ตั้งแต่อีกาไฟที่ตื่นจากการหลับใหลมาสี่ปี่กว่า ราวกับจะชดเชยช่วงระยะเวลาที่ไม่ได้พูด ทั้งวันเอาแต่จ้อกแจ้กจอแจหนวกหูจนมั่วชิงเฉินไม่ได้สงบสุข ย่อมไม่อาจสงบใจลงมาบำเพ็ญเพียรได้
อีกอย่างเนื่องจากนางกินมุกปีศาจของอสูรปีศาจชั้นห้า ตบะเพิ่มพูนเร็วเกินไป จึงไม่เหมาะจะบำเพ็ญเพียรต่อ จึงได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ในเกาะสดับมุกทั้งวัน
เพียงแต่นางพบว่า แม้เกาะสดับมุกค่อนข้างใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรก็มีจำนวนมาก ทว่าร้านรวงที่เป็นเรื่องเป็นราวล้วนถูกกุมโดยตระกูลหวังแห่งเกาะใจศักดิ์สิทธิ์หมด ส่วนในตลาดแม้มีแผงลอยมากมายขายของลักษณะจำเพาะของท้องที่บ้าง กลับไม่มีอะไรที่นางใช้ได้จริงๆ สักเท่าไร คิดแล้วก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่ส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณ ของที่พวกเขาใช้ได้ย่อมไม่ใช่ของชั้นสูงเกินไป
คุณชายหกวันนั้นมอบเตาหลอมโอสถแล้ว นอกจากเว้นสักไม่กี่วันก็ส่งยันต์ส่งสารไต่ถามทุกข์สุขทีหนึ่ง ก็ไม่ได้คาดค้านนางว่าครุ่นคิดเป็นเช่นไรบ้างแล้ว กลับรู้จักวางตัวอยู่บ้าง
มั่วชิงเฉินแม้ไม่ได้ตอบอย่างแน่ชัดเสียที ในใจกลับเกิดสนใจขึ้นมาบ้าง สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แล้ว จะให้เดินเตร็ดเตร่ไร้จุดหมายทุกวันจริงๆ คงไม่ได้
ล่าฆ่าอสูรปีศาจในทะเลหรือเด็ดรวบรวมดอกหญ้าประหลาดในทะเล วิถีทำมาหากินของผู้บำเพ็ญเพียรที่นี่เหล่านี้ ลองด้วยตนเองสักครา ก็เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มพลังความสามารถในการสู้ศึกจริงและการบำเพ็ญเพียรของสภาพจิตใจ
ผู้บำเพ็ญเพียรแยกจากหินวิญญาณและโอสถไม่ได้ ทว่ากลับกัน ต่อให้เจ้ามีหินวิญญาณและโอสถนับไม่ถ้วน แต่ขาดการสู้ศึกจริงและการเปิดหูเปิดตาละก็ยังคงไปไหนมาไหนลำบาก
เพียงแต่ เรื่องที่คุณชายหกเสนอจนแล้วจนรอดก็อันตรายไปสักหน่อย หากรับปากจริงละก็ ยังต้องไต่ถามอย่างละเอียดอีก
มั่วชิงเฉินมีความคิดในใจแล้ว จึงมุ่งไปบ้านหยาง เตรียมตัววันถัดจะไปพบหน้าปรึกษากับคุณชายหกสักครา
ยามที่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่บ้านหยาง นางกวาดจิตตระหนักด้วยความเคยชิน แล้วฝีเท้าก็หยุดอยู่ตรงนั้นแล้ว
หยางปี้อู่เพราะว่าถึงระดับหลอมลมปราณขั้นหกแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้นางหยางตู้ลงทะเลไปด้วยกัน วันก่อนออกทะเลไปเองแล้ว กะจะเก็บมุกจื่อหวาสงบจิตสักหน่อย แล้วก็พาภรรยาบุตรชายย้ายไปเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นบ่าวรับใช้ให้ตระกูลหวัง
