หลังจากผ่านไปครึ่งปี มั่วชิงเฉินหลบอยู่ที่เขาลั่วเถา ใช้เวลาเต็มที่ไปกับการอบรมตู้รั่วและฝึกบำเพ็ญเพียรไปกับทัศนียภาพอันงดงาม ยามว่างจะอ่านตำราโอสถและคัมภีร์สุรา ขบคิดวิธีการหมักสุราชนิดใหม่ และดูแลแปลงสมุนไพร บางครั้งขี่เจ้าหมาป่าน้อยออกไปแวะเวียนยอดเขาลูกอื่นๆ นับว่าเป็นความเพลิดเพลินใจที่หาได้ยากยิ่งในช่วงเวลาอันสั้น
ในใจที่กระวนกระวายเรื่องความลับของเพลิงเพลิงแก้วใจกระจ่างซึ่งรั่วไหลออกไป ระหว่างนี้ความรู้สึกนั้นกลับค่อยๆ เลือนราง
ในช่วงเวลานี้ หลัวเตี๋ยจวินกลับทะเลขนาบใจแล้ว มั่วหลีลั่วในที่สุดก็สำเร็จระดับก่อแก่นปราณ เพราะการรักษาสภาพจิตอันแน่วแน่ เจอหน้าสหายสนิทไม่กี่คนเพียงครั้งเดียวก็กลับไปกักตนต่อ ส่วนต้วนชิงเกอ ภายหลังออกท่องยุทธภพ มีถังมู่เฉินผู้ไร้ยางอายขอติดตามด้วย
หู่โถวยังคงตัดสินใจท่องเที่ยวในดินแดนเทียนหยวนต่อ ภายใต้คำแนะนำของมั่วชิงเฉิน เขาใช้เวลาทั้งวันไล่ตามหลังของนางที่คอยชักจูงอย่างอิสระ
ครึ่งปีต่อมา ในที่สุดพลังวิญญาณของมั่วชิงเฉินก็สามารถขยับได้แล้ว ตู้รั่วไปเที่ยวเล่นด้านล่างเขา ทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งเขาลั่วเถาสงบเงียบลง
มีเวลาไม่ถึงสามปี ก่อนแดนสวรรค์มี่หลัวตูจะเปิดออก เดิมตามข้อตกลง พี่น้องตระกูลมั่วจับมือกันตัดสินใจว่าจะสังหารนักพรตไป๋หมาง แต่มั่วชิงเฉินส่งยันต์ส่งสารหมื่นลี้ออกไปไม่นาน ข่าวการตายของนักพรตไป๋หมางถูกส่งกลับมา
ประมุขโถงนิกายมารแดงที่อาศัยอยู่ในแดนไท่ไป๋หรือแม้แต่เทียนหยวน ล้วนตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย สิ่งที่ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกสงบใจที่สุดคือ กลับไม่มีข่าวคราวออกมาว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ
หลายปีมานี้ ชื่อเสียงของนักพรตไป๋หมางกล่าวขานว่าเป็นผู้โหดเหี้ยมทารุณ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตายด้วยน้ำมือของเขามีไม่น้อย แน่นอนว่าศัตรูคู่อาฆาตรวมแล้วมีมากมายนับไม่ถ้วน เช่นนั้นแล้ว ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงถกเถียงกันอลหม่านว่าผู้ใดกันที่จัดการกับนักพรตไป๋หมางได้
แม้ตระกูลมั่วถูกฆ่าล้างตระกูล แต่ระยะเวลาก็นานมากแล้ว ในตอนนี้จึงไม่มีใครสงสัยเหล่าพี่น้องตระกูลมั่ว
มั่วชิงเฉินหดหู่เล็กน้อย หากนักพรตไป๋หมางตายด้วยน้ำมือคนอื่น นับว่าน่าอึดอัดใจเสียจริง
ในวันนี้ นางได้รับยันต์ส่งสารฉบับหนึ่ง มีตัวอักษรเขียนอยู่เพียงประโยคเดียวว่า ‘ฮวาเชียนซู่ทิ้งให้เจ้าจัดการแล้ว’
มั่วชิงเฉินลูบยันต์ส่งสาร ยิ้มอย่างราบเรียบ พึมพำเบาๆ “ที่สุดแล้วก็อย่าปล่อยน้ำบ้านตัวเองไหลเข้าทุ่งคนอื่น[1]”
อีกาไฟที่งีบหลับอยู่ด้านข้างกระพือปีกบินขึ้นอย่างรวดเร็ว ชำเลืองยันต์ส่งสารคราหนึ่ง ก่อนถามด้วยความแปลกใจ “หมายความว่าเช่นใด”
มั่วชิงเฉินมองค้อนทีหนึ่ง ใช้เปลวไฟน้ำเงินที่จุดอยู่บนนิ้วมือเผายันต์ส่งสาร “ไม่มีอะไร จริงสิ อู๋เย่ว์ ข้าจะเตรียมกักตนสักสามปี เจ้าจับตาดูเขาน้อยกับหมาป่าน้อยด้วย อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด”
“ไม่มีปัญหา!” อีกาไฟตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์
มั่วชิงเฉินกวาดตามองมันด้วยความสงสัย “อู๋เย่ว์ ระหว่างที่ข้ากักตน ไม่ใช่ว่าเจ้ามีความคิดอะไรดีๆ กระมัง”
เจ้าอีกาไฟรีบโบกปีกตอบปัดว่า “นายท่าน ข้าเป็นนกประเภทนั้นหรือ สิ่งสำคัญที่สุดระหว่างเจ้านายและอสูรวิญญาณ คือความไว้ใจ!”
