หูปิงหลันเหม่อมองเส้นผมของตัวเอง พลันนิ่งทื่อไม่ขยับเขยื้อนราวกับท่อนไม้แข็งท่อนหนึ่ง
บรรยากาศรอบกายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เริ่มมีเกลียวคลื่นโหมซัดรุนแรงดั่งกระแสน้ำเชี่ยวไม่ปาน เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สตรีในชุดชาววังสวมหมวกขนสัตว์สีหิมะขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้น
“ปิงหลัน รีบไป!” สตรีในชุดชาววังรีบเข้าประชิดตัวหูปิงหลันก่อนยื่นมือดึงนางขึ้น
หูปิงหลันที่ยังคงตกใจไม่หายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ปล่อยให้สตรีในชุดชาววังลากนางขึ้นไปบนรอยแยกกลางอากาศอย่างหนักหน่วง
เสียงผู้ที่ตามมาอย่างรีบร้อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หูปิงหลันหยุดอยู่กับที่ รีบเงยหน้ามอง
“ไป!” สตรีในชุดชาววังผลักนางอย่างรุนแรง
“ท่านแม่ เป็นเขา เขามาหาข้า ข้าไม่ไป…”
“เหลวไหล!” สตรีในชุดชาววังพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ดึงหูปิงหลันกระโดดเข้าไปยังรอยแยกกลางอากาศ
ทั่วทั้งหุบเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
กู้หลีเหาะลงมาจากท้องฟ้า มองไปรอบๆ ในที่สุดนัยน์ตาตกอยู่ในความว่างเปล่า ก่อนรวบรวมสติอยู่ชั่วครู่ แล้วออกไปอย่างรีบร้อน
บนยอดเขาห้านิ้ว การประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ยังดำเนินต่อไป สายตาของผู้คนค่อยๆ ถูกการประลองบนสนามดึงดูดไป
มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเพียงหนึ่งเดียวจากนิกายเหอฮวนเท่านั้นที่มองมั่วชิงเฉินราวกับมีดอันแหลมคม หากมันสามารถทำร้ายคนได้เกรงว่านางคงถูกมีดแทงจนตัวพรุนเสียแล้ว
มั่วชิงเฉินมองด้ายแดงคดเคี้ยวบนข้อมือ ลุกขึ้นพูดว่า “ศิษย์พี่จื่อซี ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าคะ”
“ได้ หากมีเรื่องอะไร รีบมาบอกข้า” นักพรตจื่อซีตอบ
มั่วชิงเฉินเห็นการประลองที่ดุเดือดตรงหน้าก็อยากนั่งดูต่อ แต่ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างยับยั้งชั่งใจอย่างหนัก แล้วกลับห้องไปด้วยตัวเอง
เมื่อถึงห้อง นางรีบไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ค่อยๆ ปลดอาภรณ์ออกช้าๆ
ในกระจก นางพบด้ายแดงเส้นหนึ่งจากกลางฝ่ามือ พันคดเคี้ยวขึ้นไปบนแขน อ้อมไหปลาร้าและหยุดลงตรงลิ้นปี่ที่มีดอกไม้สีแดงดอกหนึ่งเบ่งบานอยู่
มั่วชิงเฉินแผ่จอตสัมผัส ตรวจสภาพร่างกายภายใน
จุดตันเถียน ทะเลแห่งความตระหนัก รวมถึงเส้นลมปราณ ดูแล้วไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อตรวจลึกเข้าไปในหัวใจ พบว่ามีไอเย็นแผ่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
มันหยุดอยู่ตรงดอกไม้สีแดง ที่แท้กลางหัวใจมีรากฝังเข้าไปแล้ว!
