“ในเมื่อรู้แล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ” หลิวซางเจินจวินตอบอย่างราบเรียบ
มั่วชิงเฉินย่อกายคารวะ แล้วหันหลังกลับ ก่อนเหยียบบนไหมเกล็ดน้ำแข็งบินไปทางเขามู่ชิง
เสวียนหั่วเจินจวินกลับใช้พัดกกเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ “เอ้ย นี่มันไม่ถูกนะ ข้ายังไม่ได้คุยกับนางหนูเลย!”
มุมปากของหลิวซางเจินจวินโค้งลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ศิษย์น้องเสวียนหั่ว เจ้าอยากจะพูดอะไรรึ”
เสวียนหั่วเจินจวินคร่ำครวญ “ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อเข้าไปในแดนวิญญาณแล้ว ให้นางดูแลตัวเองด้วย โดยเฉพาะพวกมารเอย ปีศาจเอย อยู่ให้ห่างจากพวกมันหน่อย ของเล่นพรรค์นั้นน่ะ ไม่มีอะไรดีหรอก”
หลิวซางเจินจวินไม่ได้ตอบอะไร กลับเหลือบตามองเสวียนหั่วเจินจวินทีหนึ่ง เอ่ยในใจ วาจาไร้สาระเช่นนี้ ยังต้องให้เจ้าบอกนางด้วยหรือ
“ศิษย์น้อง เจ้ามีตาหามีแววไม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หลิวซางเจินจวินกระแอมสองที ตอบอย่างหนักแน่น “นางหนูชิงเฉิน เก็บความลับเรื่องเพลิงแก้วใจกระจ่างมานานจนถึงตอนนี้ได้ กับเรื่องพวกนี้นางรู้ตัวอยู่แล้ว”
เสวียนหั่วเจินจวินยังมิวายวางใจ พึมพำกับตัวเอง “ข้ายังไม่วางใจอยู่ดีนี่นา ไม่ง่ายเลยที่ลั่วหยางของข้าแต่งภรรยาได้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วลั่วหยางรู้เข้า เจ้าเด็กหัวแข็งนั่นต้องตามไปด้วยอย่างแน่นอน ข้ารับประกันเลย!”
หลิวซางเจินจวินตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “แล้วข้ามิเป็นห่วงนางหรือ เหอกวงเสียแรงกายแรงใจไปเท่าใด เจ้าก็มิใช่ไม่เห็น”
ศิษย์ผู้ดูแลที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมาสบตากัน ในใจแอบคิดว่าเจินจวินทั้งสอง พวกท่านนอกประเด็นไปไกลแล้วกระมัง
เขาป่าไผ่ยอดเขามู่ชิง
“สุดหล่อ สุราวิญญาณไหนี้ รสชาติดีกว่าครั้งที่แล้วหรือไม่” เจ้าอีกาไฟประคองไหสุรา ก่อนยิ้มถามอย่างมีเลศนัย
นกสีดำอมน้ำตาลที่อยู่ตรงข้าม มีรูปร่างสูงบางสง่างาม จะงอยปากและกรงเล็บล้วนเป็นสีแดงเข้ม มองดูแล้วคล้ายกับอีกาไฟที่มีรูปร่างผอมเพรียวอยู่เล็กน้อย แต่หากมองดูใกล้ๆ กลับพบว่านกนางแอ่นที่กำลังอดทนอดกลั้นอยู่นั้น ต่างจากอีกาไฟธรรมดามากนัก รูปลักษณ์ภายนอกเทียบได้กับหงส์หลวนเหนี่ยว ทั้งยังเป็นหงส์ที่เย็นชาเล็กน้อย
แต่ในตอนนี้ เห็นชัดว่านกนางแอ่นผู้แสนเย็นชาตัวนี้กำลังหวาดกลัวเจ้าอีกาไฟอย่างมาก เห็นมันกำลังยกไหสุราขึ้น จึงรีบถอยห่างทันใด ก่อนมีน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นว่า “ดีอย่างมาก”
อีกาไฟรีบวางไหสุราลงพื้น ก่อนยิ้มด้วยสีหน้าเบิกบานถามว่า “สุดหล่อ เจ้าว่าอะไรนะ ขอบคุณที่ชื่นชมข้า…”
พูดไม่ทันจบ สีหน้าของนกนางแอ่นตัวนั้นก็เขียวคล้ำ ก่อนจะตกลงไปในน้ำ
มั่วชิงเฉินบินลงมา เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเต็มสองตา
จ้วนอันเจินจวินกลับหัวเราะอยู่ในลำคอ “ศิษย์หลานตัวน้อย เจ้ามาเสียทีนะ” พูดพลางชำเลืองมองเจ้าอีกาไฟไปด้วย ท่าทางที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ทันใดนั้นราวกับมีไฟร้อนวูวาบอาบทั่วใบหน้าของมั่วชิงเฉิน นางถลึงตาใส่อีกาไฟคราหนึ่ง ก่อนหันมาทักทายคนทั้งสอง ส่วนนกตัวใหญ่ที่กำลังบินขึ้นมาจากน้ำนั้น นางไม่แม้แต่จะมอง
อู๋เย่ว์ของนางไม่เห็นหรืออย่างไร นกนางแอ่นตัวนั้นรังเกียจมันขนาดไหน นางไม่มีหน้าไปมองมันแล้ว!