มั่วชิงเฉินเบะปาก กล่าวอำลามั่วหนิงโหรว ก่อนเดินเข้าไปในห้องกักตน
ในระยะเวลาสามปีนี้ จะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ในฐานะที่นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียร หากต้องบำเพ็ญขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป เพื่อเข้าสู่แดนวิญญาณ นับว่ายังไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก
สิ่งสำคัญในการกักตนครั้งนี้ของมั่วชิงเฉิน คือการเพิ่มตัวช่วยโดยการฝึกฝนหุ่นเชิดห้าธาตุที่หลัวอวี้เฉิงให้มา
เมื่อหยิบหุ่นเชิดห้าธาตุออกมา ในหนึ่งแถวเป็นคนตัวเล็กๆ ห้าคนที่มีสีสันแตกต่างกัน มั่วชิงเฉินพิจารยณาอย่างรอบคอบ สัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก
ลักษณะภายนอกของหุ่นเชิดห้าธาตุแบ่งออกเป็นหุ่นเชิดเพศชายสามตัว มีธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุดิน และหุ่นเชิดเพศหญิงสองตัวเป็นธาตุน้ำและธาตุไฟ
หุ่นเชิดธาตุทองเป็นชายรูปร่างใหญ่สวมชุดเกราะ หุ่นเชิดธาตุไม้เป็นเด็กชายในชุดสีเขียว หุ่นเชิดธาตุดินเป็นเด็กทารกในชุดตู้โตว[2]สีเหลือง หุ่นเชิดธาตุน้ำหน้าตางดงามราวกับภาพวาด เป็นเด็กสาวในชุดสีน้ำเงิน หุ่นเชิดธาตุไฟสวมชุดสีแดงลากยาว ไหล่เปลือยปล่าวขาวราวหิมะ เป็นหญิงสาวที่ทั้งสง่างามและทรงเสน่ห์
มั่วชิงเฉินตกตะลึงอีกครั้งกับความสามารถอันน่าทึ่งของหลัวอวี้เฉิง ผู้แกะสลักหุ่นเชิดได้อย่างสวยงามประณีต
หลังจากตกตะลึงเสร็จ ก็ยื่นมือออกไปแตะบนหัวของหุ่นเชิดแต่ละตัว รับรู้ถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกมัน ขั้นตอนผ่านไปอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืนจึงสัมฤทธิ์ผล
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ก็หยิบหุ่นเชิดธาตุไม้ขึ้นมา
นางมีวรยุทธ์สายพฤกษาเป็นหลัก หากเทียบกับการฝึกฝนหุ่นเชิดตรงหน้านับว่าไม่ค่อยคุ้นเคยนัก จึงเลือกหุ่นเชิดที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุด เช่นนี้ง่ายกว่านัก
ตามบันทึกบนแผ่นหยกได้อธิบายวิธีการฝึกฝนไว้ ปลายนิ้วมือของมั่วชิงเฉินมีกลุ่มไฟจริงสีน้ำเงินกะพริบวาบออกมา หลังจากดีดนิ้ว ไฟจริงกลุ่มนั้นก็ลอยเข้าไปยังระหว่างคิ้วของหุ่นเชิด ทันทีหลังจากดีดนิ้วอีกครั้ง กลุ่มก้อนน้ำเงินพลันไหลเข้าสู่ดวงตาทั้งสองของหุ่นเชิด ต่อด้วยหูทั้งสองข้าง จมูก ปาก ฝ่ามือและฝ่าเท้า
รอกระบวนการนี้เสร็จสิ้น หุ่นเชิดธาตุไม้ก็ลอยขึ้นกลางอากาศ รอบตัวของมันมีแสงวิญญาณส่องแสงระยิบระยับ
มั่วชิงเฉินร่ายเคล็ดวิญญาณหนึ่งออกไปในทันใด มันเคลื่อนเข้าสู่ร่างภายในหุ่นเชิดไม้ หากมองด้วยตาเปล่าก็จะเห็นหุ่นเชิดไม้ขยายตัวใหญ่ขึ้นและหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เป็นเช่นนี้หลายสิบครั้ง ทันใดนั้นหุ่นเชิดไม้ก็ยืดยาวขึ้นกลายเป็นบุรุษในชุดเขียวคนหนึ่ง ในมือถือขลุ่ยไม้ไผ่หนึ่งลำ ยืนเป่าขลุ่ยด้วยเสียงคร่ำครวญ