รากผิดปกติพัวพันอยู่บนหัวใจ โชคดีที่ยึดครองได้เพียงส่วนปลายเท่านั้น
นี่คือด้ายพันจิตตรึงใจที่อาจารย์พูดถึงหรือ
มั่วชิงเฉินมองดูกลางหัวใจอันหนาวเหน็บ ก่อนได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้น “ชิงเฉิน เจ้าอยู่ห้องหรือไม่”
มั่วชิงเฉินรีบใส่เสื้อแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู “ท่านอาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร”
กู้หลีมองข้อมือของมั่วชิงเฉินด้วยสายตาหนักแน่น “ชิงเฉิน ด้ายแดงนี้ ลามไปถึงที่ใด”
มั่วชิงเฉินเห็นกู้หลีมองด้วยความจริงจังเช่นนี้ ก็รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หยุดอยู่ที่ลิ้นปี่เจ้าค่ะ”
แววตาของกู้หลีเย็นชา ตอบเสียงต่ำ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ในใจของมั่วชิงเฉินเกิดความสงสัย ถามกลับว่า “ท่านอาจารย์ ด้ายแดงเส้นนี้คือสิ่งใดกันแน่ เหตุใดชื่อของมันฟังดูประหลาดยิ่งนัก”
กู้หลีเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ด้ายพันจิตตรึงใจ เป็นวิชาลับเฉพาะของเผ่าจิ้งจอกหิมะ มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นถึงสามารถได้รับสืบทอดวิชานี้ ผู้ที่ถูกด้ายพันจิตตรึงใจเกาะกุมหัวใจ ในยามปกติแม้จะดูแล้วไม่เป็นอะไรเฉกเช่นคนสามัญผู้หนึ่ง แต่หากผู้ร่ายวิชานึกคิดสิ่งใด ร่างกายของคนผู้นั้นจะอยู่เหนือการควบคุม และจะกระทำทุกอย่างไปตามความประสงค์ของผู้ร่ายวิชา หากขัดขืน หัวใจจะถูกเส้นใยจำนวนนับไม่ถ้วนรัดตรึงไว้อย่างแรง เจ็บปวดเจียนตายเหลือคณา”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญผวา แต่ใบหน้ายังคงรักษาความสงบไว้ “ท่านอาจารย์ ในเมื่อด้ายพันจิตตรึงใจเป็นวิชาลับของเผ่าจิ้งจอกหิมะ แล้วเหตุใดนักพรตหย่าอี้ถึงใช้ได้ หรือว่านางกับเผ่าจิ้งจอกหิมะมีความเกี่ยวข้องกัน”
กู้หลีสายหัว “เป็นไปไม่ได้ นักพรตหย่าอี้น่าจะเป็นตัวกลางมากกว่า เชื้อพระวงศ์ของเผ่าจิ้งจอกหิมะ มีเพียงจิ้งจอกเพศเมียที่สามารถรับการถ่ายทอดพรสวรรค์นี้ได้ ถึงได้เรียกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างแท้จริง วันนี้ในการประลองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั้งสิบคน เจ้า จื่อซี นักพรตปี้เหลย และนักพรตหย่าอี้ล้วนเป็นสตรี จื่อซีและเจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ทั้งนิสัยรักอิสระ ยากมากที่จะถูกผู้ร่ายวิชาครอบงำ นักพรตปี้เหลยมีรากวิญญาณอัสนี เดิมเป็นของที่ไม่ถูกกันอยู่แล้ว หากให้เปรียบเทียบ นักพรตหย่าอี้นับว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
มั่วชิงเฉินฟังกู้หลีพูดเรื่องด้ายพันจิตตรึงใจ ในที่สุดก็เข้าใจ แต่ในใจมีความสงสัยเพิ่มขึ้น “ท่านอาจารย์ แล้วเหตุใดเผ่าจิ้งจอกหิมะถึงพุ่งเป้ามาที่ชิงเฉินเล่า”
พูดจบพลันนึกถึงเรื่องราวที่วังกว่างหานขึ้นมาทันที ตอนนั้นนางและหลัวเตี๋ยจวินสังหารชีซีและจิ่วเย่ว์สองสตรีของเผ่าจิ้งจอก ทั้งยังแอบขโขยสมบัติล้ำค่าอย่างบัวหิมะจันทราออกมาด้วย เกรงว่าแม่นางผู้นั้นคงพบเข้าแล้วกระมัง