“ท่านอาจารย์ ท่านออกจากการกักตนมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
กู้หลีมอบแผ่นบันทึกหยกให้นางอันหนึ่ง ตอบว่า “ครึ่งปีก่อนก็ออกมาแล้ว ชิงเฉิน ในแผ่นหยกมีบันทึกเกี่ยวกับผู้เข้าประลองจากฝั่งพวกมารและปีศาจ รวมแล้วมีทั้งหมดยี่สิบคน เจ้าอ่านดูเถอะ รอแดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออก เจ้ากับพวกเขาก็ต้องเข้าไปในที่เดียวกันแล้ว”
หรืออาจจะบอกได้ว่า นอกจากต้องเอาชีวิตรอดจากอันตรายในแดนวิญญาณแล้ว แผ่นบันทึกหยกได้เขียนข้อมูลของคนพวกนั้นและปีศาจไว้ด้วย สำหรับผู้ที่ผ่านการประลองเฟิงอวิ๋นเหล่านั้น เมื่อเข้าไปในแดนวิญญาณแล้วล้วนกลายเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้น
มั่วชิงเฉินคารวะขอบคุณอาจารย์ ก่อนรับแผ่นบันทึกหยกมา
แม้ระดับบำเพ็ญเพียรจะแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนเข้าไปในแดนวิญญาณที่ไม่คุ้นเคย กู้หลียังพูดข้อมูลบางส่วนในแดนวิญญาณ เมื่อมั่วชิงเฉินฟังอย่างตั้งใจจนจบ ก็หันตัวไปลากเจ้าอีกาไฟกลับมา
จ้วนอันเจินจวินถอนใจอย่างสุขุม เปิดจุกไหสุรา ก่อนนำสุราวิญญาณเทลงจอกยื่นให้กู้หลี
กู้หลีรับจอกสุราไว้ ดื่มหมดภายในอึกเดียว กล่าวด้วยรอยยิ้มอันราบเรียบว่า “การหมักสุราของมั่วชิงเฉิน นับวันยิ่งมีรสชาติดีขึ้น จนลืมถามชื่อสุราไปเลย”
“เรื่องนี้ ลองถามอาเสวียนดูดีหรือไม่” จ้วนอันเจินจวินยิ้มตอบ
เดิมทีเมื่ออีกาไฟจากไปแล้วเจ้านกนางแอ่นก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ทันใดนั้นมันกลับล้มตีลังกาตกลงไปอีก หลังจากตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาด้วยความอับอาย ก็กวาดสายตามองจ้วนอันเจินจวินคราหนึ่ง แล้วกระพือปีกบินจากไป
กู้หลีและจ้วนอันเจินจวินเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินกลับเขาลั่วเถาด้วยท่าทีที่เย็นชา ตลอดทางกลับไม่แม้แต่มองเจ้าอีกาไฟ
อีกาไฟรู้สึกกระสับกระส่าย และรู้ดีว่าตัวเองทำผิด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวพูดออกไปว่า “นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรยืมสุราของท่าน…”
“ยืมหรือ” มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยหยัน
อีกาไฟตอบอย่างอึกอัก “มิใช่ยืมหรอกหรือ คนบ้านเดียวกันใช้ของเสร็จแล้วค่อยคืนก็ได้นี่”
เพื่อไหสุราไม่กี่ใบ มั่วชิงเฉินไม่ได้โต้แย้งสิ่งใด แต่ถามกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ “อู๋เย่ว์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับนกดำนั่น”
ทันใดนั้นเจ้าอีกาไฟโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตอบว่า “นกดำอะไรกัน หยาบคายที่สุด! เขาชื่ออาเสวียนต่างหากเล่า อาเสวียน…ช่างเป็นชื่อที่แสนไพเราะ”