เสี่ยวไห่ก็ไม่อยู่ในบ้าน เจ้าเด็กอายุน้อยคนนี้กำลังเป็นวัยที่รักการเล่นสนุก ไม่ถึงเวลาอาหารจะไม่ได้เห็นเขาหรอก
ในห้องนางหยางตู้นั่งอยู่บนเตียง อีกฝั่งหนึ่งที่กั้นด้วยโต๊ะน้ำชาทำด้วยไม้ตัวเล็กมีผู้หญิงนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นดูแล้วอายุสามสิบกว่า ผมหวีจนเรียบแปล้ ผมด้านข้างขมับเสียบดอกไม้ผ้าไหมสีเหลืองอ่อนพวงหนึ่ง เพียงแต่ผิวพรรณที่หยาบกร้านทำให้ความงามเจ็ดส่วนเหลือเพียงสามส่วน
“น้องรั่วหลาน หลายวันมานี้เหตุใดข้ามักเห็นมีแม่นางอายุน้อยคนหนึ่งเข้าๆ ออกๆ บ้านเจ้าล่ะ?” ในตาผู้หญิงคนนั้นฉายแววการซุบซิบนินทา
มั่วชิงเฉินนี่ถึงรู้ว่านางหยางตู้ชื่อรั่วหลาน ช่างสมชื่อจริงๆ
เห็นนางหยางตู้ได้แต่ยิ้มๆ ผู้หญิงยื่นตัวไปข้างหน้า “แม่นางนั่นตกลงเป็นใครกันแน่น่ะ?”
นางหยางตู้ยิ้มจางๆ ว่า “ลำบากให้อาซ้อเป็นห่วงแล้ว นั่นคือญาติผู้น้องข้า”
ผู้หญิงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ “อ้าว ที่แท้คือญาติผู้น้องเจ้า น้องรั่วหลาน เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีญาติผู้น้องที่มีน้ำมีนวลเช่นนี้ล่ะ?”
ฟังน้ำเสียงผู้หญิงผิดปกติ เสียงของนางหยางตู้ยิ่งนิ่งเรียบขึ้นอีก “ญาติผู้น้องห่างๆ คนหนึ่ง อยากออกมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย จึงมาที่ข้านี่”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้หรือนี่…” ผู้หญิงลากเสียงยาว จากนั้นหัวเราะคิกคักสองทีว่า “น้องรั่วหลาน อาซ้ออย่างไรเสียก็อายุมากกว่าเจ้าหลายปี อย่าโทษว่าอาซ้อปากมาก บ้านเจ้าคนนั้นเป็นคนมีฝีมือ บัดนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะกลางไปเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลหวังได้แล้ว อนาคตสดใส เพียงแต่เจ้าก็ต้องระวัง อย่าให้ชีวิตดีๆ ที่รอคอยมาอย่างตาปริบๆ ต้องบินไปทั้งเช่นนี้แล้ว”
นางหยางตู้หน้าเย็นชาลงมา “ที่อาซ้อพูดนี่ ข้าฟังไม่เข้าใจหรอกนะ”
ผู้หญิงเหล่นางปราดหนึ่งอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “ญาติผู้น้องคนนั้นเจ้าก็อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลางสินะ อย่าโทษว่าซ้อไม่เตือนเจ้า แม่นางนั่นตบะสูง อายุก็น้อยหน้าตาสะสวย คนที่โดดเด่นทุกด้านเช่นนี้คนหนึ่งอยู่หน้าคนของเจ้าทุกวัน ต่อให้หัวใจเขาทำจากเหล็ก จะไม่ใจหวั่นไหวได้หรือ?”
มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่นอกประตูอดกระตุกมุมปากไม่ได้ ผู้หญิงนี่ก็มีตบะของระดับหลอมลมปราณขั้นสอง อย่างไรเสียก็นับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว เหตุใดจึงเหมือนกับพวกผู้หญิงที่ไม่ทำการทำงานในโลกฆราวาสอย่างไรอย่างนั้น
นางหยางตู้สีหน้าเปลี่ยนแล้ว เอ่ยอย่างเย็นเยียบว่า “อาซ้อ เจ้ากลับไปดีกว่า เรื่องของบ้านข้าไม่รบกวนให้เจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว”
เห็นนางหยางตู้โกรธ ผู้หญิงก็อารมณ์เสียแล้ว กระโดดลงพื้นในทีเดียว หัวเราะฟู่เสียงหนึ่งว่า “ใครๆ ก็บอกว่าชักศึกเข้าบ้าน ตู้รั่วหลาน วันหลังต้องมีเวลาให้เจ้าเสียใจ ถึงเวลาเจ้าอยากร้องไห้ก็ไม่มีที่ให้เจ้าร้อง”
“อาซ้อวางใจได้ หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าก็ไม่ไปร้องไห้ที่เจ้านั่นแน่นอน” นางหยางตู้ทำมือท่าส่งแขก
ผู้หญิงสะบัดผ้าเช็ดหน้าทีหนึ่ง เหวี่ยงประตูอย่างโมโหออกไปแล้ว ไปถึงหน้าประตูใหญ่ มั่วชิงเฉินเก็บงำกลิ่นอายแอบอยู่ข้างๆ ก็เห็นนางถ่มน้ำลายทีหนึ่งว่า “ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ น้องสาวสุดที่รักของเจ้าคนนั้นวันหลังหากไม่ทำให้ผู้ชายเจ้าหลงหัวปักหัวปำ คำว่า ‘หวัง’ ของข้าจะขอเขียนกลับหัว!”
มั่วชิงเฉินเห็นผู้หญิงเดินไปไกลแล้ว กำลังจะปรากฏตัวออกมาเดินเข้าไป จิตตระหนักกลับพบมีคนมาอีกแล้ว
คนที่มาครั้งนี้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน ดูท่าทางอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว กลับแต่งตัวสีสันจัดจ้าน เดินบิดไปบิดมา
เดินผ่านข้างตัวมั่วชิงเฉินไป ทำให้เกิดลมหอมสายหนึ่ง ฉุนจนมั่วชิงเฉินเกือบจาม แอบคิดว่าที่แท้นางหยางตู้คบสหายกว้างขวางเช่นนี้เชียว
เพราะว่าผู้หญิงก่อนหน้าไปอย่างรีบร้อน ประตูใหญ่ยังไม่ได้ปิด นางหยางตู้กำลังตามออกไปปิดประตู เห็นคนที่มาแล้วชะงักงัน
“อ้าว ใช่น้องสาวบ้านหยางสินะ ข้าได้ยินว่าบ้านเจ้าคนนั้นเข้าสู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลางแล้ว ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า!” ผู้หญิงที่มาใหม่เอ่ออย่างมีไมตรีจิต
นางหยางตู้สีหน้ายังแย่อยู่ กวาดสายตาใส่คนที่มาปราดหนึ่งว่า “เจ้าคือ…”
ผู้หญิงไอยาเสียงหนึ่งว่า “ข้าก็คืออาซ้อทางบ้านมารดาของสะใภ้บ้านจางข้างบ้านเจ้าอย่างไรล่ะ”
นางหยางตู้นี่ถึงนึกขึ้นได้ อาซ้อทางบ้านมารดาของสะใภ้บ้านจางเป็นคนมีชื่อเสียงของแถบนี้ ได้ยินว่านางเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย กลับดันชอบเป็นแม่สื่อ เพียงแต่เมื่อก่อนนางมักออกทะเลพร้อมสามี จึงไม่เคยเห็นคนคนนี้ จึงถามทันทีว่า “ไม่ทราบอาซ้อมีเรื่องอันใด?”
ผู้หญิงหัวเราะอย่างลึกลับว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้ามีญาติผู้น้องคนหนึ่งมาพึ่งพาญาติ?”
นางหยางตู้ตอบว่าใช่ทีหนึ่ง สีหน้ากลับดูไม่ดี หรือว่าคนคนนี้ก็มาเพื่อพูดอะไรเหลวไหลโดยเฉพาะอีก?