นึกถึงตรงนี้ มีความรู้สึกไม่กล้าสบตากับกู้หลีเล็กน้อย
หากอาจารย์รู้ว่านางไปฆ่าคนหญิงรับใช้ของสตรีที่เขามีใจให้ ทั้งยังแอบเอาของมีค่ามาจากสตรีที่เขารักผู้นั้นอีก เขาจะคิดเช่นไร
เมื่อตัดสินใจจะสารภาพออกไปอย่างหนักแน่น ทันใดนั้นได้ยินกู้หลีพูดขึ้นว่า “เพราะอาจารย์ เจ้าถึงมีส่วนเกี่ยวข้อง ชิงเฉิน เจ้าอย่างเพิ่งตื่นตระหนัก ข้า…”
พูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงร้องดังขึ้น
“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป” กู้หลีใบหน้าเปลี่ยนสี
ชิงเฉินใช้มือทั้งสองข้างยันโต๊ะไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย เม็ดเหงื่อจากความเจ็บปวดกลิ้งตกลงมา กัดฟันพูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าทนไว้ก็พอ ท่านกลับไปก่อนเถอะ…”
เมื่อพูดออกไปคำหนึ่ง ด้ายแดงที่เกาะเกี่ยวปลายหัวใจพลันรัดแน่นอย่างรุนแรง ราวกับหัวใจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างแท้จริง
เสียงตึงดังขึ้น มือพลันกดมุมโต๊ะเอาไว้แน่น มั่วชิงเฉินพูดกับกู้หลีที่มองตนอยู่ว่า “อาจารย์ ท่านกลับไปก่อน….”
“นางต้องการเจ้าไปทำไม” กู้หลีกำขอบชายเสื้อคลุมไว้แน่น
ชิงเฉินกัดริมฝีปากอย่างทรมาน เพียงพูดออกไปว่า “ท่านอาจารย์ ได้โปรด…เชิญท่านกลับไป…”
กู้หลีมองดูนางด้วยแววตาล้ำลึก “ได้”
เห็นกู้หลีเดินจากไป มั่วชิงเฉินทนไม่ไหว นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเก้าอี้ยาว ในช่วงเวลาอันยากลำบาก ลูกปากว้าเทพมารก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ แล้วทาบบนลิ้นปี่อย่างรุนแรงคราหนึ่ง มั่วชิงเฉินจะกระอักเลือดสีแดงสดออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดความรู้สึกที่หัวใจโดนใบมีดเฉือนทีละน้อยก็หายไปแล้ว
นางยืนขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนหยิบสุราน้ำเต้าขึ้นมา และกระดกลงไปอย่างรวดเร็วหนึ่งอึก
ด้ายพันจิตตรึงนี่ ใจกำเริบขึ้นมาคราหนึ่งราวกับต้องการชีวิตคนจริงๆ
โชคดีที่ในคราแรกถูกลูกปากว้าเทพมารสกัดไว้ได้ ด้ายแดงที่เข้ามาในร่างกายจึงมีไม่กี่ส่วนที่พันเกาะปลายหัวใจไว้ หากหัวใจทั้งดวงถูกด้ายแดงห่อหุ้ม นางไม่เชื่อว่าจะประคับประครองตัวเองขึ้นมาได้
หากทนไม่ไหวขึ้นมา…
พอนึกถึงตอนที่กู้หลีอยู่เมื่อครู่ ส่วนลึกในใจมีความคิดหนึ่งจุดประกายออกมา หากนางเป็นผู้ที่ทุ่มเทในความรักอย่างแท้จริง เกรงว่าต้องใช้เพียงฝ่ามือเดียวตบตัวเองให้ตายเท่านั้นถึงสามารถแก้ปัญหาได้
มั่วชิงเฉินลูบตรงตำแหน่งลิ้นปี่เบาๆ ขมวดคิ้วอย่างจริงจัง
หูปิงหลัน นางทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่
ในเมื่อเป็นคนรักของอาจารย์ หากคิดอยากแก้แค้นตน ก็ไม่ควรใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะลูกปากว้าเทพมารป้องกันไม่ให้วิชาลับถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ หาไม่แล้วทั้งสามคนคงตกอยู่ในอันตรายมิอาจฟื้นคืนได้อีกใช่หรือไม่