มั่วชิงเฉินเหยียดมุมปากลง “ได้ เจ้ากับอาเสวียน แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เจ้าอีกาไฟตอบอย่างขวยเขิน “นายท่าน ข้ากำลังจีบอาเสวียน ท่านดูไม่ออกหรืออย่างไร”
ตาข้าบอดกระมังถึงดูไม่ออก
ในใจของมั่วชิงเฉินที่ไม่เห็นด้วยนั้น แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างสงบตอบว่า “อู๋เย่ว์ ก่อนหน้านี้เจ้าก็ตามจีบอีกาตัวผู้เช่นนี้หรือ”
อีกาไฟรีบส่ายหัวตอบไปว่า “ไม่นะ ในตอนนี้ข้าสงวนท่าทีอย่างยิ่งแล้ว”
มั่วชิงเฉินลูบหน้าผาก “อู๋เย่ว์ ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงปราชัยทุกครั้งไป”
“เหตุใดหรือ” เจ้าอีกาไฟถามอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“เพราะว่าเจ้าสงวนท่าทีเกินไปแล้ว”
“จริงหรือ ข้าก็ว่าอย่างนั้น แต่เหตุใดยังไม่เป็นผลอีกเล่า!” ใบหน้าของอีกาไฟร้องโอดครวญ
“จริงกับผีนะสิ!” มั่วชิงเฉินแผดเสียงคำราม “อย่างน้อย เจ้าก็ควรรอให้คนอื่นเป็นฝ่ายชื่นชมเจ้าก่อนสิ!”
เจ้าอีกาไฟรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “เช่นนั้น เกรงว่าข้าต้องหยิบสุราไปอีกสองไห…”
มั่วชิงเฉินน้ำตาอาบแก้ม ก่อนตัดสินใจปล่อยวางทุกสิ่ง
ช่างปะไร ขายขี้หน้าก็ขายขี้หน้าเถอะ ตัวเองในปีนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าเลย
สามวันผ่านไป หุ่นเชิดตัวที่ห้ายังไม่ทันทำเสร็จ มั่วชิงเฉินรีบไปเก็บสมุนไพรในสวนเพื่อพกติดตัวไว้ รวบรวมของใช้ที่จำเป็นจำนวนหนึ่ง ก่อนเดินเยี่ยมชมรอบเมืองหนึ่งรอบ ทั้งยังได้อุปกรณ์เสริมมาไม่น้อย
ไม่นานถึงกำหนดวันเดินทาง เสวียนหั่วเจินจวินพาผู้ที่เก็บความลับเก่งจากพรรคเหยากวงมาด้วยจำนวนหนึ่ง
แม่น้ำอิ้งสยาในเมืองลั่วหยาง แต่เดิมมั่วชิงเฉินเคยคิดว่าหากมาที่นี่อีกครั้ง จะสามารถล้างแค้นศัตรูที่ฆ่าล้างตระกูลมั่วได้ แต่โลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง บัดนี้กลับกลายเป็นสถานที่เข้าสู่แดนวิญญาณ ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรมแห่งบ้านสกุลมั่ว
ตอนนี้ในเมืองลั่วหยาง ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นานแล้ว ผู้ที่มาเยือนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งนั้น
ทั้งแม่น้ำอิ้งสยายังกลายเป็นพื้นที่หวงห้าม อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณลงไปไม่สามารถเข้าใกล้ได้ แม่น้ำสายนี้อยู่แห่งใดก็มิอาจมองเห็น
เสวียนหั่วเจินจวินนำคนแถวหนึ่งมาหยุดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอิ้งสยา มีผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักพรรคสำนักอื่นมารวมตัวกันนานแล้ว
วันที่เก้าเดือนเก้า ทั้งพรต มาร ปีศาจทั้งสามฝ่ายต่างมารวมตัวกัน ในทิศทางทั้งสาม มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงสองคนยืนคุมสกัดและสอดส่องความเรียบร้อยของกลุ่มคนทางด้านหน้า หลังจากนั้นก็มีเมฆหมอกลอยอยู่กลางแสงวิญญาณขนาดใหญ่ เปล่งประกายไปยังกลุ่มเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า