“น้องสาว เหตุใดญาติผู้น้องเจ้าคนนี้จู่ๆ ถึงมาที่เจ้านี่ล่ะ?” ผู้หญิงถาม
นางหยางตู้เอ่ยนิ่งเรียบว่า “เพียงแค่ออกมาฝึกตนจนมาถึงที่นี่”
“ฝึกตน? อายุยังน้อยก็ออกมาฝึกตน คนในครอบครัวนางก็วางใจหรือ?” ผู้หญิงเลิกคิ้ว
“น้องสาวข้าชีวิตอนาถ ที่บ้านไม่มีคนแล้ว” นางหยางตู้รับมือว่า
กลับเห็นผู้หญิงตาเป็นประการ กดเสียงต่ำลงว่า “น้องสาว เช่นนั้นข้าก็พูดตรงๆ เลยนะ มีคนถูกตาต้องใจน้องสาวของเจ้า ไหว้วานข้ามาเป็นสื่อ เจ้าว่า บวกกับเรื่องที่คนบ้านเจ้าเลื่อนชั้น นี่ไม่ใช่เรื่องมงคลคู่หรอกหรือ?”
นางหยางตู้ทนแล้วทนอีก ยังคงว่า “น้องสาวข้าอายุยังน้อย ความคิดอยู่ที่การบำเพ็ญเพียรหมดน่ะ อาซ้อต้องขอโทษด้วยนะ ข้ายังมีธุระบางอย่างต้องไปทำ เจ้าว่า…”
ผู้หญิงทำเหมือนไม่ได้ยินว่า “เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธสิ คนคนนั้นคือพี่รองของจ้าวซานเหยียน เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณระยะปลายเชียวนะ วันนั้นเขาปราดเดียวก็ถูกใจน้องสาวเจ้าแล้ว นี่ถึงวานข้ามาเป็นสื่อให้อย่างไรล่ะ เขาจะแต่งอย่างถูกต้องนะ…”
ยังพูดไม่จบ ก็ถูกนางหยางตู้หยิบไม้กวาดไล่ออกไปแล้ว พลางไล่พลางด่าว่า “เจ้าไสหัวออกไป!”
“ไอยา เหตุใดถึงตีคนล่ะ!” ผู้หญิงพลางกระโดดพลางหลบ
นางหยางตู้กวาดอีกทีหนึ่ง กวาดอยู่บนขาซ้ายนางพอดี แล้วด่าอย่างคับแค้นใจว่า “ก็ตีเจ้านั่นแหละ เจ้ามันคนไร้มโนธรรม ในรัศมีร้อยลี้มีใครไม่รู้มั่ง จ้าวเอ้อร์หมาจื่ออาศัยที่ตบะสูง ใช้กำลังแย่งบุตรสาวของคนอื่นมาเป็นอนุของเขาตั้งเท่าไร ภรรยาหลวงของเขาก็ถูกเขาทำให้โมโหจนตายทั้งเป็นนั่นแหละ บัดนี้สิ้นใจยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลย!”
นางหยางตู้ใช้ไม้กวาดตีอย่างไม่ไว้หน้า ผู้หญิงพลางกอดศีรษะวิ่งออกข้างนอกพลางตะโกนอย่างดุร้ายว่า “ถุย บอกเจ้าตามตรงก็ได้ วันนี้ข้ามาหาถึงบ้าน นั่นเพราะนายท่านรองจ้าวให้เกียรติบ้านเจ้า น้องสาวเจ้านั่นแต่งก็ต้องแต่ง ไม่แต่งก็ต้องแต่ง ก็รอเกี้ยวดอกไม้ข้ามมายกคนเถอะ!”