สายลมพัดพาฝนกระหน่ำอันเยือกเย็น มั่วชิงเฉินมองดูราวกับเห็นบุรุษชุดเขียวยืนเป่าขลุ่ยอย่างสง่างามท่ามกลางฝนพายุโหมกระหน่ำ ช่างงดงามหาผู้ใดเปรียบ
เมื่อยื่นมืออกไป บุรุษในชุดเขียวก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวเส้นหนึ่งตกลงกลางฝ่ามือ มั่วชิงเฉินยิ้มพิจารณาหุ่นเชิดไม้ที่อยู่บนมือ ใช้เวลาครึ่งปีเต็ม ในที่สุดหุ่นเชิดธาตุไม้ก็ถูกฝึกฝนเสร็จสิ้น
ทั้งหมดต่อจากนี้ก็ทำตามขั้นตอนต่อไป สามปีให้หลังผ่านไปอย่างเงียบสงบ มั่วชิงเฉินเพิ่งฝึกฝนตัวที่สี่เสร็จก็วางหุ่นเชิดลง มีบางสิ่งเข้ามาสัมผัสค่ายกลกักตนของนาง
เมื่อโบกมือคลายค่ายกลกักตนออก ยันต์ส่งสารแผ่นก็หนึ่งบินเข้ามา
‘นักพรตชิงเฉิง โปรดมาที่ตำหนักเขาโฮ่วเต๋อโดยด่วน’
มั่วชิงเฉินจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนเดินออกจากห้องกักตน
“นายท่าน…” เพิ่งออกมาด้านนอก เขาน้อยก็พุ่งเข้ามา ใช้หัวถูไถนาง
หมาป่าน้อยถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เห็นมั่วชิงเฉินลูบหัวเขาน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ ดึงพี่ใหญ่ออกมาอย่างดุร้าย ใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาปรากฏประกายเย็นเยียบ แต่น่าแปลกใจที่หางของมันแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นว่ามันรู้สึกตื่นเต้นเพียงใด
มั่วชิงเฉินพลันยิ้ม เดินมาหาหมาป่าน้อยก่อนหอมมันหนึ่งฟอดใหญ่ หยอกล้อว่า “หมาป่าน้อย เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่”
ใบหน้าอันโหดเหี้ยมกลายเป็นสีแดงเข้ม จ้องมองมั่วชิงเฉินครู่หนึ่ง ก่อนหันหัววิ่งออกไป
มั่วชิงเฉินหัวเราะชอบใจ
สัตว์อสูรทั้งสามของนาง ล้วนเป็นตัวตลกทั้งสิ้น
“จริงสิ เขาน้อย เหตุใดไม่เห็นอู๋เย่ว์เล่า”
เขาน้อยเบิกตาโตกะพริบตาปริบๆ “นายท่าน พี่หญิงอู๋เย่ว์บอกว่า ห้ามบอกคนอื่นว่านางไปไหน”
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา ยิ้มอย่างมีเลศนัยถามว่า “เขาน้อยเอ่ย ข้าเป็นใคร”
“เป็นนายท่าน” เขาน้อยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน
มั่วชิงเฉินลูบหัวเขาน้อยเบาๆ “ถูกแล้วนี่ ข้าคือนายท่าน หาใช่คนอื่น เขาน้อยบอกมาเถอะว่าอู๋เย่ว์ไปที่ใด”
เสี่ยวเจี่ยวคิดอีกทีก็ถูกอีก รีบตอบทันควัน “เมื่อเดือนก่อนจ้วนอันเจินจวินมาหาเหอกวงเจินจวิน และพำนักอยู่ที่ด้านล่างเขาชิงมู่ เขาพานกนางแอ่นตัวหนึ่งมาด้วย ดูเหมือนท่านพี่อู๋เย่ว์จะชอบมันมาก ทุกวันจะหยิบสุราวิญญาณไปหามัน บอกว่าไปส่งสุราแห่งรัก”
สุราแห่งรักหรือ
มั่วชิงเฉินมุมปากโค้งขึ้น ถามต่อไปว่า “อู๋เย่ว์มีสุราเก็บไว้มากขนาดนั้นเชียวหรือ”