นึกถึงตรงนี้ จิตใจของมั่วชิงเฉินพลันเย็นยะเยือก ก้าวเท้าหยุดลงหน้าประตูห้องกู้หลี “ท่านอาจารย์ อยู่หรือไม่”
ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้องสักพัก มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวใช้จิตสัมผัสสำรวจดู คิดไม่ถึงว่าแม้มีค่ายกลกันไว้ แต่จิตของนางกลับเข้าไปได้อย่างเบาสบายและง่ายดาย พบว่ากู้หลีกำลังนั่งสมาธิอยู่ ด้านหน้ามีม้วนคัมภีร์หยกหลายสิบเล่นลอยอยู่บนอากาศ
มั่วชิงเฉินถอนกระแสจิต ยืนรอด้านนอกอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม เสียงของกู้หลีจึงดังออกมา “ชิงเฉิน เจ้าอยู่ด้านนอกหรือ”
ประตูเปิดออกโดยไร้แรงลม มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป เห็นผู้ที่นั่งตัวตรงดั่งขุนเขาอยู่ด้านหน้า “ท่านอาจารย์ หากข้าสังหารแม่นางหู ท่านจะเกลียดข้าหรือไม่”
“เจ้าอยากฆ่านางหรือ” กู้หลีตอบด้วยสีหน้าเงียบสงบ ไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ไม่ผิด ทรมานคนเจียนตาย ซ้ำยังถูกใช้เป็นหุ่นเชิด ราวกับตายทั้งเป็น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากนางไม่ตาย ข้าก็จะอยู่!”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันของอีกาไฟดังออกมาจากกระเป๋าวิญญาณอสูร “นายท่าน ท่านยังพูดจาไม่ละอายปากได้จริงๆ พูดมาครึ่งวันให้คนเขาตาย แต่ท่านกลับรอดเนี่ยนะ!”
มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าก็มองออกทั้งหมดนี่ สมกับที่ติดตามข้ามานานปีถึงเพียงนี้”
มุมปากของเจ้าอีกาไฟอยู่ไม่สุก นายท่าน นี่ท่านอารมณ์เลอะเลือนหรืออย่างไร
กู้หลีส่งสัญญาณให้มั่วชิงเฉินนั่งลง ก่อนพูดขึ้น “เกรงว่านางคงกลับชิงชิวไปแล้ว เจ้าอยากฆ่านาง ย่อมไม่งายนัก อีกทั้ง อาจารย์ไม่ปรารถนาให้เจ้าทำเช่นนั้น”
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ว่าแล้วต้องเป็นเช่นนี้
เห็นมั่วชิงเฉินดื้อรั้นเช่นนี้ กู้หลีก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “นางเป็นองค์หญิงของเผ่าจิ้งจอกหิมะ หากเจ้าอยากฆ่านาง เกรงว่าคงเกิดปัญหาในอนาคตไม่จบไม่สิ้นแน่ แต่อย่ากังวลไป สิบวันหลังจากนี้อาจารย์จะช่วยเจ้ากำจัดด้ายพันจิตตรึงใจเอง”
“อาจารย์ทำได้หรือ” ได้ยินกู้หลีพูดเช่นนั้น มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกโล่งใจขึ้น
นับว่าเป็นเรื่องลำบากใจอย่างยิ่ง นางไม่ยอมให้หัวใจของอาจารย์ต้องเจ็บช้ำด้วยน้ำมือของหูปิงหลันเป็นแน่
กู้หลีมองมั่วชิงเฉิน พูดยิ้มอย่างราบเรียบว่า “ทำได้แน่ เจ้าวางใจเถอะ ขอแค่สิบวันเท่านั้น ต้องผ่านพ้นไปให้ได้”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “ข้าทำได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชิงเฉินขอลาก่อน”
เหตุใดกู้หลีถึงรู้วิธีกำจัดเคล็ดวิชาลับของเผ่าจิ้งจอกหิมะได้นั้น นางมิได้ถามออกไปแม้คำเดียว บางทีนั่นอาจจะเป็นความลับระหว่างอาจารย์และจิ้งจอกขาวกระมัง