ใช้เวลาครึ่งชั่วยามเต็ม ก่อนมีคำว่า ‘ทะลาย’ ดังออกมา
ทันใดนั้นเมฆหมอกกระจายตัวออก แม่น้ำอิ้งสยาทั้งสายลอยขึ้นเชื่อมต่อกับท้องฟ้า กลางแม่น้ำมีจุดเล็กๆ เปล่งประกายนับไม่ถ้วน ราวกับจักรวาลบนสรวงสวรรค์ชั้นเก้า ดูวิจิตรตระการตาและน่าพิศวงยิ่งนัก
ปุยเมฆก้อนใหญ่มหึมามีไอน้ำลอยอยู่กลางธาราวิญญาณ ถูกสีทั้งห้าย้อมจนกลายเป็นกลุ่มเมฆเรืองรอง แม่น้ำอิ้งสยากลายเป็นหมอกที่ตกลงบนทางช้างเผือกของจริง ช่างงดงามเหนือจินตนาการ
ในเวลานี้เอง กลางแม่น้ำสายยาวพลันเกิดม่านน้ำม้วนหนึ่ง ด้านในมีหมอกและควันกระจายตัวออกเป็นแสงวิญญาณ มองไม่ถนัดตานัก
ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามฝ่ายบินไปยังม่านน้ำ
พัดกกในมือเสวียนหั่วเจินจวินใหญ่ขึ้น พากลุ่มคนจากพรรคเหยากวงบินเข้าไป
ทันทีที่บินผ่านม่านน้ำ มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนแช่อยู่ในน้ำพุ ทั่วทั้งร่างกายอุ่นสบาย แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว
เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็พบคลื่นวิญญาณจากทั้งสี่ด้านแปดทิศพรั่งพรูเข้ามา รูขุมขนทั่วทุกส่วนบนร่างกายล้วนต่างดูดซับคลื่นวิญญาณเอาไว้ แต่ไม่อาจรวดเร็วเท่ากับคลื่นวิญญาณที่พุ่งผ่านเข้ามาในเส้นลมปราณจนกระตุกรัว ราวกับสามารถระเบิดออกมาได้
ทันใดนั้นพัดกกของเสวียนหั่วเจินจวินก็เกิดแสงวิญญาณวาบหนึ่ง มั่วชิงเฉินถึงสัมผัสได้ว่าความกดดันที่อยู่รอบตัวได้ลดลงแล้ว ความเจ็บปวดนั้นไหลออกไปราวกับกระแสน้ำ
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดดินแดนวิญญาณจึงมีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเข้าไปได้เท่านั้น นี่ทำให้พวกนางที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นเดียวกันล้วนเป็นที่จับตามอง แต่ที่ที่พึ่งผ่านเข้ามามีคลื่นวิญญาณอันตรายที่ระเบิดร่างกายได้ ถึงว่าเหตุใดสำนักพรต มาร และปีศาจต่างจัดการประลองขึ้นอย่างใหญ่โต แต่กลับคัดเลือกผู้ชนะเพียงสิบคนเท่านั้น
มั่วชิงเฉินข่มสติลง ก่อนใช้ความคิดพิจารณาสภาพแวดล้อมในแดนวิญญาณแห่งนี้ ช่วงเวลานี้ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ ในแดนวิญญาณชัดเจนขึ้น ถึงขั้นตกตะลึงจนลืมหายใจ
มันเหนือความคาดหมายของนางอย่างมาก เมื่อเข้าไปยังแดนวิญญาณ ผู้คนทั้งหมดไม่ได้ตกลงบนพื้นดิน กลับลอยตัวอยู่กลางอากาศ
พื้นที่ว่างเปล่าที่มองไม่เห็นปรากฏแสงสีน้ำเงินชนิดหนึ่ง ล้วนแต่เป็นดาวเคราะห์ขนาดน้อยใหญ่ลอยอยู่ โดยเฉพาะริมขอบมีทั้งก้อนบางก้อนหนาลอยส่องแสงเป็นวงโคจร
ที่นี่หาใช่ดินแดนลึกลับทั่วไปที่ไหนกัน เห็นชัดว่าลอยเวิ้งว้างอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้มาเยือนแดนวิญญาณครั้งแรกใจเต้นเไม่น้อย