เขาน้อยวิ่งไปยังใต้ต้นท้อต้นหนึ่งอย่างมีความสุข บนเขามีแสงวิญญาณเรืองแสงไปยังที่ไหนสักแห่ง พริบตาเดียวพื้นดินตรงนั้นปรากฏห้องใต้ดินห้องหนึ่ง หลังจากนั้นเงยหน้าพูดว่า “ท่านพี่อู๋เย่ว์เอาสุรามาจากตรงนี้ แต่ตอนนั้นยังมีเยอะกว่านี้นะ…”
มั่วชิงเฉินสาวเท้าวิ่งเขาไปราวกับดาวตก เห็นไหสุราตรงกลางห้องเก็บสุราว่างเปล่า พลันเกิดควันร้อนออกมาจากทวารทั้งเจ็ดทันที ก่อนแผดเสียงคำรามด้วยความโมโห “อู๋เย่ว์ ข้าจะสับเจ้าเป็นพันชิ้น ไอ้นกสารเลว!”
นางใส่ดอกนุ่นเพิ่มไปในสุรา พยายามหมักสุราดอกท้อด้วยวิธีที่หลากหลาย ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว
“ทำไมพวกเจ้าไม่ห้าม” มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าเต็มปอด ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เขาน้อยกะพริบตา “นายท่าน พี่หญิงอู๋เย่ว์บอกว่า ท่านบอกให้พวกเราเชื่อฟังนาง”
นางมองไปทางหมาป่าน้อย หมาป่าน้อยก็พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบก่อนตอบว่า “ไม่ผิด ดังนั้นกฎข้อห้ามในห้องสุราก็เป็นเขาน้อยที่แหกกฎ ส่วนพวกไหสุราก็เป็นข้าที่ช่วยถือ”
“พวกเจ้า!” มั่วชิงเฉินโกรธจัด เหยียบบนไหมเกล็ดน้ำแข็งหมายจับเจ้าอีกาไฟมาถอนขนให้เกลี้ยง แต่พอนึกถึงเรื่องยันต์ส่งสารขึ้นมา จึงหมุนตัวกลับมุ่งหน้าไปยังเขาโฮ่วเต๋อ
ก้าวเข้าสู่ตำหนักเขาโฮ่วเต๋อ พบว่าข้างในนั้นมีคนนั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว คือหลิวซางเจินจวิน เสวียนหั่วเจินจวิน กู้หลี และผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวท่านหนึ่งตามลำดับ
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวท่านนั้นมั่วชิงเฉินรู้จัก เป็นสหายของอาจารย์ ทั้งยังเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อนาง หรือว่า เขาคือจ้วนอันเจินจวิน
“ชิงเฉินคารวะเจินจวินทุกท่าน” มั่วชิงเฉินกล่าวทักทายตามมารยาท
“ชิงเฉินมาแล้ว นั่งลงเถอะ” หลิวซางเจินจวินยิ้มตอบ
มั่วชิงเฉินชำเลืองมอง ก้าวเข้ามานั่งลงด้านข้างกู้หลี
สักพัก นักพรตจื่อซีก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน หัวเราะด้วยความขัดเขิน “อาจารย์ ศิษย์มาสายแล้ว”
หลิวซางเจินจวินผู้มีท่าทีสง่างามและเคร่งขรึมพลันเก็บอาการณ์ไม่อยู่ กระแอมเบาๆ “นั่งสิ”
“เจ้าค่ะ” นักพรตจื่อซียิ้มไปพลางมองไปพลาง นั่งลงข้างมั่วชิงเฉิน
หลิวซางเจินจวินจึงเริ่มเปิดปากพูด “กำหนดเวลาที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูเปิดออกคือวันที่เก้าเดือนเก้า สามวันหลังจากนี้พวกเจ้าต้องออกเดินทางแล้ว ศิษย์น้องเสวียนหั่ว รบกวนเจ้าแล้ว”
ครั้งนี้พรรคเหยากวงมีทั้งหมดสี่คนที่เดินทางไปยังดินแดนวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมีเพียงเสวียนหั่วเจินจวินและกู้หลีที่สามารถไปได้ ที่เหลือล้วนมิอาจไปได้แล้ว
