท่ามกลางวงแสง
สัญลักษณ์วงกลมวงที่สี่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ไม่ต้องพูดมาก ทั้งสามคนล้วนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ส้มโอมือสีทองผลที่สี่ถูกพบแล้ว!
“พวกเราต้องรีบหน่อย” เซี่ยหรันเอ่ยจบ ก็เพิ่มความเร็ว
เดินไปอีกสามวัน ตรงหน้าก็ไม่มีทางให้เดินแล้ว ทั้งสามคนจึงทำได้เพียงหยุดลง
เซี่ยหรันเคาะกำแพงทั้งสี่ด้าน ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “สหายทั้งสอง กำแพงทั้งสี่ด้านนี้บางกว่าตอนที่พวกเราตกลงมาตอนแรกเป็นอย่างมาก เรื่องมาถึงครานี้แล้ว เกรงว่าพวกเราคงทำได้เพียงทลายมันแล้ว”
มั่วชิงเฉินเอ่ย “สหายเซี่ย ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าใช้ปราณมารทดสอบกำแพง แล้วถูกแว้งกัด”
เซี่ยหรันพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่ ดังนั้นหากอยากทำลายกำแพงทั้งสี่ เกรงว่าคงไม่อาจใช้พลังวิญญาณหรือปราณมารได้ แต่ต้องอาศัยพลังกาย”
เอ่ยจบก็มองเวยเซิงลิ่วแวบหนึ่ง
เวยเซิงลิ่วไม่ได้โง่เขลา เมื่อได้ยินก็เข้าใจความหมายของเซี่ยหรัน จึงไม่ลังเล ยื่นสองมือออกไป เปลี่ยนเป็นกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง ตะปบไปทางกำแพงทั้งสี่อย่างรุนแรง
เหนือความคาดการณ์ของทั้งสามคน ตะปบเช่นนี้กลับไม่มีเศษหินร่วงลงมา แต่กลับมีหยดน้ำไหลออกมา นึกไม่ถึงเลยว่าดมแล้วจะได้กลิ่นหอมๆ ของดิน
หยดน้ำกลิ้งหลุนๆ ลงมา ไถลลงมาบนพื้น แล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นแอ่ง
มั่วชิงเฉินยื่นมือไปช้อนหยดน้ำนั่นขึ้นมาดมที่ปลายจมูก สีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้นหรือ สหายมั่ว” เซี่ยหรันถาม
มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยความลังเล “เกรงว่าพวกเราจะเดาผิดแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร”
มั่วชิงเฉินชี้ไปที่กำแพงทั้งสี่ด้าน “เกรงว่าที่นี่จะไม่ใช่ทางเดินในเขาวงกตอะไร แต่เป็น…”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ตนเองก็รู้สึกแปลกประหลาด แต่ก็ยังเอ่ยออกมา “แต่เป็นด้านในของรากบัวยักษ์!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เซี่ยหรันขมวดคิ้วแน่น
เวยเซิงลิ่วแลบลิ้นออกไปเลียหยดน้ำบนกรงเล็บแล้วเอ่ย “ก็อาจจะเป็นไปได้ พวกนี้ล้วนมีชีวิต กินได้ ข้ารู้สึกได้”
ทั้งสองคนกล่าวเช่นนี้ เซี่ยหรันเองก็จำใจต้องเริ่มจินตนการถึงรากบัว และคิดถึงประตูทรงกลมก่อนหน้าเหล่านั้น มันเป็นแค่รูของรากบัวหรือ
เมื่อคิดว่าทั้งสามคนตกลงมาจากที่สูงตั้งไม่รู้กี่เท่า ก็อดที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความเย็นยะเยือกไม่ได้ “หรือว่าพวกเราตกลงมาในดอกไม้ดอกหนึ่ง”
“ก็อาจจะเป็นไปได้” มั่วชิงเฉินเอ่ย
ฉับพลันนั้นมั่วชิงเฉินก็หน้าเปลี่ยนสี “เอ๊ะ พวกเราไม่ได้อยู่ในดอกไม้พิสดารหรอกกระมัง”
“นั่นก็พูดยากแล้ว สหายเวยเซิง เจ้าขุดต่อเถิด บางทีออกไปแล้ว อาจจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” มั่วชิงเฉินเอ่ย
บางอาจจะเป็นดังที่ทั้งสามคนคาดเอาไว้ ที่นี่เป็นส่วนปลายของรากบัว การระวังภัยจึงลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุด เวยเซิงลิ่วใช้กรงเล็บอันแหลมคมสองข้างขุดอยู่นาน คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงอึกทึกดังขึ้นจริงๆ ลำแสงเจิดจ้าจำนวนมากทะลักเข้ามา
เวยเซิงลิ่วไม่สนใจมากนัก เป็นเพราะใช้เท้าปีนขึ้นไปไม่สะดวก จึงใช้หางยันเอาไว้ ตรงนั้นพลันแตกออกเป็นรูทันที
“ข้าจะปีนออกไปข้างนอกก่อน” เวยเซิงลิ่วเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ
มั่วชิงเฉินรีบร้อนกำชับ “สหายเวยเซิงต้องระวังด้วย สถานการณ์ด้านนอกอาจจะอยู่นอกเหนือจากที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้”
“ข้ารู้” กรงเล็บทั้งสองของเวยเซิงลิ่วฟื้นฟูกลับมาเป็นมือปกติ แล้วปีนออกไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังออกมา
มั่วชิงเฉินและเซี่ยหรันรีบร้อนตามออกไป พบว่าอยู่ใต้บ่อน้ำ รอบด้านล้วนเป็นรากหนาๆ ที่ยากจะมองเห็นรูปร่างทั้งหมด สายน้ำที่ไหลมาบดบังนั้นเชื่องช้าเป็นอย่างมาก
เมื่อได้เห็นพระอาทิตย์อีกครั้ง ทั้งสามคนพลันรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ตรวจสอบทิศทางของน้ำไหล แล้วตัดสินใจพุ่งตามไป
ทำเช่นนี้ไปสองสามวัน ก็เห็นโลกอันงดงามใต้น้ำจนเบื่อแล้ว จู่ๆ ส้มโอมือสีทองที่อยู่ในกำไลเก็บวัตถุของมั่วชิงเฉินก็มีปฏิกิริยา
มั่วชิงเฉินรีบร้อนหยิบมันออกมา เห็นมันเปล่งแสงสว่างวาบเรืองๆ
สถานการณ์เช่นนี้ ต้องมีส้มโอมือสีทองอีกอันอยู่ในบริเวณนี้แน่
มีสัญญาณของส้มโอมือสีทอง การตรวจสอบก็ง่ายดายขึ้นมากแล้ว เมื่อมันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเล็กน้อย ก็หมายความว่ามีพวกเดียวกันอยู่ใกล้ๆ หากมันหม่นแสงลงก็หมายความว่าทั้งสามคนเดินมาผิดทาง
การวนไปมาสองสามวันนี้ ก็เห็นว่าไกลออกไปมีกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดอยู่
ทั้งสามคนแผ่จิตสัมผัสออกไปตรวจสอบ เห็นหญิงสาวคนหนึ่งและมัจฉาประหลาดตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บนพืชน้ำไม่ไกลออกไป มีส้มโอมือสีทองหมอบอยู่
“พวกเรารีบไปเร็ว” เซี่ยหรันเอ่ยแล้วเพิ่มความเร็วขึ้น
มั่วชิงเฉินรีบร้อนตามไป ในใจพลันรู้สึกผ่อนคลายลง หญิงสาวผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นนักพรตปี้เหลยของพรรคอู่อี๋
จากการได้ทำความรู้จักกับนักพรตปี้เหลยมาสองสามครั้ง ก็รู้สึกว่าเป็นหญิงสาวที่สดใส เชื่อว่าขอแค่บอกสถานการณ์ให้นางฟัง นางก็น่าจะยอมล้มเลิกความคิดไป
ระยะห่างเพียงเท่านี้ชั่วพริบตาทั้งสามก็มาถึง แต่ชั่วพริบตานั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลง
เงาสีดำที่แอบอยู่ตรงใดก็สุดจะรู้ได้พลันปรากฏตัว เปล่งแสงสว่างวาบอย่างรวดเร็วแล้วหยิบส้มโอมือสีทองบนพืชน้ำไป จากนั้นก็สลายหายไปจากกลางอากาศ
หางตาของนักพรตปี้เหลยเหลือบไปมอง ก็โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง สำแดงกระบวนท่าสุดยอดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ภายใต้อัสนีสีม่วงที่โปรยปรายลงมา ก็ระเบิดมัจฉาประหลาดจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พุ่งไปเหยียบอยู่บนพืนน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เมื่อเห็นผู้ที่ร่อนลงมาทั้งสามคนหนึ่งในนั้นมีผู้คุ้นเคย ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย “สหายชิงเฉิน พวกเจ้า…”
เซี่ยหรันชะงักฝีเท้าก้าวหนึ่ง
มั่วชิงเฉินจึงกระโจนเข้าไป “สหายปี้เหลย พวกเรากำลังตามหาส้มโอมือสีทอง”
นักพรตปี้เหลยมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ที่แท้สหายชิงเฉินก็มาเพื่อสิ่งนี้ น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าผู้ใดที่ซ่อนตัวอยู่แย่งชิงไป”
มั่วชิงเฉินพลันหัวเราะแล้วส่ายศีรษะ “สหายปี้เหลย พวกเรามาตามหาส้มโอมือสีทอง ไม่ได้จะเอาไป แต่มายับยั้งไม่ให้ผู้ใดเอาไป”
“เพราะเหตุใด” นักพรตปี้เหลยพลันประหลาดใจ รู้สึกเพียงว่าวิธีการนี้มันอหังการเกินไป
มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยเหตุผลให้ฟังรอบหนึ่ง
นักพรตปี้เหลยได้ฟังแล้วพลันมีสีหน้าปั้นยาก พลางเอ่ยพึมพำว่า “แย่แล้ว!”