เจินจวินระดับก่อกำเนิดของพรตและมารทั้งสองฝ่าย รวมถึงเยาจวินของเผ่าปีศาจ ต่างพากลุ่มของตัวเองบินขึ้นมาที่เดียวกัน
เดิมมั่วชิงเฉินรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะอยู่ในที่เวิ้งว้างเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถแยกแยะทิศทางที่จะบินไปได้ จึงแอบจดจำแบบแผนการเรียงลำดับและวิถีโคจรของดาวเคราะห์ไว้ เสวียนหั่วเจินจวินลดสมบัติวิเศษคุ้มกันลง ก่อนแยกดวงจิตและจดรายละเอียดลงบนม้วนคัมภีร์หยกอย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปใช้งานในอนาคต แต่หลังจากนั้นความเร็วค่อยๆ ลดลงไม่สามารถจดได้ทันดั่งใจคิด
บินอยู่ครึ่งเดือนเต็ม เจินจวินทั้งหลายยังไม่ยอมหยุดบิน มั่วชิงเฉินเริ่มสงสัยแล้วว่า หรือเป็นเพราะพวกเขามาถึงกลางจักรวาลแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นด้วยความเร็วในการบินของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เหตุใดถึงบินนานเช่นนี้ มองออกไปก็ยังเห็นภาพดวงดาวทั่วท้องฟ้า
หมู่ดาวมากมายแตกกระจายออกไปในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลกลางดินแดนวิญญาณนี้ หากใครสักคนหนึ่งไม่ระมัดระวังเกรงว่าคงหายลับไปแล้ว
มั่วชิงเฉินแอบสังเกตรอบๆ พบว่าในมือของเจินจวินที่นำทางผู้หนึ่งถือสมบัติวิเศษลักษณะเหมือนเข็มทิศดวงดาวไว้ เมื่อบินไประยะหนึ่งสามารถหยุดดูเพื่อเปรียบเทียบทิศทางได้
ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน ทั้งกลุ่มจึงหยุดเดินทาง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่กี่คนแยกตัวออกมา ยืนเรียงกันในอากาศ
ดาวเคราะห์แต่ละดวงลอยอยู่หน้าพวกเขาส่งหวีดดังออกมา
เมื่อดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวอ่อนกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นเองมีเพียงไม่กี่คนเริ่มลงมือ ใช้สมบัติวิเศษที่อยู่ในมือกระตุ้นพลังออกมาให้มากที่สุด แสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งจากสมบัติวิเศษพุ่งทะยานออกไป ทำให้ดาวเคราะห์สีเขียวอ่อนถูกควบคุม
แสงสีเขียวอ่อนจากดวงดาว ส่องแสงตกกระทบบนหน้าผู้คน
เจินจวินไม่กี่ท่านวนรอบเข้าหากัน ใช้สมบัติวิเศษโจมตีใส่จุดดาวเคราะห์สีเขียวอ่อน
เสียงระเบิดดังขึ้น จุดตรงนั้นแตกออกเป็นคลื่นน้ำสายหนึ่งที่กำลังสั่นไหว ก่อนแยกตัวไหลสู่ช่องแคบ
“ไปเถอะ สิบปีให้หลัง ข้าจะรอพวกเจ้าตรงนี้ คอยทำลายอาณาเขตดวงดาวให้พวกเจ้า แล้วนำพวกเจ้ากลับไป หากวันนั้นไม่กลับมา คงทำได้แค่รอให้การประลองครั้งที่สองจบลง ให้ผู้ที่มีระดับบำเพ็ญเพียรเท่ากันกับพวกเจ้าอีกชุดหนึ่งมาถึง จงตั้งใจรักษาตนให้ดีๆ”
กล่าวจบ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกเหมือนถูกผลักออกไป หูทั้งสองข้างได้ยินเสียงกู้หลีพูดขึ้นว่า “ชิงเฉิน ระวังตัวให้ดีด้วย สิบปีหลังจากนี้ อาจารย์จะรอเจ้ากลับมา”
หลังจากนั้น นางก็ลอยหายตัวเข้าไปยังกลางเมฆหมอกแสงเขียว