จ้วนอันเจินจวินจะออกเดินทางตามผู้บำเพ็ญเพียรของเหยากวงไปทีหลัง
หลิวซางเจินจวินกล่าวย้ำเตือนเรื่องที่ต้องจัดการอีกครั้งหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน สามวันให้หลังข้าไม่ไปส่งแล้ว”
ทุกคนลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจากไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงจากทั้งสามคนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ชิงเฉิน เจ้ารอ/มานี่ ก่อน”
มั่วชิงเฉินตกใจ มองดูหลิวซางเจินจวิน ก่อนหันไปมองอาจารย์กับเสวียนหั่วเจินจวิน ลำบากข้าอีกแล้ว เจินจวินทั้งสาม พวกท่านมีความสามัคคีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
“ศิษย์พี่ เชิญท่านก่อน เชิญก่อน” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกก แย้มยิ้มตาหยี
เห็นชัดว่ากู้หลีไม่อยากโต้เถียงกับอาจารย์ เดินมาข้างกายมั่งชิงเฉินแล้วกำชับว่า “ชิงเฉิน รอเจินจวินทั้งสองพูดจบ แล้วค่อยไปที่เขาชิงมู่สักหน่อย”
จากนั้นจ้วนอันเจินจวินก็เดินมาเคียงไหล่แล้วยักคิ้วยิ้ม กล่าวเสียงเบาว่า “รีบไปรับอสูรวิญญาณของเจ้าหน่อยนะ นกนางแอ่นบ้านข้าถูกมันฝืนใจจะแย่อยู่แล้ว”
มั่วชิงเฉินแทบอยากจะมุดหน้าหนี ไอ้ตัวอัปยศ!
“ชิงเฉิน ข่าวลือที่ว่าร่างของเจ้าเป็นเพลิงแก้วใจกระจ่าง เป็นเรื่องจริงหรือไม่” หลิวซางเจินจวินถามขึ้น
มั่วชิงเฉินกุมมือคารวะ ตอบอย่างไม่ลังเล “เจ้าค่ะ”
ข่าวนี้มาจากดินแดนไท่ไป๋ ไม่ต้องคิดให้มากความ ต้องเป็นการเอาคืนของฮวาเชียนซู่แน่
นึกถึงคนผู้นี้ แววตาของมั่วชิงเฉินพลันมีลำแสงเยือกเย็นวาบประกายพาดผ่าน
หลิวซางเจินจวินมองดูสตรีในชุดเขียวที่มีสีหน้าคร่ำเครียดแต่กลับมิอาจปกปิดความงามได้ ก่อนตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ชิงเฉิน เจ้าจงจำไว้ วิถีแห่งผู้บำเพ็ญเซียน บางครั้งจำต้องอดกลั้น และบางครั้งจำต้องเผชิญหน้าด้วยความยำเกรง กฎแห่งธรรมชาติ ดำรงอยู่ด้วยความสมดุล สิ่งไหนควรจัดการด้วยวิธีใด สุดท้ายแล้วมิอาจหลีกหนีได้”
นั่นคือสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์เช่นเจ้าจำเป็นต้องจ่าย ประโยคนี้ เขาไม่พูดออกมามั่วชิงเฉินกลับเข้าใจแล้ว ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ ศิษย์จะจำไว้ ขอบพระคุณอาวุโสที่ย้ำเตือน”
——
[1] อย่าปล่อยน้ำบ้านตัวเองไหลเข้าทุ่งคนอื่น เป็นสำนวน อย่าปล่อยให้น้ำอันอุดมสมบูรณ์ของบ้านตัวเองไหลสู่ทุ่งนาของผู้อื่น หมายถึงการรักษาผลประโยชน์ครอบครัวของตัวเอง ไม่ให้ตกสู่ของบ้านผู้อื่น คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน
[2] ชุดตู้โตว เอี๊ยมชุดหนึ่งของจีน มีลักษณะเป็นทรงเพชร ปิดสะสะดือและหน้าอกมีเชือกผูกด้านหลัง ชนชั้นสูงใช้ผ้าไหมสีเหลือง ชนชั้นกลางใช้ผ้าไหมสีเงิน และชนชั้นล่างใช้ผ้าไหมสีแดง