ผู้หญิงพลางพูดพลางกะโผลกกะเผลกวิ่งออกข้างนอกไป นางหยางตู้ใช้ไม้กวาดกวาดพื้นข้างนอกแรงๆ ทีหนึ่ง ถึงปิดประตูใหญ่ดัง ‘ปัง’ เมื่อหันกลับไป กลับเห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่ในลานบ้าน จึงอดเรียกน้องสาวเสียงหนึ่งอย่างกระอักกระอ่วนไม่ได้
เรื่องตลกร้ายเกิดติดกันสองเรื่อง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ในบ้านผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาได้อีกต่อไปแล้ว ต่อให้ด้วยตบะของตนไม่กลัวเรื่องพวกนี้ ทว่าห้ามความรำคาญใจไม่อยู่นะ
ด้วยเหตุนี้มั่วชิงเฉินจึงเสนอว่าจะจากไป นางหยางตู้พยายามรั้งไว้ จนกระทั่งนางพูดขึ้นมาว่าต้องออกทะเลกับคุณชายหกเรื่องนี้ถึงได้แล้วกันไป
มั่วชิงเฉินกังวลว่าตนจะนำความยุ่งยากมาให้คนอื่น นางหยางตู้กลับบอกว่าหนึ่งในสองคนนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อยู่แล้ว คนก่อนหน้านั้นเพราะเป็นเพื่อนบ้านใกล้กันถึงอดทนเสวนาด้วย รอหยางปี้อู่กลับมาก็ย้ายไปอยู่เกาะใจศักดิ์สิทธิ์ทั้งบ้านแล้ว ดังนั้นก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินใคร
มั่วชิงเฉินจึงออกจากบ้านหยาง เพียงแต่ทิ้งหินวิญญาณไม่กี่ก้อนไว้บนโต๊ะในห้องที่ตนพักอยู่ถือเป็นค่าพักแรม
เพิ่งย่างเข้าร้านขายของสารพัด ลูกจ้างในร้านก็รีบต้อนรับขึ้นมาโดยตรง “แม่นางมั่ว เชิญด้านใน คุณชายของเรากำลังรอท่านอยู่เลย”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าเดินตามเข้าไป คุณชายหกที่ใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนอมยิ้มออกมาต้อนรับ “แม่นางมั่ว ข้าน้อยนับว่าไม่ได้รอเปล่าแล้ว”
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่เยิ่นเย้อ ทันใดนั้นจึงศึกษาพิจารณากับเขาถึงของที่จำเป็นต้องเตรียมในการผจญภัยออกทะเล เรื่องที่ต้องระวังต่างๆ รอปรึกษาจนพอประมาณแล้วจึงถามว่า “ออกเดินทางเมื่อไร?”
“พรุ่งนี้” คุณชายหกเอ่ย
มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “พรุ่งนี้? เช่นนั้นหากวันนี้ข้าไม่มา เจ้าจะทำเช่นไร?”
คุณชายหกแบบมือว่า “หากแม่นางไม่มา ข้าน้อยก็ได้แต่ไปโดยลำพังแล้ว ดูแล้วช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ พรุ่งนี้คือกำหนดเวลาที่ไม่อาจเลื่อนได้อีกแล้ว บังเอิญวันนี้แม่นางมั่วก็ให้คำตอบแล้ว”
ไม่รู้สิ่งที่เขาพูดเป็นจริงหรือเท็จ มั่วชิงเฉินได้แต่ยิ้มๆ
“แม่นางมั่ว วันนี้ดึกแล้ว เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยามโฉ่วเค่อแรกเราก็จะออกเดินทางกันแล้ว” คุณชายหกเอ่ย
คุณชายหกพูดจบจึงนำมั่วชิงเฉินไปห้องรับรองแขกด้วยตนเอง หลังจากบอกลาอย่างมีมารยาทแล้ว มั่วชิงเฉินตรวจนับของบนตัวที่ต้องใช้รอบหนึ่ง หลับตาเข้าฌานขึ้นมา
เมื่อถึงเวลา มั่วชิงเฉินได้รับยันต์ส่งสารจึงเดินออกจากประตู คุณชายหกกำลังรออยู่นอกประตูลานบ้าน เสื้อสีเขียวอ่อนและคืนมืดกลืนเข้าด้วยกัน มีเพียงป้ายรวมวิญญาณที่เอวส่องแสงระยิบระยับ
“แม่นางมั่ว ไปเถอะ” คุณชายหกยกมือโยนเรือเล็กขนาดเท่าฝ่ามือออกมาลำหนึ่ง
เรือเล็กขยายขึ้นเมื่อต้องลม จนถึงขนาดสองจั้งกว่าถึงหยุดลง
คุณชายหกก้าวนำขึ้นไปก่อน แล้วยื่นมือให้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินยิ้มๆ กระโดดขึ้นไปอย่างอ่อนช้อย
เรือเล็กนำสองคนแปลงเป็นลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งในทันใด หายไปที่ขอบฟ้าทิศเหนือ