ในที่สุดสการประลองเฟิงอวิ๋นครั้งใหญ่ก็สิ้นสุดลงแล้ว แต่ละสำนักพรรคทยอยแยกย้ายกลับอย่างต่อเนื่อง
เพราะมั่วชิงเฉินได้รับบาดเจ็บจึงไม่สะดวกเข้าร่วมงาน ทั้งไม่สามารถเข้าพักที่พรรคอู่อี๋ได้ กู้หลีจึงขอให้นักพรตจื่อซีพาทุกคนกลับเหยากวงก่อน ส่วนตนพามั่งชิงเฉินไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป ประตูหินไม่กี่ห้องเปิดออก หลังจากนั้นเริ่มลงมือหลอมกระสายยา
มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถกำจัดด้ายพันจิตตรึงใจได้ คือกระสายยา ‘เปลี่ยนจิต’
ที่เรียกว่า ‘เปลี่ยนจิต’ นั้นก็เพราะเป็นการนำด้ายพันจิตตรึงใจถ่ายโอนไปยังจิตของคนอีกผู้หนึ่ง หากคนผู้นั้นมีระดับบำเพ็ญเพียรอยู่ห่างจากผู้ร่ายวิชา ก็สามารถคลี่คลายความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของหัวใจที่ถูกด้ายเกี่ยวพันได้อย่างช้าๆ
ประจวบเหมาะกับเมื่อหลายปีก่อน วัตถุดิบที่เขาใช้หลอมยาเปลี่ยนจิต ยังเหลืออยู่หนึ่งส่วน!
วันเวลาผ่านไป ในทุกๆ วันด้ายพันจิตตรึงใจจะออกฤทธิ์หนึ่งครั้ง ในส่วนลึกของหัวใจมั่วชิงเฉินมีเสียงกรีดร้องอยากออกจากประตูหินปิดตายเพื่อไปหากู้หลี นางควบคุมแรงกระตุ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย บนกำแพงหินและร่างกาย ล้วนมีร่องรอยขีดข่วนของเล็บมือ ราวกับต้องใช้ความเจ็บปวดเท่านั้นจึงสามารถบรรเทาความปวดร้าวในใจได้
สิ่งที่ทุกข์มทรมานที่สุดคือ ความเจ็บปวดเช่นนี้นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น
จนถึงวันที่เจ็ด ประตูหินเปิดออก กู้หลีเดินเข้ามา พบมั่วชิงเฉินนอนเกลือกลิ้งอยู่บนพื้นใช้มือกุมศีรษะตัวเองไว้แน่น ทั้งเนื้อทั้งตัวสกปรกมอมแมม เมื่อเห็นนางหายใจติดขัด จึงรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดย่างรวดเร็ว
“ชิงเฉิน…”
ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินโผกอดเอวของกู้หลี พูดพึมพึมราวตกอยู่ในความฝันว่า “กู้หลี…”
ร่างกายกู้หลีแข็งทื่อก่อนผลักมั่วชิงเฉินออก
ชั่วขณะนั้นมั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกได้ถึงความปวดร้าวที่เข้ามาแทรก เนื้อตัวสั่นระริกอย่างทุกข์ทรมาน หลังจากนั้นจึงครองสติกลับมาได้
“ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่ข้า!”
สีหน้าของกู้หลีเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง กลับโอบกอดมั่วชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน “ข้ารู้ เช่นนี้ดีขึ้นหรือไม่”
น้ำเสียงของเขาราวกับเติมเต็มส่วนลึกในหัวใจ คล้ายจิตใจของนางโดนน้ำเย็นสาดใส่ หัวใจที่ถูกตรึงรัดพลันคลายออกช้าๆ
แต่หลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวยดังออกมาอย่างโหดร้ายยิ่งกว่าเดิม
มันต้องการกอดเขา จูบเขา เพียงแค่นี้ยังไม่พออีกหรือ มันต้องการให้เขากลายเป็นผู้ชายของมัน!
บ้าไปแล้ว!
มั่วชิงเฉินกัดปากอย่างรวดร้าวก่อนยกฝ่ามือขึ้นตบลิ้นปี่